ณ หุบเขากลางป่า เสียงใบไม้ ใบหญ้าพริ้วไหวเกิดเสียงดังซ่า ๆ ท่ามกลางสายลมที่พัดโชยเอื่อย เสียงขับร้องของเหล่าวิหคที่โบยบินอยู่บนท้องฟ้ากู่ก้องเป็นระยะ เสริมให้ป่าแห่งนี้ดูไม่เงียบเหงานัก
"อี้ฉาง ข้าเจอแล้ว อยู่นี่เอง...รากบัวสวรรค์"
เสียงใสก้องกังวานปานกระดิ่งเงินจากอีกฟากหนึ่งของป่าดังขึ้น
เสียงนั้นคือเสียงของสตรีงามนางหนึ่ง เรือนร่างบางระหง ผิวกระจ่างใสเนียนละเอียดดุจหิมะ เผยรอยยิ้มงดงามสดใสประดุจบุบผาที่แย้มกลีบบานในวสันตฤดู นามว่า “เสวี่ยอี้”
เสวี่ยอี้คือบุตรีคนเดียวของสกุลซ่ง ได้รับการถ่ายทอดวิชาการแพทย์ฉบับโบราณมาจากต้นตระกูลจนหล่อหลอมทำให้นางเป็นสตรีที่เพียบพร้อมทั้งรูปลักษณ์หน้าตาและความรู้
เช่นนั้นจึงไม่แปลกที่พบนางในป่าลึกเช่นนี้ เพราะนางมักจะพาน้องชายของนางนามว่า “อี้ฉาง” ออกมาเดินป่าหาสมุนไพรอยู่เสมอ สิ่งนี้เป็นกิจกรรมหลักของทั้งคู่ตั้งแต่ยังวัยเยาว์ เพราะนอกจากจะได้สมุนไพรดี ๆ มาใช้งานแล้ว ทั้งคู่ยังได้พัฒนาฝีมือในความรู้ด้านสมุนไพรอีกด้วย
เสวี่ยอี้ตั้งใจมาก ๆ ที่จะให้น้องชายของตนเดินตามรอยในการเป็นหมอ แต่หากว่าน้องจะเดินตามรอยบิดา โดยการสอบเข้าทำงานราชการ นางก็สนับสนุนเช่นกัน
“จริงหรือขอรับท่านพี่” อี้ฉางตะโกนตอบโต้พี่สาวตนเสียงก้องดังสะท้อนไปทั่วทั้งป่า ก่อนที่จะรีบวิ่งเข้าไปหานางอีกฝั่งหนึ่ง
เสวี่ยอี้ส่งตะกร้าสานที่มีรากบัวสวรรค์อยู่ด้านในยื่นให้อี้ฉางดู
อี้ฉางยื่นมือรับและจ้องมองพี่สาวแววตาเป็นประกายเจือความปลาบปลื้ม ใจ พลางเอ่ย "ท่านพี่สายตาดีเลิศเสมอเลยขอรับ หากท่านแม่รู้ว่าเราเจอรากบัวสวรรค์ ท่านจะต้องดีใจเป็นแน่"
"ก็แน่ล่ะ! รากบัวสวรรค์หายากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร เจ้ารู้หรือไม่ว่า...นอกจากจะหายากแล้ว รากบัวสวรรค์นี้ มีสรรพคุณชั้นเลิศอย่างไร" เสวี่ยอี้ใช้สายตาจับจ้องรอคำตอบจากน้องชายอย่างใจจดใจจ่อ
อี้ฉางเม้มปาก นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายศีรษะ เอ่ยตอบ "ไม่ขอรับ...ข้ารู้เพียงว่า ท่านแม่อยากได้ แต่ข้าก็ไม่เข้าใจว่า รากบัวสวรรค์นี้ มีดีอย่างไร"
"นี่แหนะ! " เสวี่ยอี้เขกไปที่หัวของน้องชายตนเบา ๆ หนึ่งที "เจ้านี่นะ...ข้าสอนเสมอว่าให้เป็นคนช่างสังเกต เจ้าไม่เคยจำได้เลยใช่หรือไม่"
"ข้าเปล่านะขอรับท่านพี่.. ข้าหัวไม่ดีเหมือนท่านพี่นี่นา" อี้ฉางเอ่ยเสียงแผ่ว แสดงสีหน้าสลด
"เอาเถิด... เจ้าคงต้องค่อย ๆ เรียนรู้อีกมาก เจ้าเข้ามาใกล้ ๆ สิ ข้าจะสอนเจ้าเอง"
