บทที่ 3
“ฉันก็ไม่ได้หมายความแบบนั้น วาไม่ใช่คนอื่น แต่คุณก็…ฮึ่ย! ช่างเถอะ พูดไปฉันก็ไม่ได้กินอยู่ดี” ศิศิราเม้มปากด้วยความหงุดหงิดขุ่นเคือง ขุ่นเคืองที่ว่าอะไรอีกฝ่ายมากไม่ได้ เพราะเขาเป็นเจ้านาย
“อีกนานไหมคะ” ระหว่างที่ทั้งคู่กำลังเดินไปที่รถด้วยกัน จู่ๆ เธอก็ถามขึ้น ทำให้เขาต้องขมวดคิ้วและหันมามอง
“เนี่ย? อีกนานไหมคะ” เธอย้ำอีกครั้ง พร้อมกับเหลือบไปมองมือเขาที่ยังจับอยู่ที่แขนของเธอ ทำให้คนจับจำต้องรีบปล่อย ซึ่งเป็นตอนที่ถึงที่รถแล้วพอดี คนรถที่เห็นเจ้านายเดินมา ก็รีบเดินมาเปิดประตูรถให้อย่างรู้หน้าที่
“เอ้า! นี่บอสจะขับเองเหรอคะ” เธอร้องถาม เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะขึ้นไปนั่งประจำที่คนขับแทนที่จะเป็นเบาะหลังอย่างที่ควรจะเป็น
“อืม! ขึ้นรถสิ เดี๋ยวไม่ทัน” คำตอบของเขาทำให้เธอต้องรีบเดินอ้อมไปเปิดประตูข้างคนขับ ก่อนที่ทั้งคู่จะนั่งเคียงข้างกันออกไป กระทั่งรถสปอร์ตคันหรูเคลื่อนมาหยุดอยู่ที่ภัตตาคารแห่งหนึ่ง
“ฉันจำได้ว่าเรานัดลูกค้าไว้ที่โรงแรมไม่ใช่เหรอคะ แต่นี่มัน…” เธอลงมาหยุดยืนอยู่หน้าภัตตาคารด้วยสีหน้างุนงง
“รีบไปเถอะ เดี๋ยวไม่ทัน” แทนที่จะตอบคำถาม เขากลับพูดคำเดิม
“นัดกันบ่ายสอง นี่เพิ่งเที่ยง มันจะไม่ทันได้ไงวะ” เธอเดินตามแต่ก็อดบ่นงึมงำไม่ได้ ก่อนจะกลายเป็นโอดครวญหลังได้กลิ่นหอมๆ ยั่วน้ำลายจากอาหารมากมายที่พนักงานเสิร์ฟยกผ่านหน้า
“ฮือ! เอาเวลากินข้าวฉันไปไม่พอ ยังจะพาฉันมาดมกลิ่นอาหารให้ทรมานเล่นอีก จิตใจคุณทำด้วยอะไรเนี่ยคุณภากร นี่ถ้าดมแล้วอิ่มได้ ฉันจะไม่บ่นเลยสักคำ” เธอยังคงบ่นพึมพำขณะเดินตามเขาห่างๆ กระทั่งพนักงานของร้านพาคนทั้งคู่เข้ามาในห้องห้องหนึ่งซึ่งเป็นห้องส่วนตัว ไม่มีผู้คนพลุกพล่านเหมือนอย่างโซนด้านนอกที่เธอเพิ่งเดินผ่านมา
“บอสนัดลูกค้ามาทานข้าวที่นี่เหรอคะ ดีนะคะ” หลังจากพนักงานร้านออกไป เธอก็อดถามไม่ได้ ในขณะที่ใจกลับคิดอีกอย่าง
‘จะทรมานกันไปถึงไหน’ ตอนแรกแค่ดมกลิ่น เธอก็แทบจะแดดิ้นอยู่กับพื้นแล้ว แต่นี่อาหารมากมายที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ จะให้เธอขาดใจตายไปเลยรึไง
“เปล่า” เขาตอบพลางลงนั่งด้วยท่าทีสบายๆ
“เอ้า! แล้วอาหารพวกนี้ล่ะคะ”
“สำหรับเรา” เขาบอกขณะกำลังตักบางอย่างเข้าปากด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย
“มะหมายถึงฉันด้วย?” เธอชี้มาที่ตัวเอง แต่สายตากลับจับจ้องอยู่ที่อาหารตาเป็นมัน
