"ตัวสุดท้ายแล้วสินะ.."
ผมดึงดาบออกมาจากร่างของมอนสเตอร์ตัวสุดท้าย ก่อนที่ร่างของมอนสเตอร์ทั้งหมดจะกลายเป็นควันสีดำแล้วลอยเข้ามาภายในร่างกาย
'คำเตือน พลังชีวิตของคุณกำลังต่ำ'
ข้อความแจ้งเตือนปรากฎขึ้นมาทันทีที่ผมจัดการมอนสเตอร์ทั้งหมด อาการพร่ามัวเริ่มเกิดขึ้นที่ดวงตา ร่างกายอ่อนล้าเต็มที
ผมลากร่างอันอ่อนแรงของตัวเองไปยังสถานที่ที่ผมทิ้งแครอทไว้ ก่อนจะเห็นว่าร่างของเธอในตอนนี้แน่นิ่งไปแล้ว
"คุณ..แครอท"
ผมก้มไปจับไหล่ของเธอก่อนจะเขย่า แต่สิ่งที่เห็นกลับมีเพียงร่างกายที่หยุดนิ่งไม่ตอบสนอง
ไม่นานผมก็ได้เห็นว่าผิวหนังของเธอเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำ ก่อนที่เธอจะกระตุกร่างกายอย่างผิดปกติ
แขนของเธอเริ่มบิดอย่างผิดรูป ก่อนจะได้ยินเสียงขู่ในลำคอ
"เกิดอะไรขึ้น.."
ผมอุทานขึ้นมาพร้อมกับถอยหลังกลับไปตั้งหลัก สายตาจ้องมองไปยังร่างของสิ่งที่เคยเป็นแครอท
แครอทลึกขึ้นก่อนจะมองมาหาผม สายตาของเธอมีเพียงสีขาวที่ปรากฎ
ผิวหนังของเธอถูกเติมด้วยตัวอักษรสีดำที่ผมไม่เข้าใจ ก่อนที่มันจะขยับไปปกคลุมใบหน้าของเธอทั้งหมด
"คุณแครอท?"
"ครั่ก...คร่ากก...."
เสียงของแครอทดูแหบต่ำราวกับมีบางอย่างติดอยู่ในคอ ขอของเธอค่อยๆ ก้าวมาหาผมอย่างช้าๆ
ผมจ้องมองเธอพร้อมกับแววตาอันสับสน ผมไม่รู้แล้วว่าควรจะทำยังไงกับเธอต่อ
ดาบของผมถูกชักออกมาพร้อมกับจ่อไปเธอ ผมสูดหายใจเข้าก่อนจะเริ่มง้างดาบ
"ขอโทษนะครับ..คุณแครอท..."
ฉับ...
ร่างของแครอทค่อยๆ สลายหายไปหลังจากนั้น พร้อมกับควันสีดำที่ลอยเข้ามารวมเป็นหนึ่งกับร่างกายของผม
'คุณได้สังหารผู้เล่นแครอท ผู้เล่นจะไม่กลับไปยังจุดปลอดภัยเนื่องจากค่าสติสัมปชัญญะไม่คงเหลืออีก'
"นี่มัน..."
ผมจ้องมองข้อความที่ปรากฎขึ้นด้วยความสับสน ก่อนจะเข้าใจว่ามีอะไรเกิดขึ้น
"เธอกลายเป็นแบบนี้ เพราะค่าสติสัมปชัญญะไม่เหลือแล้วงั้นสินะ.."
แสดงว่าเธอคงได้กลับไปโลกเดิม แบบนั้นมันจะเป็นเรื่องที่ดีแล้วงั้นสินะ
มือของผมเริ่มสั่น ไม่มั่นใจเลยว่าการทำแบบนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือเปล่า..
ตุบ..ตุบ...
เสียงฝีเท้าดังขึ้นมาภายในถ้ำอันมืดมิด ก่อนที่ผมจะเห็นร่างของใครบางคนปรากฎขึ้นมา
ชายหนุ่มสองคนที่ผมคุ้นเคยปรากฎตัวขึ้น พร้อมกับเสียงขู่ในลำคอเหมือนกับคุณแครอท
"คุณคูป..คุณเวค?"
ร่างของทั้งสองปกคลุมด้วยอักษรสีดำ ดวงตาเต็มไปด้วยสีขาวไร้นัยน์ตา
ดาบบนมือถูกกำเอาไว้แน่น พร้อมกับตัวของผมที่พุ่งเข้าไปหาพวกเขา
'คุณได้รับสกิล คมดาบทมิฬ ต้องการใช้หรือไม่?'
ข้อความแจ้งเตือนปรากฎขึ้นหลังจากที่ผมใช้คมดาบของตัวเองสังหารคนทั้งสามที่ผมต้องการจะช่วย เสียงถอนหายใจของตัวเองเป็นสิ่งเดียวที่ผมได้ยินอย่างเด่นชัด พร้อมกับควันที่ดำที่ลอยมาปกคลุมร่างกาย
"เลเวลอัพจากการฆ่าคนที่ตัวเองต้องการช่วยงั้นเหรอ..น่ายินดีชะมัด..."
สายตาของผมว่างเปล่า ก่อนจะตอบรับสกิลที่ได้รับ
'ตกลง'
ทันทีที่ตอบรับ ดาบเล็กของผมก็ถูกปกคลุมด้วยอักขระสีดำไปทั่วคมดาบ จนตัวดาบของผมกลายเป็นสีดำ
ฉับ...ตู้ม!!
เพียงแค่การฟันเบาๆ เพียงครั้งเดียว กำแพงของดันเจี้ยนก็แตกออกอย่างรุนแรง
จะบอกว่ามันเป็นสกิลที่รุนแรงมากก็ว่าได้ แต่เหตุผลที่ผมได้รับมันมา
'สกิล คมดาบทมิฬ
เมื่อใช้งาน มนต์ดำที่คุณสะสมมาจะเข้าไปรวมกันกับอาวุธที่คุณใช้ มันจะเสริมความแข็งแกร่งให้กับอาวุธของคุณระดับหนึ่ง'
และการได้รับพลังมนต์ดำมาคือการสังหารสิ่งมีชีวิตอื่นๆ รวมถึงมนุษย์เองก็ด้วย
"เฮ้อ..."
ผมถอนหายใจออกมาก่อนจะปลดโล่ที่อยู่บนหลังของตัวเองมาวางเอาไว้ที่พื้น หลังจากนั้นก็นำคทาของแครอทและคันธนูของเวคมาวางรวมกัน
"เพลิงทมิฬ.."
ผมร่ายสกิลของตัวเองก่อนจะเล็งไปยังอาวุธทั้งสาม ก่อนจะเห็นว่ามีบางอย่างปรากฎขึ้นมาแทนเปลวไฟสีดำ
'คุณมีพลังชีวิตต่ำเกินไป ยืนยันจะใช้สกิลเพลิงทมิฬหรือไม่'
ข้อความนั้นส่งมาเตือนเนื่องจากผมใกล้จะตาย แต่มันใช่เรื่องสำคัญที่ไหน
ตราบใดที่ผมยังมีค่าสติสัมปชัญญะ ผมก็สามารถอยู่ที่นี่ต่อได้
แต่พวกเขา...
"เพลิงทมิฬ..."
'คุณมีพลังชีวิตต่ำเกินไป หากคุณใช้สกิลจะทำให้คุณเสียชีวิต ต้องการจะใช้หรือไม่'
"ใช้มันสักที!!"
เปลวไฟสีดำถูกร่ายออกมาจากมือของผม ก่อนที่มันจะแผดเผาอาวุธของคนสามคนที่ผมเคยใช้ชีวิตกับพวกเขา
ถึงแม้จะเป็นเพียงเวลาสั้นๆ แต่ผมก็รับรู้ว่าครั้งหนึ่งเขาก็เคยมีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้
'พลังชีวิตคุณอยู่ในขีดอันตราย กรุณายกเลิกสกิล...'
