โลกาหวลคืน (3)

2021 Words
"ที่นี่มันมืดมากเลยนะเนี่ย.." แครอทเอ่ยขึ้นพร้อมกับหันมองไปรอบๆ เธอร่ายเวทย์ไฟขึ้นมาเพื่อทำให้ทุกคนมองเห็นภายในดันเจี้ยนได้ สถานที่แห่งนี้เหมือนกับถ้ำปกติ เพียงแต่ความมืดที่ปกคลุมมากกว่าปกติ มันมากกว่าดันเจี้ยนตัวก่อนที่ผมเคยเข้าไปอยู่ในนั้นนานเกือบครึ่งปีอีก แต่มันคงนำมาวัดกันไม่ได้หรอกมั้ง สิ่งที่รอพวกเราที่ปลายทาง มันจะต้องเป็นมอนสเตอร์ที่อันตรายมากกว่าที่คิดแน่นอน.. "เอาเถอะน่า ดันเจี้ยนที่ไร้แสงไฟมันก็ต้องมืดแบบนี้นี่แหละ" คูปเอ่ยขึ้นพร้อมกับหัวเราะออกมาเพื่อสร้างขวัญกำลังใจ สิ่งที่เขาพูดดูเหมือนจะเป็นเหตุผลที่ไม่จำเป็นต้องฟังก็ได้ แต่ความจริงแล้วมันแสดงให้เห็นว่าเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้เลย ท่าทางที่ดูไม่กังวลอะไรของเขา เมื่อเปรียบเทียบกับเวคแล้ว เวคหันไปมองรอบตัวแทบจะตลอดเวลา เขากำธนูของตัวเองเอาไว้แน่นเพื่อเตรียมตัวสำหรับสิ่งที่กำลังจะเข้ามา แต่ว่านะ.. "พ...พวกเรา..ควร..จ.จะระวังไว้นะครับ" ถึงแม้เขาจะระวังตัว แต่เห็นได้ชัดเลยว่าเวคกำลังสั่นกลัวเกินจริงไปเสียหน่อย เขาตัวสั่นจนสัมผัสได้เลยว่าแม้จะกำธนูไว้ แต่คงยิงมันไม่ออกหรอกมั้งเนี่ย.. แต่ถึงแบบนั้นผมก็ไม่กล้าบอกพวกเขาอยู่ดีว่าอันตราย แต่ถึงจะพูดไป หัวเรือคงไม่กลับลำอยู่ดี สิ่งที่ผมทำได้ตอนนี้คือการช่วยพวกเขาอย่างเต็มความสามารถ.. "ว่าแต่ ที่นี่ไม่เห็นจะมีมอนสเตอร์สักตัวเลยนะ" คูปเอ่ยขึ้นในตอนที่เขาสังเกตเห็นว่า แม้จะเดินเข้ามาภายในดันเจี้ยนลึกแค่ไหน แต่ไม่เห็นร่องรอยของมอนสเตอร์เลยสักตัวเดียว พวกมันถูกกำจัด? จริงอยู่ที่ภายในดันเจี้ยนมีการเกิดของมอนสเตอร์ที่ช้าเอามากๆ แต่ดันเจี้ยนหมีอัญมณีที่ผมเคยอยู่มันก็มีมอนสเตอร์เป็นร้อยๆ ตัวเลย บอกตรงๆ ว่ามีบางอย่างแปลกๆ เกี่ยวกับดันเจี้ยนแห่งนี้ มอนสเตอร์ที่ไร้วี่แววก็เรื่องหนึ่ง ส่วนอีกเรื่องก็คือกลิ่นอายอันแสนน่าสะอิดเอียนที่พุ่งออกมาจากปลายทาง บอกได้เลยว่าไม่มีใครสัมผัสมันได้เหมือนกับผม แต่จะว่าไปสัมผัสแบบนี้มันราวกับ... "เดี๋ยว.." คูปเอ่ยขึ้นพร้อมกับยกมือขึ้นมาบังทางเอาไว้ เขาสังเกตเห็นบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวอยู่ด้านหน้า "ตรวจพบบางอย่าง นายพอจะตรวจสอบได้ไหมเวค" ทันทีที่ได้รับคำสั่ง เวคก็เล็งคันธนูไปด้านหน้าก่อนจะเริ่มร่าย "ศรเพลิง" สิ้นเสียงร่ายสกิล ลูกศรเพลิงได้พุ่งไปด้านหน้าพร้อมกับให้แสงส่องทาง