เสียงตะโกนแหลมสูงดังขึ้นพร้อมชายร่างสูงใหญ่แผ่กลิ่นอายความสูงส่งและน่าเกรงขาม
เหล่าสาวใช้ย่อตัวถวายความเคารพอย่างทุกที เว้นกู่ถิงเซียงที่นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้เกาะสลักลายมังกร ไม่แม้แต่จะชายตามองบุรุษที่ยืนอยู่เบื้องหน้า
“ถิงเซียง” เสียงทุ้มกล่าวเรียก แต่หญิงสาวกลับทำเป็นไม่ได้ยิน
เหมยซานที่ลอบมองสังเกตการณ์ความง้องอนของนายหญิงแล้วก็ได้แต่สบถด่าในใจ โธ่... พระสนม ฮ่องเต้อุตส่าห์มาหาท่าน ท่านยังจะเล่นตัวอีกหรือ
เหมยซานกลั้นใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกวักมือเรียกบ่าวคนหนึ่งให้ยกชามข้าวต้มมาวางตรงโต๊ะด้านข้างเก้าอี้ที่กู่ถิงเซียงนั่งอยู่ จากนั้นหันไปโค้งศีรษะให้ฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนพร้อมกล่าวอย่างนอบน้อม
“ทูลฝ่าบาท พระสนมนอนกระสับกระส่ายตลอดคืน ตื่นเช้ามาก็ไม่แจ่มใส อาหารทุกอย่างล้วนไม่ถูกปากจึงไม่ยอมเสวยเพคะ”
กู่ถิงเซียงหันไปถลึงตาใส่สาวใช้ตัวดีทันที นี่นางเป็นคนของตนหรือเป็นคนของฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนกันแน่ เหตุใดถึงรายงานซะหมดเปลือกเช่นนั้นกัน
มันน่าขายหน้าไม่ใช่หรือไง!
“ทุกคนออกไป”
สิ้นคำสั่งจากเบื้องสูง ทุกคนรีบก้มหน้าถอยหลังออกจากห้องโดยเร็ว เหมยซานหันมาขยิบตาให้กู่ถิงเซียงหนึ่งที ก่อนจะรีบวิ่งตามคนอื่นๆ ออกไป
สาวใช้ปากมาก มันน่าจับมาตีก้นนัก!! กู่ถิงเซียงเหลือบมองฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนที่ทิ้งตัวลงยังเก้าอี้ด้านข้าง ระหว่างพวกเขาถูกขวางกันด้วยโต๊ะกลมตัวเล็ก ซึ่งมีชามข้าวต้มที่เหมยซานให้บ่าวยกมาวางไว้อยู่ด้านบน
“เมื่อวานข้า...มีเรื่องต้องจัดการเยอะมาก จึงไม่ได้มาหาเจ้าตามสัญญา ข้า...ข้าผิดเอง อย่าโกรธเลยนะ” เสียงวางอำนาจเมื่อครู่หายไปทันทีที่ไร้ผู้คนรอบกาย มือหนึ่งยกชามข้าวต้มขึ้นเป่าพลางชำเลืองมองกู่ถิงเซียงเป็นระยะ
“เจ้าจะไม่พูดอะไรกับข้าหน่อยเหรอ”
กู่ถิงเซียงเชิดหน้าไม่ตอบ
“ถิงเซียง”
“ฝ่าบาทวางพระทัย หม่อมฉันไม่มีสิทธิ์โกรธหรือไม่พอใจในการกระทำฝ่าบาทหรอกเพคะ หม่อมฉันเป็นผู้น้อย เป็นผู้อาศัย สำนึกตนดีว่าเป็นเพียงหนึ่งในตัวเลือกของพระองค์ มิกล้าอาจเอื้อมแสดงตนว่าสำคัญหรอกเพคะ”
คิ้วหนาขมวดเข้าหากันเล็กน้อย พลางหัวเราะเสียงต่ำ “ข้างงกับคำพูดของเจ้านัก เหตุใดต้องพูดวกวนคล้ายประชดประชันเช่นนั้นด้วย”
ฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนยื่นช้อนไปตรงหน้าของกู่ถิงเซียงแต่นางก็เบือนหน้าหนีไปอีกทาง
“จะกินดีๆ หรือจะให้ข้าจับกรอก”
กู่ถิงเซียงรีบหันหน้ากลับมาพร้อมตั้งท่าจะเถียงกลับ ทว่านางกลับชะงักงันทันทีที่เห็นสายตาคมกริบจ้องมาราวตำหนิ ดูท่านางจะทำเขาโมโหจริงๆ เสียแล้ว
กู่ถิงเซียงเอื้อมมือออกไปหมายจะหยิบช้อนและชามข้าวต้มมากินเอง ทว่าฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนกับส่ายหน้าและตรัสเสียงแข็ง
“อ้าปาก”
“หม่อมฉันจะกินเอง”
“จะอ้าหรือไม่”
“ไม่!”