'พลังชีวิตคุณอยู่ในขีดอันตราย กรุณายกเลิกสกิล...'
'พลังชีวิตคุณอยู่ในขีดอันตราย กรุณายกเลิกสกิล...'
ข้อความแจ้งเตือนปรากฎขึ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อเตือนให้ผมยกเลิกสกิลก่อนที่ตัวเองจะตาย
แต่มันสำคัญที่ไหน..นี่เป็นสิ่งเดียวที่ผมจะสามารถทำให้พวกเขาได้แล้ว...
"ลาก่อนนะครับ ทุกคน.."
ผมกล่าวลาก่อนที่สายตาของผมจะเริ่มมืดมิด และสุดท้ายมันก็ดับลง
'คุณได้เสียชีวิต'
'ด้วยสกิลติดตัวของอาชีพ ผู้ใช้คุณไสย คุณจะกลับมาเกิดยังจุดที่คุณเสียชีวิต'
ณ เมืองชั้นใน
"มีข่าวสำคัญสองอย่าง ที่ได้รับการยืนยันแล้วครับ"
ชายหนุ่มในชุดเกราะเบาสีน้ำเงิน คานัลกล่าวขึ้นพร้อมกับเดินมาหาแอเรสที่กำลังนอนพัก
ชายหนุ่มที่กำลังนอนนิ่งลืมตาขึ้นมามอง ก่อนจะลุกขึ้นจากเตียง
ชุดเกราะของเขาปรากฎขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ราวกับเขาใส่มันเอาไว้ตลอดเวลา
"เล่ามา..."
"ครับ..ข่าวแรกคือเมืองชั้นนอกสุดทั้งสามเมือง ถูกสัตว์ทมิฬรุกรานจนล่มสลายไปแล้วครับ"
ข่าวแรกทำให้แอเรสเริ่มกังวล ก่อนที่เขาจะถามต่อ
"แล้วหัวหน้ากลุ่มที่ปกครองเมืองเหล่านั้นล่ะ พวกเขาเป็นยังไงบ้าง"
คานัลพยักหน้ารับ ก่อนจะเริ่มเล่า..
"พรีเซสและอควาหลบหนีออกมาได้สำเร็จครับ แต่ซีฟทางเราไม่สามารถติดต่อได้ ไม่ทราบชะตากรรมครับ"
"อืม..คงจะต้องคิดในกรณีที่ซีฟไม่สามารถเอาตัวรอดออกมาได้งั้นสินะ"
แอเรสจับคางของตัวเองเพื่อครุ่นคิด ก่อนที่เขาจะส่ายหัวเพื่อสลัดความคิดภายในหัว
"แล้วอีกเรื่องล่ะ"
คานัลพยักหน้ารับอีกครั้ง ก่อนจะยื่นเอกสารบางอย่างมาให้
"นี่มัน..?"
"เอกสารยืนยันครับ"
"เกี่ยวกับอะไร"
แอเรสรับเอกสารนั่นมา ก่อนจะเริ่มอ่าน..
ข้อความภายในเต็มไปด้วยชื่อของผู้เล่นทั้งที่อยู่ในกลุ่มของเขา และคนนอก
"หรือว่า..."
"ครับ เอกสารยืนยัน เกี่ยวกับผู้เล่นที่สูญเสียค่าสติสัมปชัญญะจนหมดและกลับสู่โลกเดิม"
แอเรสมองเอกสารด้วยความนิ่งเงียบ ก่อนที่เขาจะหันกลับไปเจอชื่อหนึ่งที่คุ้นเคย
"เขาคนนี้ ถูกยืนยันแล้วงั้นเหรอ?"
แอเรสชี้นิ้วไปยังชื่อหนึ่งบนรายชื่อนับร้อย ก่อนที่คานัลจะหันมาเห็น
"ครับ ผู้เล่นคนนี้ถูกแจ้งว่าติดอยู่ในป่าหลังจากที่สัตว์ทมิฬเกิดขึ้นครับ"
"ผู้ที่แจ้งล่ะ?"
