บทที่ 1 ออกเดินทาง
ร่างเล็กบางในอาภรณ์สีฟ้าอ่อน สวมเสื้อคลุมกันลมลายนกเป็ดน้ำบุรอบคอด้วยขนจิ้งจอกขาว เนื้อผ้าที่ใช้ตัดเย็บเป็นผ้าไหมชั้นดี เส้นผมดำขลับถูกมัดเป็นมวยง่ายๆ แล้วประดับด้วยปิ่นหยกลายผีเสื้อ มองโดยรวมสตรีผู้นี้แตกต่างจากชาวจงหยวนอย่างเห็นได้ชัด นอกจากเสื้อผ้าสวมใส่จะเหมาะสำหรับใช้กันหนาวในแถบเหนือแล้ว ดวงหน้าเรียวเล็กอันใสพิสุทธิ์และน่าพิศยังฉายรอยหวาดหวั่นอย่างชัดเจน
กุ้ยหลินเดินก้มหน้าก้มตามิกล้าเหลือบแลผู้คนขณะที่ก้าวไปตามถนนสายยาว นางรู้สึกไม่คุ้นชินกับสายตาของชาวจงหยวนที่พินิจพิเคราะห์นางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า บางครั้งนางสังเกตเห็นว่าสายตาบางคู่ที่มองมาคล้ายกำลังจ้องมอง ‘อาหาร’ ก็ไม่ปาน
ด้วยความประหม่า นางจึงรีบก้าวยาวๆ ไปข้างหน้าโดยดวงตาคู่สวยไม่ลืมที่จะกวาดตามองหาโรงเตี๊ยมไว้พักผ่อนสำหรับคืนนี้
ทันทีที่นางก้าวเข้าไปในโรงเตี๊ยม ความคึกคักที่มีก่อนหน้าตกอยู่ในความเงียบ สายตาของคนด้านในพุ่งตรงมาที่นางเป็นจุดเดียว นางสะดุ้งเฮือก รีบถอยหลังไปสามก้าวโดยไม่รู้ตัว หลบฉากยืนอยู่หลังประตูไม้ด้วยอาการหวาดผวา
ผ่านไปครู่หนึ่ง นางรวบรวมความกล้า ชะโงกศีรษะเล็กๆ มองผ่านร่างทุกคนที่แข็งทื่อราวกับถูกสกัดจุด กวาดดวงตาสุกใสหาเสี่ยวเอ้อร์ผู้ซึ่งไม่รู้งานอย่างขุ่นเคือง แล้วค่อยขยับริมฝีปากเอ่ยถามผ่านน้ำเสียงนุ่มละมุ่นว่า “ที่นี่มีห้องว่างหรือไม่”
เสี่ยวเอ้อร์เพิ่งดึงสติกลับหลังจากจ้องมองนางอยู่นาน แล้วปราดเข้ามาต้อนรับอย่างกระวีกระวาด
“มะ... มีขอรับ แม่นางจะพักแรมหรือขอรับ”
หญิงสาวมองคนตอบอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้าพลางว่า “เช่นนั้นจัดห้องเงียบๆ ให้ข้า แล้วนำอาหารมาส่งสักสองสามอย่าง” ระหว่างพูดนางอดที่จะกวาดตามองไปรอบๆ อย่างระมัดระวังอีกครั้งมิได้ ดวงหน้าก็เต็มไปด้วยแววงุนงงสงสัย
คนพวกนี้มองนางอีกแล้ว เพราะเหตุใดกันนะ
นางขบริมฝีปากแน่น ทำใจกล้าจ้องมองตอบอย่างหวาดๆ ไม่เพียงไม่ทำให้คนในโรงเตี๊ยมหลบสายตาของนางด้วยความเกรงใจแล้ว ตรงข้าม การที่นางทำเช่นนี้กลับทำให้นางดูเย้ายวนชวนมองยิ่งกว่าเก่า และเป็นนางเสียเองที่ต้องหลุบสายตาลงต่ำ จากนั้นเดินตามหลังเสี่ยวเอ้อร์ไปติดๆ
ต่อเมื่อมาถึงห้องริมสุดบนชั้นสอง นางมองสำรวจตรวจตราอย่างละเอียด ค่อยพยักหน้าขึ้นลงช้าๆ
“ข้าเลือกห้องนี้”
“ขอรับ เช่นนั้นแม่นางรอสักครู่ ข้าน้อยจะรีบไปจัดเตรียมอาหารมาโดยเร็วที่สุดขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์หนุ่มรับคำ หากแต่ยังยืนอยู่ที่เดิม
ใบหน้าของนางฉายแววฉงนเพราะสังเกตเห็นสายตาของเขา นางจึงถาม “มีอะไรหรือ”
“เอ่อ... ไม่มีอะไรขอรับ ข้าน้อยเพียงแต่คิดว่า แม่นางน่าจะมาจากสำนัก บุปผาหยกน่ะขอรับ เพราะแม่นาง เอ่อ... งดงามมาก” เขาเคยได้ยินนักเล่านิทานตามโรงเตี๊ยมเล่าว่า สำนักบุปผาหยกซึ่งตั้งอยู่ทางแถบเหนือของเขาพันลี้มีอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี ทั้งศิษย์แต่ละนางล้วนงดงามดุจดั่งธิดาเซียน ประจวบเหมาะเหลือเกินเสื้อผ้าที่หญิงคนนี้สวมใส่เป็นชุดเหมาะกับฤดูหนาว หนำซ้ำดวงหน้ารูปไข่ยังใสพิสุทธิ์ดุจน้ำค้างกลางพฤกษา แค่เห็นก็คาดเดาได้ทันทีว่าสตรีผู้นี้จะต้องไม่ธรรมดาแน่ หากนางบอกว่าตนคือศิษย์ในสำนักบุปผาหยกเขาก็เชื่ออย่างสนิทใจเลยทีเดียว
“พี่เสี่ยวเอ้อร์คงเข้าใจผิดแล้วล่ะ สำนักบุปผาหยกมักตามตัวจับได้ยาก อีกอย่างศิษย์สำนักบุปผาหยกล้วนมากด้วยฝีมือ น้อยคนนักที่จะได้พบเห็นพวกนางมิใช่หรือ” นางย้อนถามพร้อมปฏิเสธกลายๆ
“นั่นสิขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์ยิ้มตาหยีพลางลูบจมูกแก้อาการเขินอาย
“พี่เสี่ยวเอ้อร์ข้าหิวแล้ว ท่านรีบยกอาหารมาเร็วเข้าเถิด” นางโบกมือพูดเชิงไล่
เสี่ยวเอ้อร์หนุ่มไม่รอช้า ตอบตระกุกตระกัก “ขอรับๆ รอสักครู่ขอรับ”
โดยไม่รู้ตัวสักนิดว่ามีสายตาของใครบางคนกำลังจ้องมาที่หญิงสาวอย่างไม่คลาดครา หลังจากประตูถูกปิดลง กุ้ยหลินเดินไปนั่งบนขอบเตียง สองมือขยี้ดวงตาแดงก่ำ ทำท่าคล้ายจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ
หากมิใช่คำสั่งของเจ้าสำนัก มีหรือนางจะออกมาอยู่ข้างนอกเพียงลำพังเช่นนี้ คนพวกนั้นจ้องมองนางด้วยสีหน้าประหลาดโดยแท้ คล้ายกับว่านางเป็นกระต่ายป่าที่ผลัดหลงเข้ามาในดงสุนัขอย่างไรอย่างนั้น
กุ้ยหลินขมวดคิ้วครุ่นคิด นางเคยได้ยินศิษย์พี่เล่าว่าสำนักหมื่นพิษเป็นสำนักลึกลับในยุทธภพ เจ้าสำนักรุ่นปัจจุบันไม่ฝักใฝ่ทั้งฝ่ายธรรมะและอธรรม อีกทั้งชาวยุทธ์กี่มากน้อยเล่าลือว่าคนผู้นี้ไม่ต่างจากจอมมาร ขนาดสัตว์ร้ายในป่าพอได้ยินชื่อยังต้องขวัญหนีดีฟ่อ
พอคิดมาถึงตรงนี้ ดวงตาใสกระจ่างอยู่เป็นนิตย์พลันหม่นแสง นางรู้สึกหวั่นวิตกเป็นอย่างมาก ถ้าหากเจ้าสำนักหมื่นพิษร้ายกาจดังคำล่ำลือจริง เช่นนี้แล้วเจ้าสำนักของนางยังจะส่งนางมาทำไมกันนะ อีกประการหนึ่ง ใช้ชีวิตตัวคนเดียวในยุทธภพจะถือว่าเป็นโอกาสครั้งสำคัญในชีวิตได้อย่างไรกัน
กุ้ยหลินทำไหล่ห่อ ท่าทางห่อเหี่ยวของนางไม่ต่างจากบุตรสาวที่ถูกบังคับให้ออกเรือน หวังว่าเจ้าสำนักคงมิได้เบื่อหน่ายนางจริงๆ หรอกกระมัง
จริงอยู่ว่านางเป็นคนไม่เอาอ่าว อีกทั้งสมองช้า แต่ก็ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลยที่เจ้าสำนักจะต้องใช้แววตาและถ้อยคำบีบบังคับให้นางเดินทางไปสำนักหมื่นพิษเพื่อร่ำเรียนวิชากับคนน่ากลัวคนนั้น
ถึงถ้อยคำของเจ้าสำนักจะบอกว่าทำเพื่อนาง แต่ความหมายกลับแตกต่างเป็นพันลี้ ไม่ว่าอย่างไรนางก็เข้าใจว่าเจ้าสำนักต้องการขับไล่นางอยู่ดี
ระหว่างที่หญิงสาวกำลังนั่งขบคิด จู่ๆ กลิ่นหอมอ่อนๆ ของยาลอยเข้ามาแตะจมูก กุ้ยหลินชำเลืองมองก็พบเสี่ยวเอ้อร์ถือถาดไม้เข้ามา ก่อนจัดเรียงอาหารไว้บนโต๊ะตามที่นางสั่ง พร้อมกาสุราขนาดเล็กใบหนึ่งหญิงสาวเอียงคอ กะพริบตาคู่งามพิจารณากาสุราอยู่ชั่วครู่ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นนางมิได้เป็นคนสั่งเสียหน่อย ที่สำคัญ กลิ่นนี้มัน...
นางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย นิ้วมือขาวเรียวชี้ไปทางกาสุราซึ่งถูกรินไว้เสร็จสรรพ “พี่เสี่ยวเอ้อร์”
ท่าทางครุ่นคิดของนาง บวกกับดวงตาที่จับจ้องมายังจอกสุรา พาให้เสี่ยวเอ้อร์ทึกทักไปว่าหญิงสาวกำลังสนใจสุราดอกท้ออันขึ้นชื่อของโรงเตี๊ยม เขาจึงรีบส่งจอกสุราในมือให้นางทันที พร้อมชี้แจงว่า “คุณชายเหอต้องการคารวะแม่นางด้วยสุราดอกท้อหนึ่งจอกขอรับ”
สุราชั้นเลิศถูกส่งมาตรงหน้า กุ้ยหลินหลุบตาลงต่ำ พร้อมกันนั้นนางสูดหายใจเบาๆ วิเคราะห์กลิ่นหอมของยาที่ผสมอยู่ในสุราดอกท้ออีกครั้ง
“เอ่อ... หรือแม่นางไม่ดื่มสุรา? เช่นนั้นข้าน้อยจะไปเรียนคุณชายเหอว่าแม่นางไม่ดื่มสุรานะขอรับ”
นางเหลือบตามอง ใบหน้าเรียวเล็กปราศจากอารมณ์ใดๆ จากนั้นก็ตอบอย่างใจกว้าง “ไม่ต้องหรอก ในเมื่อคุณชายเหอต้องการคารวะข้าด้วยสุรา ข้าก็ไม่อยากจะเสียน้ำใจ” สิ้นประโยคนางยื่นมือออกไปรับจอกสุราแล้วกระดกรวดเดียวหมด
สุราดอกท้อรสร้อนแรงไหลผ่านลำคอรวดเร็ว ทำให้หญิงสาวอดที่จะเบ้หน้าเสียมิได้
ใช่ว่านางไม่เคยดื่มสุรา แต่สุราจอกนี้รสชาติร้อนแรงเกินกว่าที่นางคิดไว้มาก นางปรายตามองอาหารบนโต๊ะด้วยความเสียดาย ไม่เพียงกลิ่นหอมอ่อนๆ กำจายมาจากกาสุรา ในอาหารทุกจานยังมีกลิ่นยาชนิดเดียวกัน
เสี่ยวเอ้อร์เห็นสีหน้าท่าทางของนางคล้ายคนอยากอาหารเต็มประดา จึงมิรั้งรออยู่นาน “เช่นนั้นข้าน้อยไม่รบกวนแม่นางแล้ว เชิญแม่นางทานอาหารได้ตามสบายเลยขอรับ” พูดจบเขาหมุนกายเดินจากไป
นางถอนหายใจยาวเหยียด หยิบตะเกียบขึ้นมานั่งรับประทานอาหารเงียบๆ
ยามนี้ไหนเลยจะสนใจเรื่องอื่น ท้องนางกำลังหิว ตรงหน้ามีอาหาร แม้จะ... ผสมยานอนหลับก็เถอะ จะอย่างไรรับประทานอาหารผสมยานอนหลับสักมื้อก็นับว่าไม่เลวเหมือนกัน
ผ่านไปไม่ถึงหนึ่งเค่อ (หนึ่งเค่อ เท่ากับสิบห้านาที) ประตูห้องถูกแรงมหาศาลผลักออกจากด้านนอกราวกับคำนวณเวลาไว้ก่อนแล้ว ชายหนุ่มผู้มีรูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาธรรมดาสามัญ หากแต่แต่งกายด้วยเนื้อผ้าชั้นดี ถือพัดจีบในมือ มองโดยรวมผู้ชายคนนี้น่าจะมาจากตระกูลใหญ่ หากแววตาคู่นั้นมิได้ฉายแววมาดร้ายนางคงอดคิดไม่ได้ว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นสุภาพชนเป็นแน่