หลังจากนั้นเสวี่ยอี้ก็ยกรากบัวสรรค์ให้อยู่ในระดับสายตา และไม่รีรอที่จะเอ่ยเล่าอธิบายถึงสรรพคุณ "รากบัวสวรรค์นี้สามารถนำไปตากแห้งและบดทำเป็นยาอายุวัฒนะได้ เพราะรากบัวสวรรค์มีสรรพคุณบำรุงธาตุภายในร่างกายให้สมดุลแข็งแรง จึงเหมาะกับผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอหรืออายุมากนั่นเอง"
"อย่างงี้นี่เอง…" อี้ฉางเอ่ยพลางพงกศีรษะ แสดงสีหน้าประหนึ่งว่าตนเข้าใจในสิ่งที่พี่สาวอธิบายแล้ว
"แล้วก็….อันนี้! " เสวี่ยอี้เด็ดดอกบัวสวรรค์ส่งยื่นให้อี้ฉาง พลางเอ่ย "ดอกบัวสวรรค์ ก็มีสรรพคุณที่ดีงามไม่แพ้กัน เพราะนอกจากกลิ่นที่หอมแล้ว หากนำดอกบัวสวรรค์ไปหมักแล้วกลั่นเป็นน้ำ ก็จะสามารถบำรุงโลหิตและบำรุงธาตุภายในได้อีกด้วย"
"สรรพคุณล้ำเลิศเช่นนี้ ข้าเข้าใจแล้วว่าเหตุใดโรงหมอเราจึงให้ราคาสูงแก่คนรับจ้างเก็บสมุนไพร"
"ถูกแล้วน้องข้า เข้าใจง่ายเช่นนี้ก็ดีแล้ว”
อี้ฉางพยักหน้าทำความเข้าใจอีกครั้ง ก่อนที่จะเหลือบไปเห็นท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีมืดครึ้ม
“ท่านพี่...ข้าว่าเรากลับจวนกันก่อนเถิด ท้องฟ้าเริ่มจะครึ้มแล้ว ข้าเกรงว่า หากอยู่ต่อนานกว่านี้ เราอาจจะเปียกปอนกันก่อนจะถึงจวนก็เป็นได้"
เสวี่ยอี้แหงนหน้าไปมองท้องฟ้าและเห็นตรงกัน “อื้ม...ข้าก็คิดเช่นนั้น เรากลับกันเถิดอี้ฉาง”
หลังจากนั้นสองพี่น้องก็ก้าวเดินลงจากเขาและมุ่งหน้าไปยังสกุลซ่งอย่างชำนาญทาง
เมื่อทั้งสองเดินมาถึงจวนสกุลซ่ง พวกเขาก็นำสมุนไพรไปเก็บไว้ที่คลัง ก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับไปที่เรือนของตน
ในขณะที่เสวี่ยอี้กำลังเดินไปที่เรือนพัก นางก็กลับฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า ช่วงนี้ฮูหยินป่วยบ่อย นางจึงอยากเอารากบัวสวรรค์ไปต้มให้มารดาทานเพื่อบำรุงทันทีเลย นางจึงตัดสินใจเดินเข้าไปในห้องครัวหลังจากที่คิดได้เช่นนั้น
ภายในห้องครัวสกุลซ่ง มีเครื่องครัวต่าง ๆ มากมาย บ้างก็แขวนอยู่ บ้างก็ถูกจัดวางอยู่บนโต๊ะไม้ตัวยาว
เสวี่ยอี้คว้าเอาหม้อต้มมาตั้งวางบนเตาไฟ พลางใช้มือหยิบเอาสูตรการปรุงอาหารขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ
"นอกจาก รากสวรรค์ที่เป็นส่วนประกอบหลักแล้วมีอะไรอีกนะ? " เสวี่ยอี้เอ่ยพลางใช้สายตาเลื่อนอ่านดูส่วนประกอบและวิธีทำ ตามที่ตนจดไว้
[ส่วนประกอบหลัก]
- รากบัวสวรรค์
- น้ำตาล
- (@:) $:) แห้ง
ส่วนประกอบหลักนี่มันอะไรกัน ข้าอ่านลายมือของเถ้าแก่ไม่ออก นอกจากรากบัวสวรรค์กับน้ำตาล ยังมีอะไร ….แห้ง อีกนะ
เสวี่ยอี้เอามือจับไปที่หว่างคิ้ว หลับตาปิดสนิท พยายามรื้อฟื้นความจำของตน แต่ก็ไม่เป็นผล
มันคืออะไรกันนะ ข้าพยายามนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก
แห้ง...อะไรแห้งกันนะ
หรือว่า
.