ผ่านไปยังถ้ำลึกอันมืดมิดก่อนที่มันจะไปปักยังบางสิ่ง ร่างของมันเริ่มลุกไหม้ทันทีที่ศรเพลิงได้ปักลง แต่มันกลับไม่มีท่าทีใดๆ ต่อการเผาไหม้ "มอนสเตอร์ทนไฟงั้นเหรอ..?" คูปเอ่ยขึ้นหลังจากที่เห็นสถานการณ์ตรงหน้า ตามความจริงมันก็น่าจะคิดแบบนั้นได้ แต่ที่จริงมันมีเรื่องให้คิดมากกว่านั้น ถึงแม้จะเป็นมอนสเตอร์ทนไฟ แต่ถ้าถูกการโจมตีก็ต้องมีการโต้ตอบกลับมาบ้าง แต่นี่กลับนิ่งไม่ไหวติงต่อการโจมตีของเวคเลย "ฉันคิดว่ามันอาจจะตายไปแล้วก็ได้นะคะ" แครอทเอ่ยขึ้น และมันเป็นสิ่งเดียวกับที่ผมคิดอยู่ แต่หากแบบนั้นมันก็มีปัญหาบางอย่างอยู่.. "เป็นไปไม่ได้หรอก.." เวคเอ่ยขึ้นก่อนจะเล็งยิงลูกศรไปที่มอนสเตอร์อีกครั้ง ไม่นานคูปก็สั่งห้าม "พอก่อน มันอาจจะมีบางอย่าง" คูปตัดสินใจจะเดินเข้าไปตรวจดูด้วยตัวเองคนเดียว "เดี๋ยวฉันไปด้วย คูป" แครอทตัดสินใจเดินตามเขาไปยังร่างของมอนสเตอร์ที่นอนนิ่งและถูกเผาไหม้อยู่ภายในถ้ำลึกลงไป "โอเค งั้นพวกนายรออยู่ตรงนี้ก่อนนะ" คูปเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินไปข้างหน้าภายในถ้ำอันมืดมิดพร้อมกับแครอท ทิ้งเวคไว้กับผม ไม่นานทั้งสองคนก็เดินไปยังร่างของมอนสเตอร์ตัวนั้น ก่อนที่พวกเขาจะเริ่มตรวจสอบ ไฟบนตัวของมอนสเตอร์ถูกดับด้วยเวทมนตร์ดินของแครอท และเพราะแบบนั้นถ้ำให้แสงไฟทั้งหมดภายในถ้ำนั้นดับลง "รีบกลับมาเถอะคูป ที่นี่มันมืดแล้วนะ" เวคตะโกนเรียกทั้งสองคนภายในความมืด แต่สิ่งที่ได้รับตอบกลับมีเพียงความเงียบ "คูป...แครอท..?" เสียงของเวคเรียกชื่อพวกเขาอย่างแผ่วเบา และตอนนั้นเองที่ผมสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง "คุณเวค รีบยิงศรเพลิงไปด้านหน้าทีครับ!!" "เอ๋..แต่มันจะไม่ไปโดนสองคนนั้นเหรอ?" "เร็วเข้า!!" เวครับคำสั่งของผมอย่างลุกลี้ลุกลน เข้าจับคันธนูขึ้นก่อนจะเล็งไปยังความมืดที่อยู่ตรงหน้า "ศรเพลิง.." เสียงของเขาดูไม่มั่นใจนัก แต่ลูกธนูดอกนั้นก็ถูกยิงออกไป แสงสว่างกลับมาส่องภายในถ้ำอันมืดมิดอีกครั้ง แสงจากศรเพลิงค่อยๆ ไล่ความสว่างลึกลงไปเรื่อยๆ แต่สุดท้ายก็ไม่พบสิ่งใด ร่างของคูปและแครอท รวมถึงมอนสเตอร์ตัวนั้น ทั้งหมด..ได้หายไปแล้ว "นี่มัน.." เวคเริ่มออกตัวก้าวเดินไปข้างหน้า แต่ก็ถูกผมดึงไหล่รั้งเอาไว้ก่อน "ปล่อยฉัน..