“ก็ถ้าคุณยังช้า มันอาจจะหมายถึงของผมคนเดียว” เธอรีบนั่งลงฝั่งตรงข้ามเขาโดยไม่ต้องรอให้พูดซ้ำอีก
“ไม่เกรงใจแล้วนะคะ” สิ้นเสียงเธอก็ตักอาหารจานโน้นจานนี้เข้าปากด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย เห็นเธอทำท่าราวกับว่ามีความสุขนักหนา เขาก็อดยิ้มไม่ได้
“นี่หิวจริงๆ หรือกินประชด” เขาแสร้งว่า
“ก็ต้องหิวสิคะบอส หิวจนตาลายเลยล่ะค่ะ”
“นั่นสินะ ไม่อย่างนั้นคุณคงไม่ทำท่าราวกับว่าโกรธผมนักหนา ตอนที่ผมเอาถุงนั่นให้เพื่อนคุณ”
“หืม! ก็ถ้ารู้ว่าบอสจะพามากินของอร่อยแบบนี้ ฉันจะไม่ว่าเลยสักคำค่ะ” เธอยังคงมีความสุขกับความอร่อยตรงหน้า
“ก็นึกว่ามันมีความหมายกับคุณ เพราะว่าใครบางคนให้มาซะอีก” เขาแสร้งหยั่งเชิงเพื่อดูท่าที
“จริงๆ ก็มีค่ะ” คู่สนทนาได้ฟังถึงกับชักสีหน้าทันที ถ้าไม่ติดว่ามีประโยคต่อมา “เพราะนั่นน่ะ อาหารมื้อแรกของฉันเลยนะคะ ตั้งแต่เช้ามานอกจากกาแฟแค่ถ้วยเดียว ก็ไม่มีอะไรตกถึงท้องฉันอีกเลย มันก็ไม่แปลกหรอกค่ะถ้าฉันจะหวงมัน”
“ก็แล้วทำไมคุณถึงไม่จัดการมื้อเช้าให้เรียบร้อยก่อนมาทำงาน ตอนเด็กๆ ไม่มีใครเคยบอกรึไงว่ามื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญ” คนถูกอบรมประหนึ่งเด็กตัวน้อยๆ ถึงกับเหลือบมองก่อนตอบ
“ฉัน…ตื่นสายค่ะ” เธอยอมรับออกไปตรงๆ ก่อนยิ้มแหยๆ ให้ ครั้นพอเห็นเขาส่ายหน้าน้อยๆ เธอก็รีบแก้ต่างให้ตัวเองดูดีขึ้นมาบ้าง
“แต่ถึงฉันจะตื่นสายจนทานมื้อเช้าไม่ทัน ฉันก็ไม่เคยมาทำงานสายนะคะบอส”
“อืม! ก็นับว่ายังพอมีข้อดีอยู่บ้าง”
“เอ่อ…นี่ชมใช่ไหมคะ” เธอทำหน้าแหยๆ อย่างไม่แน่ใจนัก
“อืม! รีบทานเถอะ อีกเดี๋ยวเราต้องไปกันแล้ว” หลังจากที่กินกันไปคุยกันไปพักใหญ่ ทั้งคู่ก็จัดการกับอาหารบนโต๊ะจนเกือบหมดทุกอย่าง ไม่สิ! ไม่ใช่ทั้งคู่ แต่เป็นเธอต่างหาก
“กินเยอะขนาดนี้ คุณมีกี่กระเพาะกันแน่ศิศิรา” โชคดีที่เขาโทรสั่งอาหารพวกนี้ไว้ก่อนออกมา ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าจะต้อรอนานแค่ไหนกว่าที่คุณเธอจะอิ่ม
“โห! ฉันไม่ใช่ควายนะคะบอส” เธอโอดครวญทันที
“ก็ไม่ได้บอกว่าเป็น อาจจะเป็นแพะ แกะ หรือไม่ว่าก็กวางก็ได้” เขายักไหล่
“จะอย่างไหนมันก็ไม่ดีทั้งนั้นล่ะค่ะ แต่ยังไงก็ขอบคุณนะคะสำหรับอาหารมื้อนี้ อย่างน้อยคุณก็ไม่ใช่เจ้านายใจดำอย่างที่คิด” ท้ายประโยคเธอแอบพูดเบาๆ แต่คนหูดีก็ยังอุตส่าห์ได้ยิน