ทันทีที่คำว่า ไม่ ถูกโพล่งออกไป ร่างบางก็ถูกยกขึ้นจนตัวลอย กู่ถิงเซียงกรีดร้องด้วยความตกใจ ปัดป่ายมือไปมาพลางตะโกนให้บุรุษปล่อยนางลง
“ยอมแล้วๆ หม่อมฉันยอมแล้ว”
ฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนลอบยิ้ม ก่อนวางสตรีลงที่เก้าอี้ตัวเดิม และยกชามข้าวต้มเจ้าปัญหาขึ้นมา เป่าสองสามทีพร้อมออกคำสั่ง “อ้าปาก”
กู่ถิงเซียงกลอกตาอย่างไร้หนทางจะต่อรอง จำใจเปิดปาก เคี้ยวและกลืนข้าวต้มลงคออย่างไม่สบอารมณ์ กระทั่งคำสุดท้ายถูกป้อนเข้าปาก กู่ถิงเซียงก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“หากครั้งหน้าไม่ยอมกินข้าวอีก ข้าจะผูกเจ้าห้อยหัวและง้างปากเจ้าด้วยคีบเหล็ก”
กู่ถิงเซียงตาเบิกกว้าง ตื่นตะลึงทันทีที่ได้ยิน อะไรมันจะโหดขนาดนั้น! แค่อดข้าวมื้อสองมื้อไม่ตายหรอกน่า แล้วถ้าวันไหนเกิดอยากไดเอทขึ้นมา นางจะไม่โดนเฆี่ยนจนตายเลยหรือไง
“ไม่กินไม่นอน อยากล้มป่วยหรือไง เจ้านี่นะ-”
“ใช่ว่าหม่อมฉันอยากจะทรมานกายตัวเอง...” กู่ถิงเซียงเม้มริมฝีปากจนบวมแดง หลุบตาลงต่ำไม่กล้ามองสบตา แต่แล้วกลับถูกมือใหญ่ช้อนคางเรียวขึ้น
“อยากจะบอกว่าคิดถึงข้าจนนอนไม่หลับ ข้าวปลาก็กินไม่ลงงั้นสิ”
“มะ...หม่อมฉันไม่ได้...”
จู่ๆ พลันถูกประกบจูบไม่ทันตั้งตัว มือบุรุษรั้งท้ายทอยของหญิงสาวไม่ให้ถอยหนี อีกมือลูบไล้ลงไปที่เบื้องล่าง ยกขาเรียวทั้งสองให้ เกี่ยวรัดเอวของตน ความรู้สึกร้อนวูบทำกู่ถิงเซียงสะดุ้งตัว พยายามออกแรงดันอกแกร่งให้ถอยห่าง
“ถิงเซียงอย่าขัดใจข้า”
น้ำเสียงแหบพร่าเจือความลุ่มหลง ริมฝีปากไม่อาจผละออกจากลิ้นเล็กที่ได้ดูดดึง ความหอมหวานแฝงกลิ่นสมุนไพรอ่อนๆ จากชามข้าวต้มที่หญิงสาวเพิ่งกินเข้าไปยังคงหลงเหลืออยู่ในปาก ทำบุรุษแทบอยากจะกลืนกินนางให้หมดทั้งตัว
แม้กู่ถิงเซียงจะทำเป็นขัดขืนในทีแรก ทว่าเมื่อได้รับรสจูบล้ำลึกจากฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนแล้ว สติทุกอย่างพลันขาดหาย ถูกชักนำอารมณ์อย่างง่ายดาย
นางไม่อาจปฏิเสธได้ว่าตัวเองโหยหาและคิดถึงบุรุษผู้นี้มากขนาดไหน