อรัญ..." เสียงของเขาดูสั่นไหวและเต็มไปด้วยความเป็นห่วง แต่ตอนนี้พวกเราต้องใจเย็นกันก่อน การที่สองคนนั้นหายไปยังเป็นปริศนา ไม่มีเสียงหรือเบาะแสใดๆ ด้วยซ้ำว่ามันเกิดอะไรขึ้น มีเพียงความมิดเท่านั้นที่เป็นเบาะแสได้ในตอนนี้ "รีบออกจากดันเจี้ยนนี้กันก่อนเถอะครับ" ผมรีบดึงตัวเวคออกมาจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว ไม่แน่ว่าบางอย่างมันอาจจะจัดการพวกเราไปด้วยก็ได้หากยังยืนรออยู่" "แต่..แล้วสองคนนั้นล่ะ" "พวกเราต้องเอาตัวรอดก่อนครับ ถ้าสองคนนั้นเป็นอะไรไปก็คงไปเจอกันที่จุดปลอดภัย" "แล้ว..ถ้าสองคนนั้นต้องการความช่วยเหลือล่ะ" "ถ้างั้นพวกเราก็ต้องเตรียมตัวกันก่อนครับ ถ้ารีบไปตอนนี้อาจจะตกเป็นเหยื่อเหมือนพวกเขาก็ได้ อย่างน้อยถ้าออกไปข้างนอ--" ผละ! มือของผมถูกปัดออกก่อนจะทำให้การวิ่งนั้นหยุดลง เวคปัดมือของผมออกก่อนจะเริ่มพูด "ฉันขอโทษทีนะที่ปัดมือของนาย แต่ฉันเองก็เพิ่งจะนึกขึ้นได้" เวคมองผมด้วยสายตาเย็นชากว่าปกติ ราวกับเขาไม่คิดว่าผมเป็นเพื่อนร่วมทีม "นายเป็นคนนอกกลุ่มของพวกเรานี่ จะคิดหนีไปก่อนก็ไม่แปลก" "ไม่ใช่นะครับ ผมเพียงแค่.." เวคยกมือขึ้นมาห้ามผม ก่อนที่เขาจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงสั่น "ขอโทษที แต่ถ้าฉันเห็นพวกเขาไปเกิดยังจุดปลอดภัย แบบนั้นก็เหมือนฉันทิ้งพวกเขาไป" ผมมองเวคด้วยแววตาสับสน ตอนนี้ผมไม่รู้แล้วว่าควรจะทำยังไงต่อดี "..." ความเงียบเป็นคำตอบของผม บอกตรงๆ สิ่งที่เขาพูดมันก็มีความจริงอยู่ ที่ผมทำแบบนี้เพราะคำสอนของอัญชัน แต่สถานการณ์ของเวคมันแตกต่างออกไป "นายรู้ไหม แต่ก่อนฉันนะเป็นคนที่เคยถูกรังแกมาก่อน.." เวคเริ่มเล่าเรื่องของตัวเอง พร้อมกับน้ำเสียงจริงจังกว่าปกติ "แต่เพราะพวกนั้นที่คอยช่วยฉัน ปกป้องฉันจากคนอื่น และคอยอยู่ข้างๆ ทำให้ชีวิตของฉันพลิกกลับเลยล่ะ" เวคยกคันธนูของตัวเองขึ้น ก่อนจะหันหลังกลับไป "และเพราะแบบนั้น แม้นี่จะเป็นโลกแบบไหน แต่ถ้าให้ฉันทิ้งเพื่อนแสนสำคัญของตัวเองแล้วหนีไปคนเดียวล่ะก็ ฉันขอตายไปกับพวกเขาดีกว่า" เมื่อได้ฟังสิ่งที่เขาเล่า ภาพของตัวผมในอดีตก็สะท้อนไปยังตัวของเขา บอกตรงๆ ว่าเขาดูเหมือนกับผม...ในตอนที่เขามายังโลกใบนี้ตอนแรก.. "นายจะหนีไปก็ได้นะอรัญ แต่ต่อให้ฉันจะขี้กลัวแค่ไหน การทิ้งเพื่อนก็ไม่ใช่แนวอยู่ดี" ผมพยายามยื่นมือไปห้ามเขาเอาไว้ แต่ก็รับรู้ว่ามันไร้ประโยชน์ "..." "ถ้าไปถึงเมืองแล้วไม่เจอพวกฉัน ก็ฝากขอความช่วยเหลือด้วยก็แล้วกัน.." สิ้นเสียง เวคก็เริ่มวิ่งกลับเพื่อตรงลึกลงไปภายในถ้ำ ไม่นานร่างของเขาก็หายไปภายในความมืด ผมชักมือของตัวเองกลับก่อนจะตัดสินใจวิ่งตรงไปยังทางออกอย่างรวดเร็ว โดยที่ภายในใจรู้สึกเจ็บปวด บอกตรงๆ ว่าผมลำบากใจที่ทำแบบนี้ ไม่นานผมก็เดินมาถึงปากถ้ำ ก่อนจะเห็นว่าตอนนี้ "หมายความว่ายังไง..