“ผมไม่ใช่คนใจดำ แต่ผมก็ไม่ใช่คนใจดี เอาเป็นว่ามื้อนี้ถือว่าคุณติดผมไว้ก่อน ไว้มีโอกาสคุณค่อยเลี้ยงผมคืน”
“เฮ้ย! แต่ฉันไม่มีปัญญาพาคุณมาเลี้ยงที่หรูๆ แบบนี้หรอกนะคะ” ให้ตายสิ! ตอนนี้เธออยากกลับคำ แล้วก็ขย้อนของที่กินเข้าไปออกมา เขาไม่ใช่แค่ใจดำ แต่งกด้วย
“ก็ไม่ได้บอกนี่ว่าจะต้องเป็นร้านหรู เอาเป็นว่าคุณเป็นคนจ่าย คุณก็เป็นคนเลือก ผมไม่ใช่คนเรื่องมากอยู่แล้ว เพราะถ้าผมเลือกมาก ผมคงเลือกเลขาคนใหม่ไปนานแล้ว” พูดจบเขาก็เดินออกไป ทิ้งเธอให้คิดทบทวน ครั้นพอคิดได้ก็รีบเดินตามออกไป
“เฮ้! บอสพูดแบบนี้หมายความว่าไงเนี่ย” เธอตะโกนไล่หลัง แต่เขาเพียงหันมายิ้มให้แทนคำตอบ
“เชิญค่ะ ท่านประธานรออยู่ด้านในค่ะ” พนักงานต้อนรับผายมือให้ หลังพาทั้งคู่มาหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องรับรอง
“สวัสดีครับคุณเจตต์ / สวัสดีครับคุณภากร” สองหนุ่มจับมือทักทายตามแบบสากล ในขณะที่สาวหนึ่งเดียวในห้องยังคงยืนอึ้งตะลึงในความหล่อล่ำของเจ้าของโรงแรม แน่นอนว่ามันต่างกับภาพที่คิดเอาไว้โดยสิ้นเชิง ทีแรกก็นึกว่าอ้วนพุงโล หรือไม่ก็คงแก่คราวพ่อ ใครจะไปคิดว่าคนที่ยังหนุ่มยังแน่นแถมหน้าตาดีแบบนี้จะเป็นเจ้าของโรงแรมใหญ่โตได้
‘บ้าบอ! หล่อรวย เพอร์เฟคขนาดนี้หาที่ไหนได้อีกเนี่ย เอ้อ! แต่ก็หาได้ที่บริษัทเรานี่หว่า’ เธอหันไปมองหน้าเจ้านายหนุ่มแทนคำตอบ ใช่! เจ้านายเธอมีครบทุกอย่างที่ว่ามา แล้วก็ไม่ใช่แค่เจ้านาย พี่ชายเจ้านายก็ดูดีไม่แพ้กัน แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น เพราะผู้ชายใกล้ตัวคือของต้องห้ามสำหรับเธอ ส่วนผู้ชายไกลตัวคนนี้…กรี๊ดได้
‘พ่อแก้วแม่แก้ว ผู้ชายอะไรทำไมหล่อโฮกขนาดนี้ หล่อวัวตายควายล้ม หล่อไม่บันยะบันยัง หล่อจนต้องร้องขอชีวิต’ เธอตะโกนกู่ร้องในใจ แต่ไอ้สีหน้าท่าทางที่แทบปิดไม่มิดของเธอขณะมองผู้ชายตรงหน้ามันทำให้ผู้ชายอีกคนอดเขม่นไม่ได้
“อะแฮ่ม!” เสียงกระแอมเบาๆ ของเขาเรียกสติคุณเธอให้ต้องหันไปมอง เพื่อจะพบกับหน้าบึ้งๆ ของเจ้านาย
“นี่เลขาผม ศิศิรา” เขาหันไปแนะนำเธอให้ลูกค้ารายใหญ่ได้รู้จัก
“สวัสดีค่ะคุณเจตต์” เธอยกมือไหว้อีกฝ่ายพร้อมกับทำท่ากระมิดกระเมี้ยน
“ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณศิศิรา จากนี้ไปเราคงได้เจอกันบ่อยๆ เชิญทั้งคู่นั่งก่อนดีกว่าครับ” เจตต์หันมาทักทายศิศิราด้วยท่าทางเป็นมิตร ก่อนจะผายมือเชื้อเชิญให้ทั้งคู่ไปนั่งคุยกันที่โซฟา