เมื่อได้ยาแล้วญาณิศาก็เดินหยุดอยู่ตรงหน้าชายหนุ่มพร้อมกับวางกระเป๋ายาลงบนพื้นข้างกาย หญิงสาวก้มลงเล็กน้อยเพื่อจัดการปลดกระดุมเสื้อของคนเจ็บออกโดยที่เขายอมนั่งนิ่งๆให้เธอจัดการกับเสื้อของเขาได้อย่างตามใจ
ภูมินทร์ถือวิสาสะแอบสำรวจดวงหน้างามที่ก้มๆเงยๆอยู่ตรงหน้าในระยะประชิดอย่างเงียบๆ ผิวหน้าขาวใสละเอียดที่เขาได้สัมผัสไปเมื่อครู่ยังคงนุ่มและหอมติดจมูก ปากเรียวสวยสีหวานที่ไร้การเติมแต่งจากเครื่องสำอางใดใดนั้นก็ช่างเย้ายวนใจชวนให้โน้มลงไปลิ้มลอง ทว่าก็ต้องรีบดึงสติกลับมาเมื่ออีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาบอก
“เสร็จแล้วค่ะ ถอดเสื้อเองไหวไหมคะ”
ภูมินทร์พยักหน้าเบาๆ ค่อยๆปลดเสื้ออกจากตัวโดยมีคุณหมอคนสวยคอยช่วยเหลืออยู่ เพียงแค่อึดใจเดียวก็เผยให้เห็นแผงอกกว้างกำยำที่มีรอยสักรูปเสือตรงอกด้านซ้าย และหน้าท้องลอนสวยชวนใจสั่น ญาณิศาพยายามจะไม่มองความล่ำนั้นเพราะเกรงสติจะหลุดลอยไปไกล
เธอเดินอ้อมร่างสูงแล้วยื่นใบหน้ามาที่แผ่นหลังกว้างตรงที่มีรอยแผลยาวเกือบสามเซนติเมตรพลางกวาดสำรวจบาดแผลคร่าวๆ แม้แผลจะไม่ลึกมากแต่ถ้าไม่ดูแลดีๆก็อาจจะติดเชื้อได้
“แผลก็ไม่ได้เล็ก ทำไมตอนได้รับบาดเจ็บถึงไม่ส่งเสียงร้องออกมาให้ฉันรู้บ้างละคะ”
ถามออกไปด้วยความสงสัยทั้งที่ยังไม่เงยหน้าจากแผล หญิงสาวหยอดยาล้างแผลลงบนสำลีแล้วขยับเข้าใกล้เขามากกว่าเดิม มือบางแตะลำลีลงบนแผ่นหลังอย่างแผ่วเบาเพราะกลัวเขาจะเจ็บ เธอเชื่อว่าแผลนี้ชายหนุ่มได้รับมาตอนที่เขาใช้ร่างหนาบังเธอตอนเชือกเหวี่ยงเข้าหาหน้าผา ใจจริงเธออยากขอบคุณแต่อีกใจก็หมั่นไส้ที่เขาทำเฉยราวกับคนหนังหนาไม่มีความรู้สึกเจ็บปวด
“ผมไม่อยากให้คุณหมอตกใจ”ภูมินทร์ตอบไปตามความจริง
เพราะสิ่งที่เขาเป็นห่วงที่สุดตอนอยู่กลางหน้าผาคือความปลอดภัยของเธอ และคำตอบของเขาก็ทำให้คนที่กำลังสาละวนอยู่กับแผลตรงแผ่นหลังกว้างจะชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นใบหน้างามก็ค่อยๆอมยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว
‘ฉันรู้แล้วว่าทำไมหัวหน้าถึงเป็นคนเถื่อนทาน ก็เพราะเวลาอ่อนโยนทำให้ชะนีใจสั่นยังไงละคะ’
“ขอบคุณนะคะที่ช่วยฉันไว้”
ญาณิศาเอ่ยขอบคุณจากใจจริงโดยไม่มีการแสแสร้งแกล้งทำ จากนั้นเธอก็ปิดแผลด้วยผ้าพันแผลอย่างเบามือ
“ถ้าปวดแผลก็ทานยาแก้ปวดสี่ชั่วโมงครั้ง ครั้งละไม่เกินสองเม็ด ทุกๆวันคุณจะต้องเปลี่ยนผ้าพันแผล และที่สำคัญห้ามแผลโดนน้ำเป็นอันขาด! นะคะ”