นี่พวกเรา..." ผมจ้องมองปากถ้ำที่ควรจะเปิดออก ที่ตอนนี้มันกลับถูกปิดสนิท "ถูกขังเอาไว้ข้างในแล้ว...งั้นเหรอ?" ในขณะเดียวกัน ด้านนอกถ้ำ อัญชันพุ่งตัวเข้ามาภายในป่าอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเห็นว่ามีบางอย่างที่ดูผิดแปลกไป ที่ป่าแห่งนี้นั้นดูแห้งแล้งกว่าปกติ ไม่มีคนหรือมอนสเตอร์สักตัวด้วยซ้ำที่อาศัยอยู่ "นี่มันหมายความว่ายังไง..." อัญชันมองภายตรงหน้าด้วยความสับสน ก่อนจะเห็นว่ามีบางอย่างกำลังสั่นไหว พื้นหญ้าเริ่มแตกออกก่อนจะมีความมืดกระจายออกมาจากด้านใต้ จากนั้นไม่นานก็มีบางอย่างผุดออกมา "อะไรกัน..ควันสีดำแบบนี้มัน..." อรัญคือคนแรกที่เธอนึกถึง แต่เธอก็รู้ดีกว่าเขาคงจะไม่ทำแบบนั้น แผล็ก!! เสียงแตกหักเริ่มดังไปทั่วป่า พร้อมกับร่างของบางอย่างที่คล้ายมนุษย์ได้ปรากฎตัวขึ้นจากพื้นดิน ผิวของพวกมันเป็นสีดำ และมีรอยแผลทั่วร่างกาย พวกมันค่อยๆ เดินไปข้างหน้าแบบไม่สนสิ่งใดราวกับคนเสียสติ "มอนสเตอร์งั้นเหรอ แต่รูปร่างแบบนี้มัน" อัญชันจ้องไปยังร่างของมนุษย์คนหนึ่งที่ถูกปกคลุมด้วยความมืด ก่อนจะสังเกตเห็นว่าไม่ได้มีมันเพียงตัวเดียว มนุษย์เหล่านั้นค่อยๆ ผุดขึ้นมาทีละตัว จนสุดท้ายก็ปกคลุมทั่วป่า และเส้นทางที่พวกมันนั้นเดินตรงไป คือเมืองชั้นนอกสุด.. "เวรแล้วไง ต้องรีบตามหาอรัญ.." อัญชันตัดสินใจเดินหน้าต่อ แต่ก็ถูกรั้งด้วยแส้ยาวสีแดง "...นี่มัน!" เมื่อหันไปด้านหลัง อัญชันก็ได้พบกับคนที่เธอคุ้นเคย กุหลาบจับตัวของอัญชันเอาไว้ เพื่อไม่ให้เธอไปไหนต่อ "กุหลาบ นี่มันหมายความว่ายังไง..!" "ไว้ฉันจะอธิบายทีหลัง ตอนนี้เราต้องรีบหนีก่อน" อัญชันหันมองไปรอบตัวก่อนที่เธอจะเข้าใจ ตอนนี้มันก็เป็นสถานการณ์ที่ควรจะหนีจริงๆ แต่ว่า.. "หนีงั้นเหรอ แต่เมืองมันก็อยู่ใกล้ๆ ไว้ฉันทำธุระเสร็จจะตามไป" เธอยังมีหน้าที่ต้องตามหาอรัญอยู่ เธอเชื่อว่าเขาต้องอยู๋แถวนี้ "เราไม่มีเวลามากขนาดนั้น เพราะเราจะต้องหนีไปยังเมืองที่อยู่ลึกขึ้น" อัญชันทำหน้างุนงง ก่อนที่กุหลาบจะเปิดเผยความจริงออกมา "ในตอนนี้เมืองแห่งนี้น่ะ..." ใบหน้าของกุหลาบดูกังวลกับประโยคที่จะเอ่ยขึ้น แต่ก็พูดมันออกมา "...ล่มสลายไปแล้ว"
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD