Chapter 5
เมีย...นอกหัวใจ (1)
"ซี๊ดดด...อูยยย..."
เสียงเล็ดรอดผ่านเรียวปากอิ่มยามสะดุ้งตื่นขึ้นมาแล้วอาการปวดจี๊ดอยู่ในหัวก็รุมเร้าเล่นงานจนต้องนอนนิ่งไม่กล้าขยับตัว แววตาคู่สวยกระพริบถี่ๆ เพื่อปรับสภาพแล้วมองกวาดไปรอบๆ ห้องด้วยความงุนงง...หล่อนนอนอยู่ที่ไหน มาลีรินทร์เฝ้าถามตัวเอง
ภายใต้ผ้าห่มอุ่นสีขาวสีเดียวกับปลอกหมอนและผ้าคลุมที่นอน ความโล่งหวิวโหวงบนร่างกายทำให้หล่อนผลุนผลันลุกนั่งด้วยความตกใจ สองมือเปิดผ้าห่มแล้วก้มลงมองไปข้างใต้ เพียงเท่านั้น ใจของหล่อนก็หล่นวูบไปกองอยู่บนปลายเท้าด้วยความตกใจ
'เมื่อคืน...เกิดอะไรขึ้น!'
ถามตัวเองพลางคิดทบทวนไปพร้อมกัน จำได้ลางๆ ว่าหล่อนกับณัฐพลชวนกันไปนั่งดื่มต่อในผับจนดึกดื่น และขากลับไม่มีใครขับรถไหว จึงชวนกันหาโรงแรมเพื่อนอนพักค้างคืน ตอนเช็คอินยังพอนึกออกว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ส่วนเหตุการณ์หลังจากเข้าห้องพักมาแล้วหล่อนจำไม่ได้อีกเลย
ใบหน้าสวยซีดเซียวยามนี้เคลือบฉาบไปด้วยความวิตกกังวล ความคิดฟุ้งซ่านมาพร้อมสายตาที่มองหาณัฐพล...อีกฝ่ายคงจะนอนอยู่ห้องที่ติดกัน เพราะหล่อนจำได้ว่าเช็คอินคนละห้อง แต่ที่ทำให้รู้สึกใจเต้นแรงจากความหวาดระแวง นั่นคือเสื้อผ้าที่หายไปและหล่อนนอนอยู่ในสภาพร่างกายเปลือยเปล่ามาเกือบทั้งคืน
"หวังว่าคงไม่...คงไม่ใช่แบบนั้นนะ!"
หล่อนพยายามสลัดความคิดบางอย่างทิ้ง ความคิดด้านลบ
กับสัมพันธ์รักลึกซึ้งที่เกิดขึ้นเพราะความเมา ณัฐพลเป็นสุภาพบุรุษพอ เขาจะต้องไม่ทำกันแบบนั้น เพราะเขารู้...รู้ว่าหล่อนมีเจ้าของที่วางแพลนถึงขั้นแต่งงาน และเขาเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดสำหรับตน เขาต้องไม่หักหาญน้ำใจด้วยการฉวยโอกาสตอนเมาแน่นอน
มินิคูเปอร์เหลืองแล่นมาจอดเทียบอยู่หน้าหอพักในยามบ่ายของวันเดียวกัน...ณัฐพลนั่งนิ่งอยู่หลังพวงมาลัยพลางผ่อนลมหายใจในขณะที่อีกฝ่ายกำลังลงไปจากรถ ช่วงที่หล่อนเดินผ่านหน้ารถเพื่อกลับมาทำหน้าที่คนขับ สายตาที่ไม่เหมือนเดิมของเขาลอบมองเรือนร่างกลมกลึงในชุดเดรสสั้นที่หล่อนซื้อมาใส่เข้าไปดื่มในผับกับเขาเมื่อคืน ที่ไม่เหมือนเพราะความรู้สึกนั้นเปลี่ยนไป ความลับในใจที่เขาไม่อาจบอกหล่อนให้ล่วงรู้ถึงความจริง
"ขอบใจมากนะนัท ขอบใจที่คอยอยู่เคียงข้างมิ้นต์เสมอเวลาที่ต้องการใครสักคน"
ณัฐพลแค่นยิ้มกลบเกลื่อนความรู้สึกแท้จริง ฝ่ามือแกร่งยื่นไปขยี้ลงบนศีรษะเล็กเพื่อหยอกเล่นตามความเคยชิน
"สบายใจแล้วใช่มั้ย..."
"อืม..."
หล่อนโกหก ไม่ได้สบายใจเลยสักนิด ตรงกันข้าม กลับยิ่งมีเรื่องไม่สบายใจหนักกว่าเดิม
"ถ้าสบายใจแล้ว ก็โทร.ไปหาเขานะมิ้นต์ ไปคุยกันดีๆ เพราะ
ถึงอย่างไรเขาก็รักมิ้นต์มากนะ"
มาลีรินทร์คลี่ยิ้มไปให้อีกฝ่าย หากแต่แววตาไม่ได้ยิ้มตาม เก็บซ่อนความรู้สึกปร่าแปร่งเอาไว้แล้วเข้าไปนั่งในรถ...ณัฐพลยังคงยืนรอเพื่อให้หล่อนขับรถออกไป มองตามท้ายรถคันหรูจนกระทั่งมันไกลห่างออกไปเรื่อยๆ จนเมื่อลับสายตา เขาจึงหันหลังเดินกลับเข้าไปด้านในหอพักเพื่อขึ้นไปนอนต่อในห้องของตน
บนทางเดินหินอ่อนที่แม่บ้านทำความสะอาดจนเรียบลื่น มาลีรินทร์หอบร่างกายที่ยังอ่อนเพลียจากอาการเมาค้างเดินไปยังห้องพักหรูเพื่อนอนพักผ่อนต่ออีกสักหนึ่งตื่น คีย์การ์ดถูกแตะลงบนเซ็นเซอร์ด้วยมือที่อ่อนแรง ในช่วงวินาทีที่ผลักบานประตูเข้าไปนั้น ใจของหล่อนก็คอยแต่จะประหวัดไปถึงเรื่องเมื่อคืน
".....!" เสียงทีวีที่ดังแว่วมากระทบโสตประสาททำให้รู้สึกตกใจไม่น้อย ใจหล่นวูบไปกองอยู่บนตาตุ่มพร้อมแววตาฉายแววหลุกหลิกตามประสาคนมีชนักติดหลัง...ปั้นหน้ายิ้มไปให้คนที่นอนพิงหมอนจับจ้องสายตาไปยังรายการทีวี สัมผัสได้ถึงมือที่ชื้นเหงื่อ เพราะไม่คิดว่าเขาจะโผล่มาในช่วงเวลายังไม่เลิกงาน
"กลับมาแล้วเหรอมิ้นต์ ตอนแรกนึกว่าจะมาถึงตอนค่ำๆ เสียอีก แล้ว...แม่ของเธอเป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นหรือยัง"
"อะ อาภูมาที่นี่นานหรือยังคะ"
หล่อนลืมตอบคำถามของเขา เพราะมัวหวาดระแวงเรื่องอื่นแทน...และนั่นคือถ้อยคำโกหกที่ใช้หลอกเขา...กลับบ้านไปเยี่ยมมารดาที่ต่างจังหวัด เหตุเพราะท่านไม่สบาย
"มาได้สักพักแล้ว พอดี...รู้สึกปวดหัวนิดหน่อยก็เลยมานอนพักที่นี่ ยังคิดอยู่ว่าจะหลับสักตื่นเพื่อรอเธอ แต่เธอก็กลับมาพอดี"
"อ่อ...ละ แล้ว จะกินอะไรมั้ยคะ เดี๋ยวมิ้นต์จัดการให้"
ชายหนุ่มหันมาจับจ้องคนที่ยืนอยู่ข้างเตียง เดรสยีนส์เกาะอกสั้นอวดเรียวขาขาวทำให้เขาขบริมฝีปากรอ แววตากรุ้มกริ่มขึ้นมา
ทันที ขัดกับอาการป่วยที่เขาแอบอ้างอย่างสิ้นเชิง
"อืม...กินอะไรน่ะเหรอ กินเธอได้มั้ย"
"อื๊อ...อย่าค่ะ!"
ชายหนุ่มลุกพรวดเข้าไปตะครุบคนที่ไม่ทันระวัง รวบกอดเอาไว้ได้สองแขนแข็งแรงจนร่างนั้นถลาตามมาล้มกลิ้งบนเตียงกว้างเสียงหัวร่อต่อกระซิกดังแข่งกันกับเสียงทีวี จากการที่สองคนหยอกเย้าเล่นกันอยู่บนเตียงจากสัมพันธ์ที่นับวันยิ่งแน่นแฟ้นจนยากที่จะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตัดใจ
"หิว..."
"หิวก็ปล่อยสิคะ มิ้นต์จะไปเตรียมอาหารให้อาภู"
"ไม่ได้หิวข้าว...หิวอย่างอื่น"
เสียงกระซิบดังเคลียอยู่ข้างใบหู หญิงสาวเอี้ยวหน้าหนีทำปฏิเสธแบบเนียนๆ
"มิ้นต์ขับรถมายังเพลียอยู่เลยค่ะ อย่าเพิ่งรังแกกันสิคะ"
"คิดถึงจนจะเป็นบ้า ทีหลังจะไปไหนก็บอกล่วงหน้านะมิ้นต์ อย่าทำแบบนี้อีก"
"ไหนบอกว่าปวดหัวไงคะ ปวดหัวจริงมั้ยน๊า หรือว่าแอบหนีงานมาเพราะอยากทำอย่างอื่นมากกว่า"
หล่อนทำหน้าออดอ้อนพร้อมปลายนิ้วเรียวที่ทาบลงบนริมฝีปากร้อนรุ่ม แรงรักแรงคิดถึงทำให้เขาพรมจูบไปทั่วปลายนิ้วลามเลียไปตามหลังมือขาวเนียน จนหญิงสาวเริ่มจะคล้อยตามกับการรุกรานนั้น และในขณะเดียวกัน เรื่องที่บิดาของเขาเปรยมาเมื่อวานก็แวบเข้ามาในห้วงคำนึง
แววตากลมโตที่จับจ้องนั้นสื่อถึงความไม่สบายใจอย่างเห็นได้ชัด นคินทร์พลิกกายนอนหงายลงบนที่นอนนุ่มๆ พร้อมกับรั้งร่างในอ้อมกอดให้นอนซบลงมา แขนเรียวพาดผ่านอกแกร่งแล้วซุกหน้าเข้า
หา สื่อให้เขารู้ว่าหล่อนกำลังมีเรื่องไม่สบายใจ
"ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะครับ มีอะไรในใจหรือเปล่า ช่วงนี้เรียนหนักไป หรือว่าเงินไม่พอใช้ มีอะไรเราควรคุยกันนะมิ้นต์"
"ไม่ใช่ทั้งหมดที่อาภูกล่าวมา แต่...มิ้นต์แค่กลัว...กลัวว่าเส้นทางรักของเขาจะถูกกีดกันจากทางบ้านของอาภู เพราะมิ้นต์...มิ้นต์ไม่ได้เกิดในครอบครัวที่ดี ไม่ได้มีหน้ามีตาในสังคม มิ้นต์รู้ดี รู้ว่าสังคมของเรานั้นต่างกันมากแค่ไหน แต่มิ้นต์ก็โชคดีเหลือเกินที่ได้เจอกับผู้ชายคนนี้ เขาทำให้มิ้นต์มีความสุขที่สุดในทุกๆ วันที่ผ่านไป แม้...วันข้างหน้าเราอาจจะไม่ได้เดินไปด้วยกันจนถึงจุดหมายก็ตาม
