บทที่ 7 บุตรชายเจ้าแห่งตึก 1
บนท้องถนนในเขตจงหยวนปรากฏภาพชายหญิงคู่หนึ่งซึ่งดูไปไม่ต่างจากศิษย์กับอาจารย์... สาวใช้กับนายท่าน หรืออะไรก็ตามที่แบ่งแยกฐานะระหว่างคนทั้งสองได้อย่างชัดเจน เนื่องเพราะคนเดินนำหน้ามีใบหน้าเคร่งขรึม บุคลิกเรียบเฉย ส่วนคนด้านหลังคอยชำเลืองมองรอบบริเวณด้วยสายตาระแวงระวัง
กุ้ยหลินขบริมฝีปาก เหลือบซ้ายแลขวา ถึงนางอยากจะหนีกลับสำนักบุปผาหยกแต่ก็ทำไม่ได้ ในใจนางเวลานี้รู้สึกขัดแย้งเหลือเกิน ไม่เพียงแค่นางรับปากเขาว่าจะไม่หนี ที่สำคัญถึงนางคิดหนีก็คงหนีไม่พ้น เพราะนางได้เห็นกับตาว่าเย่าไป๋มีวิชาตัวเบาเลิศล้ำเพียงไร
อีกประการสำคัญ นางไม่เชื่อหรอกว่าเย่าไป๋มีน้ำใจต่อนางโดยไม่มีสิ่งใดแอบแฝง แต่ไรมานางไม่คิดเชื่อใจใครทั้งนั้น ถ้าหากจะไว้ใจใครสักคนจริงต้องใช้เวลานาน เพราะกว่านางจะเปิดใจยอมรับศิษย์พี่ในสำนักได้ก็ใช้เวลาเกือบห้าปี ประกอบกับเดิมนางเป็นคนขี้ขลาด สมองส่วนหน้าจึงสั่งการให้นางอยู่ห่างผู้อื่น ภัยอันตรายจะได้ไม่ต้องเข้ามาแผ้วพาน แต่ถึงกระนั้นนางกลับรู้สึกอุ่นใจเมื่ออยู่ใกล้เย่าไป๋
ใช่ว่านางไม่ยึดหลักความคิดเดิมของตน แต่ที่ผ่านมาผู้ชายนิสัยแปรปรวนอย่างเขาหากไม่ปริปากพูดอะไรเลย ก็ได้แต่จ้องมองนางด้วยแววตาเย็นชาคล้ายกับว่าไม่ว่านางทำสิ่งใดก็ผิดไปเสียทุกเรื่อง ที่สำคัญอารมณ์ของคนผู้นี้ช่างคาดเดาได้ยากยิ่ง
แต่อย่างไรเสีย เขาก็ทำแค่เพียงใช้สายตาข่มขู่ มิได้คิดจัดการกับนางจริง ต่อให้เขาถลึงตามองนาง นางก็ไม่หวาดกลัวเหมือนก่อนหน้านั้นอีกแล้ว
ดังนั้นปฏิกิริยาของคนชอบปลีกตัวออกจากสังคมเช่นนาง เวลานี้ทำได้เพียงเดินตามหลังชายหนุ่มไปติดๆ หากแต่ดวงตากลมโตกลับมองเข้าไปยังร้านขายหมั่นโถด้วยความหิว
กุ้ยหลินลูบหน้าท้องของตนเมื่อพยาธิในกระเพาะส่งเสียงร้องระงม ตั้งแต่ออกจากโรงเตี๊ยมนางยังไม่ได้แตะต้องอะไรอีกนอกจากอาหารมื้อเช้า ตอนนี้ก็ผ่านไปครึ่งค่อนวันแล้ว อย่าว่าแต่นางเลยเป็นใครล้วนย่อมหิวกันทั้งนั้น
เพราะได้ยินเสียงบางอย่างดังมาจากกระเพาะน้อยๆ ของนาง ชายหนุ่มจึงพูดเสียงเนิบๆ คล้ายไม่นำพากับท่าทางหิวโหยของหญิงสาว
“อยู่ในเขตจงหยวน เจ้าอย่าได้ทำอะไรตามอำเภอใจ ใช่ว่าคิดจะพักก็พักได้ ถึงแม้จะหิวก็ต้องอดทนไปก่อน”
“อ้อ” ในที่สุดเขาก็ปริปากเสียที แต่นั่นมิใช่ประเด็น ตอนนี้ท้องนางหิว บวกกับขาทั้งสองข้างเริ่มเมื่อยล้า อย่างน้อยเขาน่าจะหาที่พักแรมสำหรับวันนี้ให้เร็วขึ้นหน่อย กุ้ยหลินขมวดคิ้วเอ่ยถาม
“อีกไกลหรือไม่กว่าจะถึงสำนักหมื่นพิษ”
ชายหนุ่มไม่เพียงไม่ตอบคำถาม ซ้ำยังหันขวับกลับมาถลึงตาใส่นาง!
