การกระทำของอ๋องแปดแสดงให้เห็นถึงการต่อต้านและไม่ยอมรับตัวเสวี่ยอี้เป็นชายาอย่างชัดเจน ถึงแม้ว่าจะมีการแต่งงานเข้าจวนตามขนบธรรมเนียมมาแล้วก็ตาม
แต่นางก็ยังคงนำสำรับอาหาร ไปหาอ๋องแปดที่เรือนทุกเช้า เพื่อที่จะได้ทานอาหารและพูดคุยร่วมกัน นางรับรู้มาว่ามีแค่ช่วงเช้าเท่านั้น ที่จะสามารถพบเจออ๋องแปดได้ เพราะเวลาอื่น อ๋องแปดก็เอาแต่นั่งทรงงานไม่ให้เข้าพบ หรือไม่ก็ออกไปทำราชการนอกวัง แต่สุดท้ายแล้วความพยายามนั้นก็พังทลายลง เพราะโดนปฏิเสธกลับมาทุกครั้ง ทำให้นางรู้สึกเหนื่อยหน่ายใจ
ณ เรือนพักของเสวี่ยอี้
“หากความรักไม่ก่อเกิด ข้าจะอยู่ในจวนแห่งนี้ลำบากหรือไม่นะ” เสวี่ยอี้หลับตาครุ่นคิดพลางถอนหายใจออกมาเฮือกยาว
ถานเอ้อร์ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เสวี่ยอี้ เมื่อได้ยินเสียงพึมพำของนายหญิงตน นางก็รีบสะกิดเรียกและเอ่ยกระซิบถามทันใด “คุณหนูเจ้าคะ...อะไรลำบากหรือเจ้าคะ”
เสวี่ยอี้เปิดตาพลันหันไปดุถานเอ้อร์ด้วยสายตาเคร่งขรึม “ข้ากำลังใช้สมาธิอยู่ เหตุใดเจ้าถึงมากวนข้า”
“หม่อมฉันก็แค่อยากช่วยน่ะเจ้าค่ะ ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ แววตาของคุณหนู ดูเหมือนคนไม่มีความสุขเลย ดูเศร้าหมอง ไม่สดใสงดงามเหมือนแต่ก่อนเลยนะเจ้าคะ”
คำพูดของถานเอ้อร์ ทำให้นางฉุกคิดและกลับมาสำรวจตนเองอีกครั้ง “จริงหรือ...ข้าเป็นเช่นนั้นเลยอย่างนั้นหรือ"
"จริงเจ้าค่ะคุณหนู" ถานเอ้อร์ยังคงเอ่ยยืนยันคำเดิม
เสวี่ยอี้รู้สึกไม่พึงพอใจกับสภาพของตนในเวลานี้มากนัก พลางเอ่ยด้วยสีหน้าท้อแท้ใจ "เจ้าไม่เห็นหรือ...ว่าเพราะเหตุใดข้าถึงเป็นเช่นนี้”
“หม่อมฉันเห็นเจ้าค่ะ หม่อมฉันว่า...ท่านอ๋องทำกับคุณหนูเกินไปจริง ๆ นะเจ้าคะ”
“เจ้าว่า...ต่อไป ชะตากรรมชีวิตข้าจะเป็นเช่นไร ข้าจะต้องไปบวชอยู่ที่วัดหรือไม่”
ถานเอ้อร์เผยรอยยิ้มแห้ง ก่อนที่จะเอ่ยตอบนายหญิงตนด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก “เอ่อ...หม่อมฉันว่า ก็มีโอกาสนะเพคะ”
“ถานเอ้อร์!!!”
“กะ ก็ คุณหนูถามความเห็นหม่อมฉันนี่เพคะ”
เสวี่ยอี้ทอดถอนหายใจพลางทำหน้าเศร้าสลดอีกครั้ง “ข้าเบื่อ...ข้าอยากออกไปข้างนอกบ้าง อยู่ในนี้ข้ารู้สึกทุกข์ใจ อุดอู้ อึดอัดไปเสียหมด”
“คุณหนูไม่ลองชวนท่านอ๋องออกไปข้างนอกดูล่ะเจ้าคะ”
“เจ้าไม่เห็นหรือ แม้แต่หน้าข้า ท่านอ๋องยังไม่อยากจะพบเลย เจ้าคิดว่าท่านอ๋องจะไปกับข้าหรือไม่ล่ะ”
“ก็จริงเจ้าค่ะ…เช่นนั้นก็ล้มเลิกความคิดเถิดเจ้าค่ะ”
“ได้อย่างไรกัน อย่างไรเสีย ข้าก็จะออกไป เจ้าออกไปกับข้านะ” เสวี่ยอี้เอ่ยชักชวนด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความหวังเป็นประกาย
“ออกไปอย่างไรเจ้าคะ แอบออกไปหรือเจ้าคะ”
“ข้าเป็นชายาของอ๋องแปด มิใช่นักโทษเสียหน่อย เหตุใดต้องพูดเหมือนข้าถูกจองจำอย่างไรอย่างนั้นด้วย”
“ก็ไม่จริงหรือเจ้าคะ หน้าประตูจวนก็มีองครักษ์ยืนคุ้มกันไม่ให้คุณหนูออกไปนอกจวน...ไม่ใช่ก็เหมือนใช่เจ้าค่ะ”
“โอ๊ย!!!” เสวี่ยอี้เอามือจับกุมขมับตนด้วยความทุกข์ใจ “นี่ท่านอ๋องเห็นข้าเป็นผู้ใดกัน แต่งงานเพื่อนำข้ามากักขังอย่างนั้นหรือ”
“หากคุณหนูอยากออกไปจริง ๆ ก็พอมีวิธีนะเจ้าคะ”
เสวี่ยอี้เผยแววตาเปล่งประกายมันวาวทันใดเมื่อได้ยินเช่นนั้น พลางคะยั้นคะยอถาม “วิธีไหนหรือถามเอ้อร์”
ถานเอ้อร์เลื่อนตัวเข้าไปหาเสวี่ยอี้อย่างช้า ๆ พลางเอ่ยกระซิบที่ข้างหูน้ำเสียงแผ่วเบา "ด้านหลังจวน มีประตูลับเก่าๆ บานหนึ่งถูกทิ้งร้างเจ้าค่ะ ประตูบานนั้นสามารถทะลุออกไปยังท้ายตลาดได้ หม่อมฉันไปสำรวจมาแล้ว ไม่มีผู้ใดผ่านเข้าออกทางนั้นเลยเจ้าค่ะ”
“จริงหรือ...ถานเอ้อร์” เสวี่ยอี้รู้สึกเหมือนตนเองได้รับพรจากสรวงสวรรค์
ปกติแล้ว ท่านอ๋องไม่แม้แต่จะมาสนใจข้าเลยแม้แต่น้อย หากข้าแอบออกไปครู่หนึ่ง ท่านอ๋องก็คงไม่ล่วงรู้หรอกกระมัง “เป็นแผนที่ดีมากถานเอ้อร์ ข้าเห็นด้วยกับแผนนี้”
“แล้วคุณหนูจะออกไปวันไหนดีเพคะ หม่อมฉันจะได้ตระเตรียมชุดสำหรับพรางตัวเอาไว้”
“วันพรุ่งนี้เลยก็แล้วกัน” เสวี่ยอี้เอ่ยพลางเผยรอยยิ้มที่มุมปากอย่างมีเลศนัย
วันต่อมา...