.
พริกแห้ง!
เมื่อคิดได้เช่นนั้น นางก็เปิดตาขึ้นและคว้าเอารากบัวสวรรค์ใส่ในน้ำที่กำลังเดือด ตามด้วย น้ำตาล และ……. พริกแห้ง ลงในหม้อ
เมื่อปิดฝาต้มน้ำ จนเวลาล่วงเลยไปครู่หนึ่ง นางก็รีบดับไฟและตักน้ำแกงใส่ถ้วยพลางมุ่งหน้าไปหาฮูหยินที่ห้องปรุงยาทันที
ณ ห้องปรุงยา
ฮูหยินในขณะที่กำลังนั่งบดยาอยู่ เมื่อเห็นเสวี่ยอี้เดินมาหาตนพร้อมถ้วยแกง นางจึงเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย "นั่นน้ำแกงอะไรหรือ"
เสวี่ยอี้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ก่อนที่จะยื่นถ้วยน้ำแกง ส่งให้ฮูหยิน "ข้าต้ม รากบัวสวรรค์ มาให้ท่านแม่เจ้าค่ะ"
เมื่อฮูหยินได้ยินเช่นนั้น ก็พลันเบิกตากว้างโต "นี่เจ้า...เอารากบัวสวรรค์จากในคลังไปต้มงั้นหรือ เจ้ารู้หรือไม่ ว่ามันหายากเพียงใด"
"โธ่...ท่านแม่เจ้าคะ ข้ามิได้ทำเช่นนั้นเสียหน่อย รากบัวสวรรค์นี้ ข้าไปเจอกับอี้ฉางบนเขามา และเก็บมาอีกเยอะเลยเจ้าค่ะ ข้าอยากให้ท่านแม่ดูสุขภาพแข็งแรงนี่เจ้าคะ ท่านแม่จะได้อยู่กับข้าไปนาน ๆ "
เมื่อได้ยินสิ่งที่บุตรสาวของตนเอ่ย ฮูหยินก็ยิ้มออกมาด้วยความซาบซึ้งใจ "อย่างนั้นเองหรือ…"
"ใช่เจ้าค่ะท่านแม่ ท่านแม่ลองดื่มสิเจ้าคะ ข้าลงมือทำเองเลยนะ"
ฮูหยินค่อยๆ หยิบเอาถ้วยน้ำแกงยกขึ้นมาดื่มกินอย่างช้าๆ
แต่เพียงแค่สองอึกเท่านั้น นางก็บ้วนน้ำแกงทิ้งทันที
"แอ่ก!!! นี่เจ้าจะฆ่าข้างั้นรึ" ฮูหยินเอ่ยพลางเทน้ำชายกขึ้นดื่มเพื่อล้างปาก
เสวี่ยอี้เผยใบหน้าตกอกตกใจทันทีที่เห็นมารดาของตนแสดงอาการเช่นนั้น"ทำไมหรือเจ้าคะท่านแม่ ข้ามิได้ ใส่ยาพิษ ลงไปในน้ำแกงเสียหน่อย"
ฮูหยินยื่นถ้วยน้ำแกงให้เสวี่ยอี้โดยไม่ตอบอะไร
เสวี่ยอี้ใช้มือรับถ้วยน้ำแกงพลางยกขึ้นชิมตามความประสงค์ของมารดา
แต่เมื่อชิมไปได้เพียงอึกเดียวเท่านั้นนางก็สำลักน้ำแกงออกมาทันที "แค่ก ๆ ๆ เหตุใดถึงได้เผ็ดเช่นนี้ล่ะเจ้าคะ ข้าจะต้องทำอะไรผิดไปเป็นแน่" เสวี่ยอี้เอ่ยพลางกระแอมไอไม่หยุด
"ไหนเจ้าเอามาให้ข้าดูซิ สูตรของเจ้าเป็นอย่างไร"
เสวี่ยอี้ยื่นสูตรอาหารให้มารดาของตนดู พลางเอ่ย "นี่เจ้าค่ะท่านแม่ นี่คือสูตรที่ข้าได้มาจากเถ้าแก่ท้ายตลาด"
เมื่อฮูหยิน ใช้สายตาไล่ดูสูตรอาหารก็พบว่าสูตรนั้นไม่ได้มีอะไรที่ผิดแผกไปจากต้นตำรับ "นี่คือสูตรของน้ำแกงชาววังขนานแท้แต่เหตุใดเจ้าถึงทำออกมาได้แย่เพียงนี้"
