“ว่าแต่ป้าใจให้คนไปทำความสะอาดบ้านพักที่เตรียมให้วิศวกรที่จะมาดูงานเรียบร้อยหรือยังคะ”
“ป้าทำเสร็จสองวันแล้วค่ะ นี่ก็ให้เด็กมันเข้าไปปัดกวาดเช็ดถูกทุกวัน ไม่รู้คุณเค้าจะมาวันไหน”
“เห็นว่าติดงานที่กรุงเทพฯอยู่ค่ะ แป้งเองก็บอกเขาไปว่าเราไม่รีบก็เลยยังไม่ได้วันที่แน่นอน”
“ดีแล้วค่ะคุณแป้ง เดี๋ยวเขาจะนึกว่าเราอยากใบอนุญาตเร็วๆ แล้วเรียกเงินใต้โต๊ะหรือค่าน้ำร้อนน้ำชามันจะลำบากใจเปล่า"
“หนูก็ว่างั้นแหละค่ะป้า แต่มันก็มีทุกวงการนั้นแหละ”
ปาณิศายิ้มน้อยๆ เธอมักจะพูดน้อยแต่มีรอยยิ้มอยู่เสมอ แรกๆที่มาอยู่ก็ค่อยมีคนชอบเธอนัก เธออายุรุ่นลูกรุ่นหลานแล้วยังมาแต่งงานกับผู้ชายแก่คราวพ่อที่ร่ำรวยมหาศาล แน่นอนว่าทุกคนคิดว่าเธอหวังทรัพย์สมบัติของคุณบารมี เธอได้แต่ก้มหน้าก้มตาใช้ชีวิตอย่างพยายามไม่มีเรื่องกับใคร คุณบารมีเองก็คอยปราบคนงานและคนรับใช้ให้มองเธอในแง่ดี หลายปีกว่าที่ใครต่อใครจะยอมรับเธอในฐานะภรรยาของคุณบารมี เจ้าของไร่วารีบุตร อดทนอีกสักสองสามปีเธอก็จะได้ปลดภาระเหล่านี้เสียที
หญิงสาวเห็นว่าคงไม่มีใครให้เธอทำอะไรแน่ๆ จึงขอตัวหลบไปหาที่พักผ่อนจริงๆ เสียที เธอล้ามาเกือบเดือนแล้ว หญิงสาวในชุดเสื้อผ้าฝ้ายคอจีนสีครีมกับผ้าซิ่นสีเขียวอ่อนเข้ากับผิวขาวผ่องยิ่งนัก ผมยาวสลวยม้วยขึ้นแล้วใช้ปิ่นเงินปักไว้ เธอชอบแต่งตัวชุดพื้นเมืองแบบนี้ ยกเว้นเวลาที่ต้องทำงานสมบุกสมบันก็จะเปลี่ยนเป็นกางเกงยีน ใบหน้ามีเพียงแป้งบางๆทาทับผิวอ่อนนุ่ม และริมฝีปากที่เคลือบลิปมันสีชมพูจางๆ
เธอไม่ค่อยชอบแต่งตัวอะไรนัก เสื้อผ้าเครื่องประดับซื้อเท่าที่จำเป็นจนคุณบารมีบ่นเสมอและเป็นฝ่ายซื้อสร้อยเพชรหรือไข่มุกสวยๆให้ ปาณิศาไม่อยากรับของจากเขาไปมากกว่านี้ แค่คุณบารมีจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาตัวของคุณพ่อ และยังไถ่ถอนโฉนดคืนให้ เธอซาบซึ้งใจมากพอแล้ว แต่คุณบารมียังซื้อของให้และยังมีเงินฝากให้เธอทุกเดือน ซึ่งปกติเธอเองไม่ค่อยได้ใช้อะไรมากนัก นอกจากโอนเงินไปให้พ่อกับแม่ทุกเดือน
เพชรบูรณ์กับเชียงใหม่ไม่ไกลกันนัก แต่เหมือนมีม่านหมอกจางๆ ทำให้พ่อพูดคุยกับเธอไม่เหมือนก่อน แม่ก็มักจะเผลอทำน้ำตาร่วงเสมอเพราะคิดว่าตัวเองเป็นต้นเหตุที่ทำให้ลูกสาวต้องไปแต่งงานกับผู้ชายที่ไม่ได้รัก หลังจากผ่าตัดสุขภาพของคุณพ่อดีขึ้นตามลำดับ ท่านชอบปลูกไม้ดอกไม้ประดับโดยเฉพาะกล้วยไม้ เธอเคยพูดกับแม่บ่อยๆว่า
“พ่อคงคุยกับกล้วยไม้มากกว่าหนู”
“พ่อเขาเองก็รู้สึกผิดที่...”