ชายหนุ่มปรายตามองอาหารบนโต๊ะซึ่งถูกนางแตะเพียงเล็กน้อย แวบแรกสีหน้าของเขาฉายแววฉงน จากนั้นค่อยคลี่ยิ้มอย่างกรุ่มกริ่มชั่วร้าย
กุ้ยหลินเก็บความรู้สึกไม่พอใจไว้ในอก แล้วลุกขึ้นกล่าวกับผู้มาเยือนที่มิได้รับเชิญอย่างนอบน้อมว่า “ท่านคงเป็นคุณชายเหอใช่หรือไม่”
ชายหนุ่มโบกพัดจีบไปมา โดยยังตรึงสายตาบนดวงหน้าเล็กเฉิดฉัน
“แม่นางสายตาเฉียบคมยิ่ง ข้าน้อยมีนามว่าเหอหญงเต๋อไม่ผิด” ฝ่ายตรงข้ามค้อมกายคำนับช้าๆ พร้อมแนะนำตัวด้วยท่าทางเป็นมิตรราวบัณฑิตใจกว้าง
นางมิได้สายตาเฉียบคมหรอก แต่ผู้ชายคนนี้มีกลิ่นสุราดอกท้อซึ่งเป็นกลิ่นเดียวกับสุราที่วางอยู่บนโต๊ะ อีกอย่างนางได้กลิ่นหอมของยาบางชนิดลอยมาจากแขนเสื้อด้านซ้ายของเขา ไม่ต้องคิดก็เดาได้ไม่ยากว่าผู้ชายคนนี้ก็คือคุณชายเหอ คนที่ต้องการคารวะนางด้วยสุราผสมยานอนหลับ!
เหอหญงเต๋อขยับปลายเท้า ก้าวเข้ามาใกล้นางเรื่อยๆ
นางพยายามแสร้งไม่สนใจสายตาของอีกฝ่ายที่เพ่งพินิจนางตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ควบคุมอาการหวาดกลัวด้วยการโน้มตัวไปรินสุราดอกท้อให้เหอหญงเต๋อ แล้วผายมือเชื้อเชิญด้วยท่าทางเป็นกันเอง
“เอ่อ... คุณชายเหอนั่งลงก่อนดีหรือไม่ รับคารวะสุราข้าสักหนึ่งจอก”
ชายหนุ่มแค่นเสียงหัวเราะราวกับว่ากำลังเย้ยหยันท่าทางอันไร้เดียงสาของนางอย่างไรอย่างนั้น
“แม่นางเดินทางมาจงหยวนเพียงลำพังเช่นนี้ นับว่าอันตรายไม่น้อย อีกอย่างพักที่โรงเตี๊ยมไม่ค่อยสะดวกสบายสำหรับสตรีตัวเล็กๆ ถ้าหากแม่นางไม่รังเกียจ เคหาสน์ตระกูลเหอยินดีต้อนรับ ข้าน้อยรับรองว่าจะต้อนรับแม่นางเป็นอย่างดี”
กุ้ยหลินเงยหน้าขึ้น จ้องมองคนพูดด้วยความระมัดระวัง ถึงตรงนี้นางเพิ่งสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายก้าวเข้ามาประชิดตนเพียงใด นางถอยหลังกรูดไปสามก้าวติด เหงื่อเย็นเฉียบผุดขึ้นบนหน้าผากและเหนือริมฝีปากอย่างห้ามไม่อยู่
แม้จะหวาดกลัว แต่เพื่อไม่ให้เกิดการต่อสู้อย่างไร้ค่า นางจึงปฏิเสธเนิบๆ
“ข้าน้อยคงไม่รบกวนคุณชายเหอหรอกเจ้าค่ะ”
เหอหญงเต๋อแสยะยิ้มชั่วร้าย พร้อมก้าวเข้าหาหญิงสาวอย่างคุกคาม