เสวี่ยอี้ได้เตรียมตัวแอบออกไปข้างนอกจวนตามแผนที่ได้วางเอาไว้กับถานเอ้อร์ โดยที่นางให้ถานเอ้อร์แอบตระเตรียมซ่อนชุดอำพรางตัวเอาไว้ที่ห้องอาบน้ำ หลังจากนั้นนางก็ให้ถานเอ้อร์จัดการดูที่ทางให้เรียบร้อยและไปรอนางที่ด้านหลังประตูลับนั้น โดยให้สาวใช้ในจวนสองคนที่ไม่ใช่ถานเอ้อร์ยกสำรับอาหารตามนางไปยังเรือนของอ๋องแปดแทน และสาเหตุที่ยังคงนำอาหารไปที่เรือนของอ๋องแปดนั้น ก็เพื่อที่จะทำตัวเป็นปกติไม่ให้เกิดความผิดสังเกตใดๆ
เมื่อเสวี่ยอี้ ก้าวเดินมาถึงหน้าจวนของอ๋องแปด นางก็ปฏิบัติตามปกติเฉกเช่นทุกวัน คือการตะโกนเข้าไปถามด้านในเรือนเพื่อให้อ๋องแปดได้ยิน ประโยคเดิม ๆ ว่า “ท่านอ๋องเพคะ...หม่อมฉันนำอาหารมาทานกับท่านอ๋องแล้วนะเพคะ”
เสียงเงียบงัน ไร้ซึ่งเสียงใดตอบรับ
เสวี่ยอี้เผยรอยยิ้มกรุ้มกริ่มทันใด เพราะนางรู้ว่า สุดท้ายแล้ว...อ๋องแปดก็จะปฏิเสธนางดังเช่นทุกวันที่ผ่านมา และหากเป็นเช่นนั้น การแสดงนี้ก็จะเสร็จสิ้นและนางก็จะได้ออกไปจากจวนเสียที
“เข้ามา!”
เสียงทุ้มเข้มของอ๋องแปดตะโกนออกมาจากเรือนเสียงลั่น ทำให้เสวี่ยอี้รู้สึกประหลาดใจอยู่ไม่น้อย เพราะตั้งแต่แต่งงานเข้าจวนมา อ๋องแปดไม่เคยร่วมรับประทานอาหารกับนางเลยแม้แต่ครั้งเดียว
'วันนี้ท่านอ๋องป่วยอย่างนั้นหรือ อยู่ดี ๆ ก็อยากจะร่วมทานอาหารกับข้าเสียอย่างนั้น' เสวี่ยอี้คิดในใจพลางแสดงสีหน้าผิดหวัง ก่อนที่จะเดินเข้าไปในเรือนของอ๋องแปดด้วยท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ
เมื่อเดินไปถึง…นางก็พบว่า อ๋องแปด ได้จัดเตรียมอาหารของตนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว นางจึงหันไปสั่งการสาวรับใช้ ให้จัดเตรียมอาหารเฉพาะของนางวางเอาไว้เท่านั้น ก่อนที่จะเดินไปนั่งหน้าสำรับนั้นอย่างสำรวม
“เจ้าไม่กินล่ะ” อ๋องแปดกล่าว ในขณะที่ตนใช้ตะเกียบคีบอาหารเข้าปากและทานมันอย่างเอร็ดอร่อย
เสวี่ยอี้ก็ค่อย ๆ ใช้ตะเกียบคีบอาหารใส่ลงไปในถ้วยข้าวของตนเองตามคำชักชวน
แล้วบรรยากาศก็เงียบงันฉับพลันอยู่ครู่หนึ่ง
เสวี่ยอี้ไม่เอ่ยคำใดต่ออ๋องแปดเลยแม้แต่น้อย นางตั้งหน้าตั้งตาทานอาหารที่อยู่ตรงหน้าให้หมด เพื่อที่จะได้ออกจากเรือนของอ๋องแปดให้เร็วที่สุดและดำเนินการตามแผนที่วางเอาไว้
“เจ้าเป็นใบ้หรือ...เหตุใดถึงไม่พูดคุยกับข้า”
เสวี่ยอี้ชะงักนิ่ง หยุดทานต่อ ก่อนที่จะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “หม่อมฉันไม่รู้ว่าจะพูดคุยสิ่งใดกับท่านอ๋องเพคะ”
“แล้วเจ้ามีอะไรอยากจะบอกข้าหรือไม่”
มีอะไรอยากจะบอกท่านงั้นหรือ...เหตุใดข้าถึงรู้สึกแปลก ๆ กับคำพูดของอ๋องแปดยังไงชอบกล “ไม่เพคะ...เอ่อ...อาหารอร่อยดีนะเพคะ”
“แค่นั้นน่ะหรือ…” อ๋องแปดยังคงพยายามเอ่ยถามคาดคั้นไม่หยุด
“เพคะ”
หลังเสวี่ยอี้เอ่ยจบ อ๋องแปดก็จ้องมองนางด้วยแววตาเคร่งขึมอย่างต่อเนื่อง ทำให้บรรยากาศรอบด้านดูกดดัน อึดอัด เสียจนทำให้นางรู้สึกว่ารสชาติอาหารไม่อร่อยไปเสียแล้ว
เมื่ออาหารในสำรับของเสวี่ยอี้หมด นางก็พลันวางตะเกียบลง และเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “หม่อมฉันอิ่มแล้วเพคะ”
“งั้นหรือ…เจ้ารีบกินเกินไปหรือไม่ อาหารของข้าเหลืออีกตั้งเยอะ”
“หม่อมฉันขอตัวก่อนนะเพคะ” เสวี่ยอี้ลุกขึ้นและรีบเดินออกจากจวนทันใด โดยที่ไม่สนใจคำพูดใดที่ออกมาจากปากของอ๋องแปดเลยแม้แต่น้อย
ปล่อยให้อ๋องแปดที่กำลังจะอ้าปากเอ่ยคัดค้าน รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก
.