หญิงสาวสูดหายใจเฮือก
ไม่รู้ว่านางรู้สึกไปเองหรือไม่ พอคำว่า ‘สำนักหมื่นพิษ’ หลุดจากปากนางออกไป ใครเลยจะรู้ว่าบริเวณนั้นกลับมีคนโสตประสาทว่องไว นอกจากสายตาเย็นชาของเย่าไป๋แล้ว คนในจงหยวนบางคนพอได้ยินเข้าก็ถลึงตามองนางทันที
นางสัมผัสได้ถึงแววตาดุดันของคนรอบข้าง จึงเร่งฝีเท้าก้าวตามหลังเย่าไป๋ไปติดๆ จนใบหน้าน้อยๆ แทบประชิดติดแผ่นหลังกว้าง ขาดแต่ไม่ได้ใช้เชือกผูกร่างติดกับหลังของเขาเท่านั้น
ฮือ ดูเหมือนนางไม่ควรพูดมากสินะ สงสัยว่าสำนักหมื่นพิษจะไม่ใช่ชื่อที่ควรเอ่ยในเขตจงหยวนกระมัง
นางมิรู้เรื่องในยุทธภพ ยิ่งมิรู้ว่าสำนักไหนอยู่ฝ่ายธรรมะหรืออธรรมะ แต่อันที่จริงแล้วคนเราจะยึดติดกับถิ่นกำหนดของคนผู้นั้นมิได้ เพราะสิ่งเหล่านั้นมิอาจตัดสินได้ว่าใครดีหรือชั่ว ต่อให้เป็นสายธรรมะอย่างบู๊ลิ้มก็มิอาจรับประกันได้ว่าพวกเขาจะเป็นคนดีเสมอไปนี่น่า...
กู่เย่าไป๋ทำสีหน้าสงบราบเรียบ มองตรงไปข้างหน้าคล้ายมิได้รับรู้ถึงสายตามาดร้ายของผู้คนรอบข้าง แต่หากมองให้ลึกลงไปในนัยน์ตาของเขากลับมีระลอกคลื่นเล็กๆ พัดโหมระลอกแล้วระลอกเล่า
นั่นเขากำลังโกรธนางใช่หรือไม่... นางอยากจะอ่านความรู้สึกของเขาได้เหลือเกิน หากเขาคิดจะทิ้งนางไว้กลางทางโดยไม่บอกกล่าว นางจะได้รู้ตัวตั้งแต่เนิ่นๆ
“เย่าไป๋...” นางเหลียวซ้ายแลขวา ก่อนจะเขย่งปลายเท้ากระซิบบอก “หากเกิดอะไรขึ้นท่านต้องปกป้องข้านะ ห้ามท่านทิ้งข้าเด็ดขาด”
เขามิได้ตอบว่ากระไร แต่นางสังเกตเห็นใบหน้าเขาเกร็งกระตุกเล็กน้อย
ดูเหมือนเขาจะโกรธ? นางผิดไปแล้ว ผิดไปแล้วจริงๆ คราวหน้านางต้องระวังคำพูดให้มากกว่านี้
ทั้งสองเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ท่ามกลางความกดดันรอบข้างจู่ๆ คนผู้หนึ่งปราดเข้ามาด้านหน้า คนผู้นั้นคือชายหนุ่มอายุอานามน่าจะราวๆ ยี่สิบห้ายี่สิบหกปี รูปร่างกำยำล่ำสัน หมัดกล้ามแน่นหนั่น ใบหน้าคมคาย ผิวสีคร้ามแดด สวมใส่อาภรณ์ตัดเย็บชั้นดี
อืม... ข้อนี้พิสูจน์ได้ว่าคนฝึกยุทธ์ล้วนแต่สุขภาพดีทั้งสิ้น
หญิงสาวก้มมองสำรวจเรือนร่างตนเอง นางมิใช่คนฝึกยุทธ์สีผิวจึงขาวซีดราวกระดาษ ร่างกายผอมบาง ถ้าหากฝึกวรยุทธ์คงน่าพิศยิ่งกว่านี้...
“พวกท่านได้โปรดช้าก่อน” ชายหนุ่มร่างใหญ่ค้อมกายพูดด้วยท่าทางสุภาพ
กู่เย่าไป๋ชะงักฝีเท้ามองฝ่ายตรง นางเองก็หยุดกึก แล้วยืนหลบอยู่ด้านหลังของเย่าไป๋ ชำเลืองตามองคนข้างหน้าเช่นเดียวกัน
“คุณชาย ได้โปรดเปิดทางให้พวกเราด้วย” กู่เย่าไป๋ทอดเสียงราบเรียบ พลางค้อมกายคารวะตอบ
“ข้าน้อยต้องขออภัย ขอเรียนถามพวกท่าน ไม่ทราบว่าพวกท่านกำลังเดินทางลงใต้ใช่หรือไม่”
“ไม่ผิด พวกเรากำลังเดินทางลงใต้” กู่เย่าไป๋ตอบกลับอย่างสุขุมเยือกเย็น
ชายหนุ่มร่างใหญ่มองกู่เย่าไป๋ทีมองนางทีอย่างพิจารณา หลังจากได้ยินคำตอบ เขาก็ฉุกใจคิดอย่างรวดเร็ว แล้วผายมือไปด้านหน้าอย่างมีมารยาทคล้ายเป็นการเชื้อเชิญ
“ขออภัยคุณชายและแม่นาง ผู้น้อยหลี่ซุนจือ คงต้องรบกวนพวกท่านทั้งสองแล้ว ได้โปรดกลับไปเป็นแขกกับผู้น้อยสักครู่ได้หรือไม่ ผู้น้อยรับรองว่ามิได้มีเจตนาร้ายแต่อย่างใด”
“แต่...”