"เหมือนจะเป็นหญิงสาวอาชีพนักฆ่าครับ ดูจากข้อมูลเหมือนว่าเธอจะเป็นผู้เล่นระดับสูง"
"งั้นคงเชื่อถือได้งั้นสินะ.."
"ครับ"
หลังจากที่แอเรสได้รับคำตอบ เขาก็ฉีกกระดาษเอกสารเหล่านี้ทิ้งก่อนจะเผามัน
"ลบชื่อของผู้เล่นคนนี้ออกก่อนจะประกาศออกไปสู่ภายนอก ทอรัสคงจะสติแตกแน่ถ้าเห็นชื่อของเขาในเอกสารนี้"
"รับทราบครับ"
คานัลเดินออกไปจากห้อง ทิ้งแอเรสให้จ้องมองหน้าต่างของห้องที่ท้องฟ้าเริ่มครึมฝน
"เกมที่แท้จริง จะเริ่มหลังจากนี้สินะ.."
ณ ป่าของเมืองชั้นนอกสุด ภายในดันเจี้ยน
"..อึก"
ผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการปวดหัว ร่างกายยังรู้สึกอ่อนแรงอยู่นิดหน่อย
อาการฟื้นจากความตายเนี่ย ไม่ว่าจะกี่ครั้งก็ไม่ชอบมันเอาซะเลย
ผมลุกขึ้นก่อนจะพาตัวเองออกไปข้างนอกดันเจี้ยน ตามที่ผมคาดไว้คือเมื่อจัดการมอนสเตอร์หลักของดันเจี้ยนได้แล้วทางจะเปิดออก
และก็เป็นไปตามคาด ทางออกถูกเปิดตามที่ผมคิดไว้ แต่มันมีเรื่องแปลกอยู่นิดหน่อย เพราะปลายทางที่ผมเห็นมันไม่ใช่แสงสว่าง..
"นี่มัน.."
เมื่อผมเดินออกมาจากปากถ้ำ สิ่งที่เห็นคือป่าที่ถูกปกคลุมไปด้วยควันสีดำ กลิ่นอายเต็มไปด้วยความชั่วร้ายอย่างเต็มที่
ผมไม่รู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นในตอนที่ผมอยู่ในดันเจี้ยน แต่บางทีสิ่งที่เกิดขึ้นด้านบนอาจจะเกี่ยวข้องกับมอนสเตอร์ที่ถูกผนึกภายในถ้ำก็เป็นได้..
ซอก..แซก...
ผมยกดาบของตัวเองขึ้นมาหลังจากที่ได้ยินเสียงฝีเท้าภายในป่า ก่อนจะเห็นว่ามีมอนสเตอร์ร่างของยักษ์โผล่มาเป็นฝูง
ร่างของมันเป็นมอนสเตอร์ที่ผมคุ้นเคย เพียงแต่ร่างของมันเต็มไปด้วยอักขระสีดำ และดวงตาที่มืดสนิท
มันคืองูยักษ์สามเศียร...
"หลอกหลอนกันจนถึงตอนนี้เลยงั้นเหรอ..?"
คมดาบทมิฬถูกเปิดใช้งาน ทำให้ดาบของผมเริ่มเปลี่ยนสี
"สกิลนี้ก็กินพลังชีวิตเหมือนกันงั้นเหรอ จะบังคับให้ตายกันเกินไปมั้ง.."
ผมง้างดาบก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปต่อสู้กับฝูงของงูสามเศียร พร้อมกับร่ายเพลิงทมิฬเพื่อจัดการพวกมันไปด้วย
และในระหว่างที่ฟาดฟัน ระหว่างที่พลังชีวิตกำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง และในตอนที่ข้อความแจ้งเตือนปรากฎออกมา
ตอนนั้นเองผมก็ได้รับรู้ว่า...
...เกมที่แท้จริง มันได้เริ่มขึ้นแล้ว