ญาณิศาร่ายข้อปฏิบัติในการดูและแผลให้เขาฟังระหว่างที่เก็บอุปกรณ์ทำแผลเข้ากระเป๋ายา จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินกลับมาเผชิญหน้ากับคู่สนทนาที่เอาแต่เงียบไม่ยอมตอบอะไรกลับมา ทำให้อารมณ์ดีๆเมื่อครู่เปลี่ยนมาเป็นขุ่นๆขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“ที่ฉันบอก ได้ยินหรือเปล่าคะ”
“ได้ยินเต็มสองรู้หูเลยครับคุณหมอ เพราะผมเจ็บหลังไม่ได้หูตึง”
คำตอบกวนโอ๊ยที่ได้ยินทำเอาญาณิศาต้องเม้มริมฝีปากแน่น ด้วยอารมณ์เดือดปุดขึ้นเล็กน้อย แสดงว่าเขาได้ยินแต่แสร้งทำเฉยราวกับฟังหูซ้ายทะลุหูขวา
“ในเมื่อได้ยินแล้วทำไมไม่รับทราบละคะ”
“จะให้รับทราบได้ยังไงละครับ ก็ในเมื่อแต่ละอย่างที่คุณหมอบอกผมไม่สามารถทำเองได้สักอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนผ้าพันแผล แล้วไหนจะไม่ให้แผลโดนน้ำอีก ที่พูดมานั้นเป็นหน้าที่ของคุณหมอที่ต้องดูแลคนไข้ทั้งนั้น”
ญาณิศาเผลออ้าปากค้างพลางจ้องใบหน้าหล่อเหลาตรงหน้าอย่างลืมตัว คาดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นคนแผนสูงกว่าที่เธอคิดเอาไว้มาก ภูมินทร์คลี่ยิ้มที่มุมปากน้อยๆเมื่อเห็นว่าคุณหมอคนสวยหน้าเหวอไปเมื่อต้องทำหน้าที่ดูแลเขาทั้งหมด
“หน้าผมมีอะไรติดอย่างนั้นเหรอครับ”
ภูมินทร์แสร้งถามเรียกสติหญิงสาวให้กลับคืนมา คนลืมตัวรีบกระพริบตาปริบๆก่อนจะเบือนหน้าหนีนัยน์ตาคมกริบที่จ้องมาอย่างล้อเลียนให้หน้าแดงเล่น
“ถ้าหัวหน้าทำเองไม่ได้ก็ให้คนอื่นช่วยก็ได้ค่ะ ไม่จำเป็นต้องให้หมอทำให้ทุกครั้งหรอก”
ความจริงแล้วแผลก็ไม่ได้ใหญ่มาก ถึงไม่มีความรู้เรื่องทางการแพทย์ก็สามารถทำเองได้ แต่ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะไม่เห็นด้วย
“จะให้ใครช่วยละครับ ก็ในเมื่อคนที่ใกล้ชิดกับผมที่สุดตอนนี้ก็คือคุณ อย่าลืมสิว่าเราอยู่บ้านหลังเดียวกัน เมื่อถึงเวลาทำแผลผมก็แค่เดินออกมาจากห้องไปให้คุณหมอทำให้แป๊บเดียวก็เสร็จ แล้วทำไมผมจะต้องเรียกคนอื่นให้มาหาผมที่บ้านเพื่อทำแผลให้ด้วยล่ะ เสียเวลาเปล่าๆ”
ประโยคร่ายยาวของเขาทำให้ญาณิศาเถียงไม่ออก เพราะมันก็เป็นความจริงอย่างที่เขาว่าไว้จริง และอีกอย่างที่เขาได้รับแผลก็เป็นเพราะเธอ ทำให้ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยจำต้องรับหน้าที่ดูแลเขาไป
“ก็ได้ค่ะ งั้นฉันจะเป็นคนทำแผลให้หัวหน้าทุกวันจนกว่าแผลจะหายดีเอง”
ภูมินทร์คลี่ยิ้มออกมาบางๆอย่างพอใจ ท่ามกลางสายตาของหมอกที่มองดูผู้บังคับบัญชาพลางเหน็บอีกฝ่ายในใจ
‘แผนสูงอีกแล้วนะครับหัวหน้า’
……………………………………………….