หญิงสาวอ้าปากทำท่าโต้แย้ง แต่กู่เย่าไป๋ยกมือห้ามปรามไว้เสียก่อน พร้อมบอกว่า “คุณชายโปรดนำทาง”
หา? อย่าล้อเล่นน่า ให้ไปกับคนแปลกหน้า ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นแล้วนางจะหนีทันหรือ ถึงเขาไม่กลัวแต่นางกลัวนี่น่า...
กุ้ยหลินขบริมฝีปากแดงปลั่ง เอ่ยถามอย่างหวาดๆ “ท่านแน่ใจหรือว่าจะตามหลี่ซุนจือไปจริงๆ ถ้าหาก... ถ้าหาก...”
วาจากล่าวยังไม่ทันจบ ชายหนุ่มจ้องดวงหน้าเรียวเล็กที่เต็มไปด้วยความหวาดหวั่นอย่างเย็นชา แล้วค่อยเลื่อนสายตาไปบนชายเสื้อสีขาวพิสุทธิ์ของเขา
นางรีบดึงมือที่ยึดชายเสื้อของเขากลับ พร้อมทั้งหลุบตาลงต่ำ “ขะ... ขอโทษ... ขอโทษด้วย” เมื่อครู่นางคงลืมตัว ถึงได้ยึดชายเสื้อของเขาราวกับเห็นเป็นฟางเส้นสุดท้าย แต่ว่า... ไม่เห็นจำเป็นต้องทำสีหน้าเย็นชาขนาดนั้นก็ได้
กุ้ยหลินก้มหน้าเดินตามชายหนุ่มทั้งสอง จังหวะที่พวกเขาก้าวออกไปเพียงไม่กี่ก้าวชายฉกรรจ์ห้าหกคนกรูเข้ามาห้อมล้อมไว้ นางชำเลืองมองเย่าไป๋และหลี่ซุนจือ คนทั้งสองมีท่าทางสงบ ผิดกับนางที่ยืนตัวเกร็งด้วยความกลัว
“เย่า...”
มือขาวเรียวยื่นออกไปคล้ายจะดึงชายเสื้อสีขาวของชายหนุ่มอีกครั้ง แต่แล้วก็ฉุกใจคิดขึ้นได้จึงรีบชักมือกลับ ทำไม้ทำมือไม่ถูก ไม่รู้จะวางไปตรงไหนดี
ครั้นเห็นนางยืนตัวแข็งทื่อ ชายหนุ่มจึงยื่นมือออกมาข้างหนึ่ง ทันใดนั้นนางสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นกระแสหนึ่งกำซาบผ่านฝ่ามือใหญ่
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าเรียบเฉย ก่อนจะก้มมองฝ่ามือใหญ่ที่กุมมือน้อยๆ ของตนด้วยความฉงน ความอบอุ่นที่ส่งผ่านฝ่ามือของเขาเสมือนเป็นการปลอบประโลมโดยมิต้องใช้คำพูด ยังผลให้หัวใจของนางเริ่มคลายออก ลดความหวาดกลัวลงได้หลายส่วน
นางค่อยๆ ผ่อนลมหายใจ รู้สึกว่าการเดินทางร่วมกับผู้ชายคนนี้นับว่าไม่เลวเลยจริงๆ
“คุณชายหลี่ท่านคิดจะพาพวกเขาไปไหนขอรับ” ชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่คนหนึ่งเอ่ยถาม
“พวกเจ้าก็รู้”
“แต่...”
“หลบไป” ท่าทางสุภาพของหลี่ซือจือเปลี่ยนเป็นดุดันแล้ว “ในบันทึกของท่านพ่อมิได้กล่าวไว้หรอกหรือ อย่าตัดสินคนในยุทธภพเพียงเพราะสำนักหรือถิ่นกำเนิด บันทึกเล่มนั้นพวกเจ้าเองก็เคยผ่านตามาบ้างแล้ว ที่สำคัญพวกเจ้าขัดขวางข้าก็เหมือนขัดขวางไม่ให้ข้าพาคนไปรักษาท่านพ่อ” เขาพูดอย่างมีเหตุผลจนชายฉกรรจ์ทั้งหมดเกิดอาการลังเลและมีสีหน้าเจื่อนๆ
หลี่ซุนจือกล่าวได้ตรงกับความคิดของนาง
“คุณชายหลี่...”
ชายคนเดิมส่งเสียง เขามองสำรวจนางกับเย่าไป๋อย่างโจ่งแจ้ง ก่อนสายตาคู่นั้นจะเลื่อนมาจบบนใบหน้าของนางอีกครั้ง
“เช่นนั้นเชิญขอรับ”