“เอ้อ…งั้นผมขอตัวเลยแล้วกันนะครับ” เจตต์เอามือลงก่อนบอกลาแก้เก้อ แต่ก็ยังไม่วายยิ้มเขินๆ ให้ก่อนเดินจูงมือลูกสาวออกไป
“ยิ้มอะไรนักหนาวะ มีความสุขกันมากรึไง หาอะไรมายัดปากดีไหมเนี่ย” เขาพาลด้วยความหงุดหงิด
“ชอบมันเหรอ” บรรยากาศภายในรถที่เงียบสงัด ถูกทำลายลงเพียงเพราะคำถามที่เขาโพล่งออกมา
“คะ?” การถามแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยของเขาทำให้เธอหันมาทำหน้างง
“หมาน่ะ ชอบมันเหรอ”
“อ้อ! หมายถึงหมา” ก็ไม่รู้ว่าทำไมเธอต้องถอนหายใจเหมือนโล่งใจด้วย
“แล้วคิดว่าหมายถึงอะไร”
“เอ่อ…ก็หมานั่นแหละค่ะ ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นความชอบรึเปล่า แต่เท่าที่จำความได้ บ้านฉันก็เลี้ยงหมามาตลอด ฉันก็เลยรู้สึกคุ้นเคยกับพวกมันง่าย อีกอย่างพวกมันก็น่ารัก ฉันก็เลยหลงมันได้ไม่ยาก ให้ตายสิ! ฉันตกเป็นทาสน้องหมาแล้วใช่ไหมเนี่ย” เธอยกมือกุมที่แก้มประหนึ่งว่าตกใจ
“ว่าแต่คุณถามทำไมคะ” เธอหันมาถามด้วยความสงสัย เมื่อเรื่องที่สนทนาไม่ใช่เรื่องงาน แต่กลายเป็นเรื่องหมา
“เปล่า ไม่มีอะไร” สิ้นเสียงเขาก็เงียบไม่พูดอะไรอีก
“เอ้า! แล้วก็เงียบไปเฉยๆ เนี่ยนะ อะไรของเขาวะ” เธอแอบหันไปบ่นพึมพำริมหน้าต่าง ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่รถหยุดพอดี
“เอ้า! ไหนบอสบอกว่าเช้านี้มีนัด แล้วทำไมมาบริษัทล่ะคะ” เธอหันมาถามเขาด้วยความแปลกใจ
“ยกเลิกไปแล้ว” พูดจบเขาก็เดินลงจากรถทันที
“เอ้า! อะไรของเขาวะ” เธอสบถออกมาแบบงงๆ ไม่แน่ใจว่าเช้านี้ตัวเองเอ้าไปกี่ครั้งแล้ว แต่มันก็มีเหตุให้เอ้าจริงๆ นั่นแหละ ส่วนต้นเหตุน่ะเหรอ เดินลิ่วๆ เข้าไปด้านในโน่นแล้ว เดือดร้อนให้เธอต้องรีบจ้ำตามอีก
กระทั่งเจ้านายหนุ่มกับเลขาสาวเดินออกมาจากลิฟต์ก็พบดอกไม้สีแดงสดที่วางเด่นสะดุดตาอยู่บนโต๊ะ เธอไม่รอช้าที่จะหยิบการ์ดใบเล็กๆ ที่เสียบอยู่ขึ้นมาอ่าน
“ดอกไม้สวยๆ สำหรับคนสวยๆ อย่างคุณ เขตแดน” เธออ่านข้อความพร้อมกับชื่อในการ์ดเบาๆ แต่แล้วก็ต้องผงะด้วยความตกใจ เมื่อคนที่คิดว่าเดินเข้าห้องไปแล้ว จู่ๆ ก็พูดโพล่งออกมา
“ผมแพ้เกสรดอกไม้” ไม่ใช่แค่พูด แต่เขายังทำจมูกฟุดฟิด
“งั้นบอสก็เข้าไปในห้องสิคะ จะมายืนอยู่ทำไม”
“ผมก็แค่บอกให้คุณรู้ไว้ว่าคุณไม่ควรเอามันเข้ามาในพื้นที่ของผม เพราะมันอาจจะทำให้ผมไม่สบาย ฮัดเช้ย!” สิ้นเสียงเขาก็จามเสียงดัง