หล่อนนึกไปถึงวันที่ได้รู้จักกับเขาเป็นครั้งแรก เพราะหล่อนเป็นลูกพี่ลูกน้องกับเพื่อนร่วมรุ่นของภูริช ในงานเลี้ยงเล็กๆ วันปีใหม่ในกลุ่มเพื่อนๆ ของเขาที่ร้านอาหาร คืนนั้นมีโอกาสได้ตามติดไปด้วย และหล่อนเรียกขานเขาตามภูริช นั่นคือครั้งแรกที่ได้เจอกับนคินทร์...เขาเป็นฝ่ายเดินหน้ารุกหัวใจจนก่อให้เกิดความสนิทสนมที่นำมาซึ่งสัมพันธ์รักลึกซึ้ง จนจริงจังถึงขั้นที่เขาเปย์ให้ทั้งรถและคอนโด รวมทั้งเงินที่ส่งเสียเลี้ยงดูจนหล่อนหลงระเริงอยู่กับความสุขสบาย ไม่เคยคิดถึงอนาคตวันข้างหน้า จนกระทั่งบิดาของเขามากระตุ้นเตือนให้ต้องย้อนมองดูตัวเอง
นคินทร์นิ่งเงียบพลางครุ่นคิด ในถ้อยคำนั้น เขานึกไปถึงว่าคงมีใครมาพูดอะไรกระทบใจเมียรักของเขาอีกแน่นอน
"แสดงว่ามีใครมาพูดอะไรอีกใช่มั้ย..."
"....."
"คุณพ่อใช่มั้ย...บอกมาเถอะมิ้นต์ว่าท่านมาพูดอะไรกับเธอ" "เปล่าค่ะ...ไม่มีใครพูดอะไรทั้งนั้น แต่...มิ้นต์แค่ไม่สบายใจ คอยจะนึกถึงแต่เวลาท่านปฏิบัติกับแก้ว ไม่รู้คิดไปเองมั้ย แต่มิ้นต์
รู้สึกว่าคนที่ท่านอยากได้ไปเป็นลูกสะใภ้ก็คือลูกเมียน้อยคนนั้น!"
หล่อนคิดเองเออเองฝ่ายเดียว และนั่น...ยิ่งเป็นการเติมเชื้อไฟเข้าไปยังใจที่ร้อนอยู่เป็นทุนเดิมของคนฟัง
"อย่าพูดถึงสองคนนั้นจะได้มั้ย! พูดถึงแล้วอารมณ์เสียทุกที"
คนฟังหน้าเจื่อนเมื่อถูกดุ หากแต่ก็อยากฟังจากปากของเขาเพื่อความสบายใจ
"ถ้าคุณพ่อของอาภูปฏิเสธมิ้นต์ เรา...จะยังอยู่เคียงข้างกันตลอดไปใช่มั้ยคะ"
"บอกแล้วไงครับ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อาก็ยังคงยืนยันคำเดิม แม่ของลูกจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากเมียคนนี้เท่านั้น"
เขาฝากรอยจูบลงบนกลุ่มผมอ่อนนุ่มเพื่อใช้แทนคำมั่นสัญญา...สัญญารักที่ไม่ใช่สัญญาลวง แม้วันข้างหน้าบิดาจะปฏิเสธไม่รับหล่อนเข้าไปเป็นลูกสะใภ้ แต่จะไม่มีใครมาบงการชีวิตเขาได้ คู่ชีวิตเขาขอเลือกเองไม่ว่าใครจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม เพราะหล่อนคือคนที่จะต้องอยู่ด้วยกันไปจนวันสุดท้ายของลมหายใจ แน่นอนว่าคนที่เขาเลือก เขาต้องแน่ใจว่ารักเธอคนนั้นจนไม่อาจมอบหัวใจให้ใครได้อีกแล้ว