.
.
หลังจากที่เสวี่ยอี้เดินหลุดพ้นออกมาจากเรือนอ๋องแปดแล้ว นางก็ไม่รีรอที่จะดำเนินตามแผนการที่ตกลงกันไว้กับถานเอ้อร์
อย่างแรกคือการเปลี่ยนอาภรณ์ปลอมตัวเป็นชายหนุ่มเสียก่อน
เสวี่ยอี้สวมอาภรณ์ของบุรุษสีน้ำตาลอ่อนทั่วตัว พลางมัดผมรวบขึ้นมุ่นสูง ผูกด้วยเศษผ้าสีน้ำตาลอ่อน สีเดียวกันกับชุดที่สวมใส่
ถึงแม้ว่า รูปร่างอันอรชรของเสวี่ยอี้จะมิอาจซ่อนเร้นความเป็นหญิงได้ แต่ชุดที่ดูโปร่งตัวใหญ่นั้น ก็สามารถช่วยอำพรางและปรับรูปร่างของนางให้ดูตัวใหญ่มากขึ้นสมดั่งใจปรารถนา
เมื่อนางแต่งกายทุกอย่างจนเสร็จสิ้นแล้ว นางก็รีบออกจากห้องอาบน้ำ และมุ่งหน้าไปยังประตูลับอย่างเร็วไว
เสวี่ยอี้ค่อย ๆ เดินผ่านห้องครัว ห้องโถงและเรือนพักคนรับใช้ไปอย่างช้า ๆ ด้วยความระมัดระวัง จนมาถึงประตูลับที่ถานเอ้อร์บอกเอาไว้ในที่สุด
ประตูลับที่ปรากฏตรงหน้าเสวี่ยอี้นั้น ดูเก่าและทรุดโทรมเสียมาก มีเพียงแท่งไม้เก่า ๆ ที่ปิดกั้นประตูบานนี้เอาไว้อยู่
"ถานเอ้อร์...เจ้ารออยู่นอกประตูใช่หรือไม่" เสวี่ยอี้เอ่ยเสียงเรียกข้ามออกนอกประตูเพื่อตรวจสอบดูว่าถานเอ้อร์ได้รอนางอยู่ด้านนอกอยู่หรือไม่
เพียงไม่นาน ประตูลับบานนั้นก็ถูกเปิดออก….
และก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ถานเอ้อร์ที่หลบอยู่หลังประตู เดินเข้ามาจูงมือเสวี่ยอี้ให้ออกไปนอกจวนอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะใช้ไม้ขนาดใหญ่ปิดกั้นประตูด้านนอกเอาไว้ ไม่ให้ผู้ใดผ่านออกมาจากประตูนี้ได้
'สวรรค์… นี่ข้าได้ออกมาสูดบรรยากาศนอกเรือนแล้วอย่างนั้นหรือ' เสวี่ยอี้ยิ้มออกมาด้วยความสุขใจ เมื่อนางได้เห็นความละลานตาของผู้คนมากมายในตลาดอีกครั้ง