“แม่ค่ะ...อย่าคิดเรื่องนั้นเลยค่ะ แป้งเต็มใจไปนี่ค่ะ คุณบารมีเองก็ดูแลแป้งเป็นอย่างดี ถือว่าแป้งโชคดีกว่าใครหลายคนแล้วที่ไม่มีสามีขี้เหล้าเมายา ซ้อมเมียหรือมีเมียน้อย คุณบารมีทำแต่งานและก็รักลูกมาก นี่แป้งก็สอนพิเศษให้ลูกคุณบารมีด้วยค่ะ”
“แล้วลูกมีความสุขหรือเปล่าล่ะ”
“มันขึ้นอยู่กับว่าเรานิยามความสุขไว้ยังไง สำหรับแป้ง แค่นี้ก็มากพอแล้วค่ะ เสียใจก็ตรงที่ตัวเองไม่ได้อยู่ใกล้ๆ ค่อยปรนนิบัติพ่อกับแม่”
“ลูกแต่งงานแล้วก็ต้องออกเรือนไปอยู่กับสามีมันเป็นเรื่องธรรมดา แค่สิ่งที่แป้งทำมันก็แสดงความกตัญญูมากพอแล้วล่ะลูก”
นั้นเป็นบทสนทนาครั้งล่าสุด เธอเองก็เกรงว่าเอาหน้าไปให้เห็นบ่อยๆจะทำให้พ่อไม่สบายใจ พอคุณบารมีเสียเธอเองก็มีงานที่ต้องทำมากมายจนกลายเป็นปีละครั้งที่ได้กลับบ้าน มีแต่เงินที่โอนไปสม่ำเสมอกับของใช้บางอย่างที่ฝากรถส่งของของที่ไร่ที่จะผ่านบ้านเธอไปด้วยก็เท่านั้น
หญิงสาวเดินออกจากบ้านหลังใหญ่ที่โดดเด่นอยู่บนที่ดินแสนงดงามของไร่วารีบุตร คุณบารมีปลูกพืชอินทรีย์ไม่ใช่สารเคมี ทดลองมาหลายสิบปีกว่าผลผลิตจะงอกงามขนาดนี้ เมื่อก่อนเธอขับมอเตอร์ไซค์ก็ยังไม่เป็น แต่พอมาอยู่บ้านสวนบ้านไร่ เธอก็ได้หันขับทั้งรถสองล้อและรถสี่ล้อ คุณบารมีบังคับให้เธอหัดขับเพราะหากเกิดเหตุฉุกเฉินจะได้ช่วยตัวเองได้ เขาเป็นเหมือนพ่อมากกว่าสามีเสียอีก
วันนี้เป็นวันที่คุณบารมีจากไป โดยปกติทุกปีก็จะทำบุญเลี้ยงพระ ปีนี้ก็ไม่ได้ต่างกันนัก ข้าวปลาอาหารที่เหลือก็แจกจ่ายให้คนรับใช้และคนงาน เมื่อครั้งที่คุณบารมีเสีย หลายคนกลัวว่าเธอจะเปลี่ยนแปลงไร่นี้ บางคนกลัวตกงาน แต่เธอก็พยายามทำทุกอย่างสืบทอดเจตนารมณ์ของคุณบารมีไว้ให้ได้มากที่สุด
ขณะที่เดินเพลินๆดูรอบบ้านอยู่นั้น เท้าของเธอก็ไปสะดุดกับก้อนหิน เพราะไม่ทันระวังจึงเสียหลักจะล้มลง แต่มีมือใหญ่มาคว้าเธอไว้ได้ก่อน
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับคุณแป้ง”
“คุณวิทยามาเมื่อไหร่คะ” ปาณิศาทักจะยิ้มก็ไม่เต็มปากนัก เธอมองมือของเขาที่ยังจับไหล่เธอไว้ไม่ยอมปล่อยง่ายๆ
“ตั้งใจจะมาให้ทันถวายอาหารเพล แต่ก็ติดงานมาไม่ทันจริงๆ” วิทยาพูดแล้วเผลอคลึงนิ้วกับผิวกายเนียนนุ่มที่โผล่พ้นขอบแขนเสื้อ