หลังเสร็จจากการทดสอบร่างกายอาสาสมัครดับไฟแล้ว ภูมินทร์ก็มอบหมายหน้าที่ให้หมอกทำการฝึกอบรมณ์ให้ความรู้ในเรื่องการดับไฟเบื้องต้นกับอาสาสมัครดับไฟป่าต่อ เนื่องจากเขานั้นต้องเดินทางไปประชุมกับหัวหน้าทีมฐานปฏิบัติการที่อำเภอในอีกไม่ถึงชั่วโมงข้างหน้า
“หน้าที่ของพวกเราคือจับแยกเชื้อเพลิงและความร้อนออกจากกัน เพราะสามเหลี่ยมไฟเกิดจาก อากาศ เชื้อเพลิงและความร้อน ถ้าสามตัวนี้รวมตัวกันไม่ได้ไฟก็จะดับทันที สิ่งสำคัญที่สุดเวลาเข้าไปดับไฟคือให้เข้าทางหางไฟ ห้ามเข้าทางหัวไฟอย่างเด็ดขาด! แต่เนื่องจากพื้นที่ผาตะวันเป็นพื้นที่พิเศษที่เราคาดเดาทิศทางลมได้ยาก หากลมเปลี่ยนทิศแล้วทำให้เราตกอยู่ในหัวไฟให้ถอนกำลังแล้วหนีออกมาให้ไวที่สุด ห้ามลุยกับไฟต่ออย่างเด็ดขาด!”
หมอกกำชับเจ้าหน้าที่ทุกคน โดยเฉพาะหัวหน้าชุดที่ต้องควบคุมดูแลลูกทีมของตัวเองระหว่างเข้าไปลุยกับไฟป่า ซึ่งทุกคนก็รับทราบเป็นอย่างดี
“แล้วถ้ากรณีที่ด้านหลังเป็นเหว ไม่สามารถถอยหลังได้ละครับ”อาสาสมัครนายหนึ่งถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
“ในกรณีที่เราถอยไม่ได้ให้มองหาพื้นที่ปลอดภัยที่ถูกไฟไหม้ไปแล้ว เป็นพื้นที่เป้าหมายที่เราจะล่าถอยหรือพุ่งชนกับไฟ แต่เราจะต้องมั่นใจว่าเปลวไฟที่เราจะฝ่าเข้าไปนั้นสูงไม่เกินสองเมตร เช่นเดียวกับความกว้างของไฟต้องไม่เกินสองเมตร และที่สำคัญเราจะต้องมองเห็นพื้นที่ปลอดภัยอย่างชัดเจนแล้วเท่านั้น ถึงจะตัดสินใจเลือกวิธีนี้ได้”
พูดจบหมอกก็หยุดอยู่พักใหญ่ เพื่อเปิดโอกาสให้คนที่อยากถาม แต่เมื่อเห็นว่าไม่มีใครถามอะไรก็พูดต่อ
“กรณีตกอยู่ในวงล้อมของไฟ ให้ใช้อุปกรณ์ดับไฟป่าในมือที่เรามี ทำแนวกันไฟและดันเชื้อเพลิงออกให้ห่างจากตัวเรามากที่สุด จากนั้นให้ใช้ผ้าพันคอสามเหลี่ยมชุบน้ำปิดจมูกไม่ให้สำลักควัน ระหว่างนั้นตั้งสติเอาไว้อย่าตื่นตระหนก เพราะส่วนใหญ่ไฟผิวดินจะไหม้ผ่านจุดหนึ่งๆจะใช้เวลาไม่เกินสี่นาที”
จากนั้นหมอกก็เปิดโอกาสให้ทุกคนที่มีความสงสัยได้ถามอีก กระทั่งการฝึกอบรมณ์รวมทั้งฝึกปฏิบัติในระยะสั้นสิ้นสุดลง ทุกคนจึงแยกย้ายกันกลับเข้าที่พัก