หญิงสาวหลับตา ดื่มด่ำกับความทรงจำกับความรักของแรก แต่เวลานี้เขานอนอยู่บนเตียงเดียวกับเธอ และมันไม่ควรเป็นแบบนี้ เธอเจอเขาเมื่อช่วงเย็นหลังเดินออกมาจากร้านอาหารญี่ปุ่นนี่นะ ทำไมเขายังอยู่ตรงนี้ล่ะ แทบยังนอนหลับสบายราวกับอดหลับอดนอนมาหลายร้อยปี แต่ที่แย่ที่สุดคือเธอนอนหนุนแขนแถมกอดก่ายเขาอย่างกับเป็นหมอนข้างอีกต่างหาก หญิงสาวขยับตัวอย่างเบาที่สุดเพราะเกรงเขาจะตื่น แต่ยังไม่ทันยันตัวเองออกจากร่างที่เธอหนุนอยู่นั้น มือใหญ่ก็ตวัดมาโอบรัดไม่ให้เธอขยับตัวได้
“จะรีบลุกไปไหน ยังไม่สว่างเลยนี่”
ปาณิศาอึกอักพูดอะไรไม่ออก เธอมองเลยไปที่นาฬิกาที่แขวนประดับผนังห้องอยู่ เวลาเพิ่งจะตี5เท่านั้น แต่...เธอหลับไปนานขนาดนี้เลยหรือ? หลับไปกับคนแปลกหน้าอย่างนี้ได้อย่างไรกัน เสียงถอนหายใจแรงๆทำให้เธอเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นดวงตาคู่นั้นจ้องมองอยู่ก่อนแล้ว
“ทำไมคุณมานอนตรงนี้”
กว่าปาณิศาจะตั้งสติได้ก็ผ่านไปหลายนาที เธอเริ่มดิ้นขลุกขลักเพื่อให้หลุดจากวงแขนที่โอบรัด แต่อีกฝ่ายทำเสียงหงุดหงิดในลำคอแล้วพลิกตัวขึ้นคร่อมร่างบางทันที ดวงตาของทั้งคู่ประสานกันนิ่งแม้จะอยู่ในห้องที่มีเพียงแสงสลัวจากโคมไฟหัวเตียง แต่ก็รู้สึกได้ว่าดวงตาของเขามีรอยเจ็บปวดฉาบไว้
“ถ้าคุณไม่หยุดเชื้อเชิญละก็ ผมปล้ำคุณจริงๆด้วย”
“เชื้อเชิญ? ฉันไปเชื้อเชิญคุณตรงไหน” คำพูดของเขาช่างเจ็บแสบนัก นั่นหมายความได้ว่าเขายังโกรธเธออยู่
“ก็ไอ้การดิ้นไปดิ้นมาบนตัวผู้ชายอย่างที่ทำอยู่นี่ไงล่ะ” เขาทำเสียงดุ “สามีไม่ได้สอนหรือไง”
“สามี?” ปาณิศาหยุดขยับตัวทันที และเกือบจะกลั้นหายใจไปด้วยซ้ำ
“อย่าบอกว่าลืมไปว่าตัวเองแต่งงานแล้ว”
เขากระตุกยิ้มที่มุมปาก อาการไร้เดียงสานี่มันชวนให้เขารำคาญใจมากกว่าเดิม นัก เขาจะไปหลับสนิทเหมือนเธอได้อย่างไรกัน ในเมื่อในวงแขนมีร่างเนียนนุ่มที่เคยทะนุถนอมอยู่ในวงแขน เธอเป็นลมไป เขาก็รีบเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ จนรู้ว่าเธอหลับไปถึงได้ผ่อนคลายลง ทั้งโกรธทั้งเกลียดแต่พอเห็นเป็นลมเป็นแล้งก็อดเป็นห่วงไม่ได้ เขาเดินหงุดหงิดอยู่ในห้องพักของเธอ มั่นใจแล้วว่าเธอมาพักคนเดียวจริงๆ ก็ไม่รู้อะไรทำให้เขาอยากนอนข้างๆ เอาแค่ตอนนี้ที่เธอยังหลับอยู่ ไม่ให้เธอรู้ว่าเขายังหวั่นไหวกับการปรากฏตัวของเธอ
พอเอนกายลงนอน ก็รู้สึกได้ถึงความสบายใจบางอย่าง อาจเป็นคุณสมบัติพิเศษที่เจ้าตัวไม่เคยรู้เลยก็ได้ เวลาที่เขาได้อยู่ใกล้ๆ ไม่ว่าจะทุกข์ร้อนเรื่องใดมา ทุกอย่างพลันเลือนหายไป เขาอดไม่ได้ที่ประคองเธอมาหนุนแขน ได้สูดดมกลิ่นอายที่คุ้นเคย
“ถ้าคุณรู้ว่าฉันแต่งงานแล้ว มีสามีแล้วก็ช่วยออกไปจากตัวฉันที”
เธอยกมือดันแผงอกแข็งแกร่งของเขา แล้วดวงตากลมโตก็เบิกกว้างอย่างตกใจเมื่อเขาเจตนากดสะโพกของตัวเองบดเบียดท่อนล่างของเธอ เธอเม้มปากจนเรียบตึง คิ้วขมวดด้วยความไม่เข้าใจในการเล่นสนุกของเขา
คทาวุธเห็นหน้าตาเหมือนจะร้องไห้ของปาณิศาก็ได้แต่หันหน้าไปสบถหัวเสียทางอื่น เขาขยับตัวลุกจากเตียงอย่างง่ายดายในขณะที่เธอได้แต่ถอนหายใจ ปาณิศาตั้งสติได้ก็รีบลุกขึ้นจากเตียงนอน แต่เพราะลุกเร็วไปทำหน้าให้หน้ามืด ชายหนุ่มมองด้วยหางตาเห็นเข้าทันพอดีก็รีบเข้าไปประคองให้เธอกลับไปนอนบนเตียง
“มาทำอะไรที่กรุงเทพฯ” คทาวุธถามเพื่อเปลี่ยนเรื่อง ไม่อย่างนั้นเขาอาจจะบีบคอเธอแล้วถามว่าทำไมไม่รักษาสัญญา
“ธุระค่ะ”
“ธุระอะไรต้องนอนโรงแรมด้วยรึ เสร็จแล้วก็กลับไปซิ เพชรบูรณ์ไม่ไกลนี่”
“ก็ฉันไม่มีที่พักในกรุงเทพฯก็ต้องนอนโรงแรม แล้วธุระก็ยังไม่เสร็จจะกลับได้ไง”
เธอตอบเขาด้วยน้ำเสียงขุ่นๆ ทั้งที่ปกติเธอออกจะสงบเยือกเย็น ไม่ว่าเจอใครก็จัดการได้เสมอ แต่ทำไม เพราะเป็นเขาหรือไง เธอเหมือนกลับไปใช้นิสัยเป็นเด็กเอาแต่ใจสมัยที่ยังคบกันอยู่
“มาธุระ? แล้วทำไมมาคนเดียว เป็นลมเป็นแล้งไปใครจะดูแล” เขายืนกอดอกหรี่ตามอง “ไม่มีใครมาด้วยรึไง”
“ฉันโตแล้ว ดูแลตัวเองได้”
“ดูแลตัวเองได้ดีมากขนาดฝรั่งลวนลามยังทำอะไรไม่ได้เลย”
“ฉันก็แค่ไม่อยากโวยวายให้มันน่าอับอายก็เท่านั้นเอง”
“ก็เลยยอมๆให้ไอ้ฝรั่งนั้นจับโน้นนิดจับนี่หน่อยซินะ”
“เขาไม่ได้ทำอะไรแบบนั้นเสียหน่อย”
“เหรอแต่ที่ผมเห็นนี่มันตรงข้ามเลยนะ ถ้าผมไม่ไปช่วย ปานนี้ไม่โดนสองคนนั้นหิ้วเข้าโรงแรมไปแล้วเหรอ หรือว่าชอบ โอ้! นี่ผมคงเข้าไปขัดจังหวะคุณหาความสุขตอนไม่มีสามีมาคุมซินะ”
“ฉันไม่ใช่คนแบบนั้นนะ” เธอขึ้นเสียงใส่เขาอย่างเหลืออด
“เป็นคนแบบไหนล่ะ ที่แน่ๆผมรู้ว่าคุณเป็นคนไม่รักษาสัญญา แทบยังเห็นแก่เงินแต่งงานก็เพราะผู้ชายมันรวยไง”
“คุณ!” ปาณิศาของถอนคำพูดไม่เจอกันสิบปี เขาเปลี่ยนไปไม่เหลือความเป็น “พี่คทาวุธ” คนเดิมที่อ่อนโยนของเธออีกแล้ว
“เอาล่ะ ตกลงคุณมาธุระอะไรที่กรุงเทพฯ แล้วจะอยู่นานแค่ไหน”
“ฉันจำเป็นต้องรายงานคุณหรือไง”
“คุณจะบอกผมดีๆไหม? ไม่อย่างนั้นคุณไม่ได้ออกจากห้องนี้ดีๆแน่” เขาหรี่ตามองแล้วสืบเท้าเข้าไปใกล้ เขาเหมือนหมาป่าหนุ่มที่พร้อมจะขยำเหยื่อที่เอาตัวรอดไม่ได้อย่างเธอ
“ฉันมาส่งลูกๆไปเรียนซัมเมอร์ที่ออสเตเรีย แล้วก็ตั้งใจตระเวนดูโรงแรมน่ารักๆ กับร้านกาแฟเก๋ๆ เก็บข้อมูลไปทำเกสท์เฮ้าส์ค่ะ”
“ลูก?” เขาขมวดคิ้ว คทาวุธมีเพื่อนสาวที่มีลูกมีเต้าหลายคน แต่...ทำไมเขาดูไม่ออกว่าปาณิศาเคยผ่านการตั้งครรภ์หรือมีลูกแล้ว?
“ค่ะ ลูกฝาแฝดชายหญิง”
ทำไมเขาต้องทำหน้ายุ่งแบบนั้น ก็เธอพูดความจริงแล้วนี่ สำหรับเธอแล้วน้ำเพชร-น้ำพลอยก็เหมือนลูกแท้ๆ คนอย่างเธอโกหกไม่เนียนเอาเสียด้วย คุณบารมีก็บอกแบบนั้นอยู่เสมอ พูดความจริงไปน่าจะดีที่สุด
“โอเค” เขาตั้งสติได้ “ธุระคุณเยอะนี่แล้วคุณจะอยู่กรุงเทพฯกี่วัน”
“น่าจะ3-4วันค่ะ ว่าจะลองพักหลายๆโรงแรมหน่อย”
“ที่คุณเขียนรายการนั่นไว้นะเหรอ” เขาพนักหน้าไปทางสมุดจดงานของเธอ
“คุณค้นกระเป๋าฉัน!”
“ก็มันจำเป็นเผื่อคุณเป็นอะไรไปจะได้ติดต่อสามีหรือคนที่บ้านคุณได้” เขายักไหล่
ปาณิศาอ้ำอึ้ง คุณบารมีตายจากหลายปีแต่เธอก็ยังไม่ได้เปลี่ยนไปใช้นามสกุลเดิม ตั้งใจว่าจะรอให้เด็กทั้งสองมารับช่วงต่อกิจการของคุณบารมีก่อนแล้วค่อยเปลี่ยนนามสกุลกลับไปใช้นามสกุลเดิมของพ่อ
“เอาล่ะ สามสี่วันนี่ผมวางพอดี จะอยู่ช่วยจัดการธุระของคุณให้ก็แล้วกัน”
ว่างเหรอ? เขาวางที่ไหนกัน ดีว่าเขาเพิ่งส่งงานตรวจโรงงานให้ทางบริษัทเรียบร้อยแล้ว ถ้าจะลาหยุดสัก3-4วันก็ไม่เป็นปัญหาอะไร
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไปเองได้”