“ฉันเปล่าเอาเข้ามาบอสก็เห็น แต่ไม่เป็นไรค่ะ เพื่อบอสฉันจะจัดการเอามันออกไปจากตรงนี้เองค่ะ” เธอรับปากหนักแน่น ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูลิฟต์ด้านหน้าเปิดออกพอดี
“เอ้า! น้ำมาหาพี่เหรอ” เธอหันไปทักน้ำรินพนักงานฝ่ายประชาสัมพันธ์ เพื่อนร่วมแผนกสมัยที่เธอยังทำอยู่แผนกนั้น แต่เท่าที่สังเกตขณะที่อีกฝ่ายเดินมาหาเธอ สายตากลับเอาแต่จับจ้องไปที่เจ้านายของเธอ เห็นแบบนี้เธอเลยคิดอะไรดีๆ ขึ้นมาได้
“นี่จ๊ะน้ำ เจ้านายพี่ให้” เธอบอกพร้อมกับยื่นกุหลาบแดงช่อโตไปให้ ทำเอาคนถูกพาดพิงถึงกับหันขวับมามองตาเขียว ทำเอาเธอต้องรีบพูดต่อ
“ในฐานะที่น้ำขยันแล้วก็ตั้งใจสุดๆ รับไปสิจ๊ะ” น้ำรินรับไว้ด้วยรอยยิ้มเขินๆ ก่อนจะหันไปขอบคุณคนให้ที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับดอกไม้ช่อนี้เลย
“ขอบคุณค่ะท่านรอง” ทันทีที่น้ำรินถือช่อกุหลาบหันมาทางรองประธานหนุ่ม เขาก็จามออกมาเสียงดัง
“ฮัดเช้ย!” เห็นเจ้านายจามพร้อมกับทำจมูกฟุดฟิด ศิศิราก็รีบเอาตัวเข้ามากันให้ ทำเอาเจ้านายหนุ่มถึงกับแอบยิ้ม เมื่อเธอไม่ใช่แค่กัน แต่ยังจับมือเขาไว้ ก็ไม่รู้ว่าเผลอหรืออะไร แต่ที่เธอทำประหนึ่งกำลังปกป้องเขา มันทำให้คนถูกปกป้องรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก
“เอ้อ… ว่าแต่น้ำมาหาพี่ถึงนี่มีอะไรรึเปล่า” ศิศิราชวนเปลี่ยนเรื่อง พร้อมกับพยายามดันเจ้านายหนุ่มให้ถอยหลัง เพื่อกันไม่ให้เขาเข้าใกล้ดอกไม้มากเกินไป
“อ๋อ! น้ำจะมาเอาเอกสาร…เอ๊ะ! นี่ของพี่รึเปล่าคะพี่ศิ” พูดยังไม่ทันจบ น้ำรินก็ก้มลงไปหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมา ทำให้เธอต้องก้มมองตาม กระทั่งฝ่ายนั้นยื่นมาให้
“….” เห็นเธอชะงักนิ่งไปหลังได้อ่านข้อความในกระดาษแผ่นนั้น เขาที่ยืนอยู่ด้านหลังจึงอดไม่ได้ที่จะลอบอ่านด้วย
“นี่มัน…!” เขาจำต้องหยุดเอาไว้แค่นั้น ก่อนจะหันไปมองน้ำรินที่กำลังมองมาด้วยความสนใจเช่นกัน
“กลับไปทำงานได้แล้ว” เขาบอกเสียงห้วน ด้วยไม่อยากให้อีกฝ่ายมารับรู้เรื่องที่กำลังจะพูด ทำเอาคนถูกไล่กลายๆ ถึงกับสะดุ้งโหยง และรีบจากไปโดยไม่ต้องรอให้พูดซ้ำ ต่างกับศิศิราที่ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมพร้อมกับกระดาษแผ่นนั้นที่ยังอยู่ในมือ
“เข้าไปคุยกันข้างใน” เขาดึงกระดาษแผ่นนั้นมาไว้ในมือ แล้วจับจูงเธอให้เดินเข้าไปในห้องด้วยกัน