"นั่นน่ะสิเจ้าคะท่านแม่ หรือเป็นเพราะข้าอ่านลายมือของเถ้าแก่ไม่ออก ที่เขียนว่า อะไรสักอย่างหนึ่งแห้งน่ะเจ้าค่ะ"
"แล้วเจ้าคิดว่ามันเป็นอะไรล่ะ"
"ข้าคิดว่ามันคือ พริกแห้ง เจ้าค่ะ"
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฮูหยินก็หัวเราะพรวดออกมาทันที "ฮ่าๆๆ เจ้าไม่รู้หรือ ว่าสิ่งนั้นคือ พุทราแห้ง มิใช่ พริกแห้งเสียหน่อย น้ำแกงนี้เดิมทีจะหวานมาก ไม่มีรสเผ็ดเลยแม้แต่น้อย"
เสวี่ยอี้ก้มหน้า คลี่ยิ้มบาง ๆ แก้เคอะเขิน "ข้าพลาดไปแค่นิดเดียวเองเจ้าค่ะท่านแม่ ไว้ครั้งหน้า ข้าจะมาแก้มือใหม่นะเจ้าคะ"
ฮูหยินแสดงสีหน้าระอา ส่ายศรีษะไปมา "เห้อ...แล้วข้าจะไว้ใจให้เจ้าแต่งงานเข้าจวนท่านอ๋องได้อย่างไรกัน"
แต่งงานหรือ...นี่ข้าหูฝาดไปหรือไม่!
"ตะ ...แต่งงานหรือเจ้าคะ" เสวี่ยอี้เบิกตากว้างโตด้วยความตกใจ
"ก็ใช่นะสิ เจ้าฟังไม่ผิดหรอก" ฮูหยินกล่าว
เสวี่ยอี้ยืนตะลึงงันไปชั่วครู่พลางเอ่ยต่อต้านเสียงแข็ง "เหตุใดข้าต้องแต่งงานด้วย ข้าอยากอยู่กับท่านพ่อ ท่านแม่ที่นี่"
"ก็เจ้าเป็นบุตรีของตระกูลซ่ง และนี่ก็เป็นพระราชโองการของฝ่าบาท เจ้าจะฝ่าฝืนได้งั้นหรือ"
"ไม่! ข้าไม่แต่ง ท่านแม่อย่าบังคับข้าจะดีกว่า" ในแววตาเป็นประกายแวววับเจือแสง เสวี่ยอี้ยืนกรานปฏิเสธด้วยสายตามุ่งมั่น
"แต่หากเจ้าไม่ยอมแต่ง เราจะมีชะตากรรมเช่น ไร ฮ่องเต้จะยอมงั้นหรือ"
เสวี่ยอี้ฉุกคิดเล็กน้อย จริงด้วย...นี่เป็นงานแต่งพระราชทาน หากข้าหนี ครอบครัวข้าจะต้องมีอันตรายเป็นแน่ ไหนพ่อข้าจะทำราชการอีก คงไม่ต้องเดาว่า ชีวิตของครอบครัวข้าจะเป็นเช่นไร หากข้าปฏิเสธ
"ก็แล้วเหตุใดท่านแม่เพิ่งจะมาบอกข้าละเจ้าคะ" เสวี่ยอี้เอ่ยตอบเสียงเอื่อยเฉื่อย สงบท่าทีลง
"ข้าหาโอกาสบอกเจ้าอยู่หลายครั้งแต่ เจ้าก็ชวนข้าคุยเรื่องอื่นเสียทุกที ข้าก็อึดอัดใจเช่นกัน แต่พอมานึก ๆ ดูแล้ว การที่เจ้าแต่งเข้าจวนองค์ชาย มันก็เป็นวาสนาของเจ้ามิใช่หรือ"
เสวี่ยอี้ถอนหายใจเฮือกยาวด้วยความท้อแท้ใจ "แล้วแบบนี้...ข้าจะเลือกทางไหนได้ล่ะเจ้าคะ" เสวี่ยอี้เดินเข้าไปโอบกอดฮูหยิน พลางเอ่ย "เช่นนั้น ช่วงเวลาที่เหลือนี้ข้าจะขอดูแลท่านพ่อ ท่านแม่และอี้ฉางให้ดีที่สุดเท่าที่ข้าจะทำได้ละกันนะเจ้าคะ"
ฮูหยินโอบกอดบุตรสาวของตนกลับด้วยความใจหายพลางใช้มือค่อย ๆ ลูบศีรษะอย่างช้า ๆ
"เจ้าน่ะ...คือลูกที่ดีสำหรับข้าเสมอ"