“นานเท่าไหร่แล้ว” หลังจากพาเธอมานั่งด้วยกันที่โซฟา เขาก็เปิดฉากถามทันที
“คะ?” เธอหันมาทำหน้างงๆ จริงๆ แทบไม่ได้ฟังด้วยซ้ำว่าเขาพูดอะไร
“ผมถามว่าคุณได้ไอ้ข้อความบ้าๆ นั่นตั้งแต่เมื่อไหร่” ดูเหมือนเสียงดังๆ ของเขาจะเรียกสติเธอได้มากทีเดียว
“สัปดาห์ที่แล้วค่ะ”
“แล้วคุณก็ยังทำเฉย ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเนี่ยนะ” ใช่! เขากำลังโกรธแล้วก็โมโหเธอในเวลาเดียวกัน
“ก็ฉันคิดว่าน่าจะมีใครนึกสนุกอยากอำฉันเล่น” เธอบอกเสียงอ่อย
“ด้วยการส่งข้อความมาคุกคามคุณแบบนี้เนี่ยนะเล่น นี่มันเข้าข่ายโรคจิตชัดๆ ‘” เขาว่าพลางหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาอ่านซ้ำ
“วันนี้คุณสวยมาก รู้ตัวไหมว่าผมเฝ้ามองคุณทุกวัน ขาขาวๆ ของคุณมันทำให้ผมมีอารมณ์ ผมอยากจูบ อยากสัมผัส อยากทำให้เราเป็นของกันและกัน อีกไม่นานคุณจะต้องเป็นของผม แบบนี้เนี่ยนะที่คุณคิดว่าอำกันเล่น คุณกำลังคิดอะไรอยู่ศิศิรา” เขาโกรธจนหัวฟัดหัวเหวี่ยง
“ก็ข้อความแรกๆ มันไม่ใช่แบบนี้นี่” เธอขึ้นเสียงด้วยความโมโหบ้าง
“แสดงว่าก่อนหน้านี้ไม่ได้มีแค่ข้อความเดียว?” เขาพยายามระงับความโกรธกรุ่นด้วยการลดเสียงลง
“ก็…ค่ะ แรกๆ เขาก็แค่บอกชอบบอกรัก เหมือนผู้ชายเขียนจดหมายบอกรักผู้หญิงปกติทั่วไป ก็เพิ่งมีฉบับนี้แหละที่ไม่ปกติ” ท้ายประโยคเธอบอกเสียงอ่อย
“มันไม่ปกติตั้งแต่ที่คุณเห็นว่ามันเป็นเรื่องปกติแล้ว ให้ตายสิ! ถ้ามันเข้าใกล้คุณได้มากขนาดนี้ มันไม่หยุดแค่ส่งจดหมายแน่” เขาทำหน้าเครียด ในขณะที่เธอก็ออกอาการตื่นตระหนกจนเลิกลั่กไปหมด
“ฮือ…! อย่าพูดแบบนี้สิคะบอส คนยิ่งกลัวๆ อยู่ๆ”
“โอเค งั้นช่วงนี้ก็พยายามอย่าออกไปไหนมาไหนคนเดียว ผมว่าผมไปรับไปส่งคุณเลยน่าจะปลอดภัยกว่า” เขาเสนอตัวทันที
“แต่มันจะไม่เป็นการรบกวนบอสเกินไปเหรอคะ” เธออดเกรงใจไม่ได้ จะให้เจ้านายมาคอยรับส่งเธอที่เป็นแค่ลูกจ้าง แน่นอนว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่สมควร
“หรือคุณมีทางเลือกที่ดีกว่านี้ล่ะ” คนถูกถามส่ายหน้าทันที
“งั้นก็ตามนี้” เขาสรุปให้ก่อนหันไปลอบยิ้มอีกทาง รู้หรอกว่าสถานการณ์แบบนี้มันไม่สมควร แต่มันก็ยังอดยิ้มไม่ได้อยู่ดี
แล้วเรื่องนี้อย่าให้คนอื่นรู้เป็นอันขาด ผมไม่อยากให้ไอ้โรคจิตนั่นมันรู้ตัว ระหว่างที่เรากำลังควานหาตัวมัน”
“แล้วบอสจะทำยังไงคะ” เธอถามด้วยความอยากรู้