“น้องชดามีเรื่องไม่สบายใจหรือเปล่าครับ ทำไมทำหน้าเครียดแบบนั้นล่ะ”
คเชนทร์เอ่ยถามนางเอกสาวที่กำลังพาร่างเพรียวระหงเดินมาหย่อนสะโพกลงบนโซฟาตัวใหญ่ข้างๆ นอกจากจะไม่ได้รับการทักท้ายจากเสียงหวานเหมือนเช่นทุกครั้งที่มาหาถึงคฤหาสน์หลังงามนี้แล้ว เจ้าหล่อนยังทำท่าเหมือนคนหมดอาลัยตายอยากอีก
“หรือว่าน้องชดาไม่สบายครับ”
“ค่ะ ชดาไม่สบายค่ะพี่เชนทร์ ชดาได้รับบาดเจ็บรุนแรงมาก”
“ตายจริง! น้องชดาเจ็บตรงไหนครับ แล้วไปหาหมอหรือยัง ไหนครับแผลมีไหน เจ็บตรงไหน พี่เชนทร์จะพาไปโรงพยาบาลตอนนี้เลย”
ผู้จัดการส่วนตัวร้องอย่างตกใจ ยิงคำถามใส่รัวๆพลางจับร่างบางพลิกไปมาเพื่อหาบาดแผลตามร่างกายของเธอ
“ไม่ใช่ร่างกายค่ะพี่เชนทร์ แต่ชดามีแผลที่หัวใจ ไม่มีหมอคนไหนช่วยชดาได้หรอกค่ะ”
คำตอบของหญิงสาวทำให้ผู้จัดการหุ่นล่ำต้องหยุดชะงัก ก่อนจะจ้องมองใบหน้างดงามอย่างจริงจัง
“ไหนเล่ามาสิ ว่าใครทำให้น้องชดาของพี่เชนทร์มีแผลที่ใจ พี่เชนทร์จะได้ไปจัดการให้”
“คุณหมอเจษฎาค่ะ”
เมื่อเห็นผู้จัดการหนุ่มทำท่าเหมือนทหารกล้าพร้อมที่จะลงสนามรบ พรชดาก็ฟ้องให้เลย แต่แล้วก็ต้องหลุดขำเมื่อเห็นท่าทางมั่นอกมั่นใจของผู้จัดการส่วนตัวแปรเปลี่ยนเป็นหัวหดแทน
“คนนี้พี่เชนทร์คงจัดการให้ไม่ได้หรอกนะครับน้องชดา แค่คิดก็ไม่กล้าแล้วละครับ” คเชนทร์บอกพลางหัวเราะแห้งๆส่งให้หญิงสาว “ว่าแต่คุณหมอทำอะไรให้น้องชดาได้รับบาดเจ็บที่หัวใจละครับ”
“คุณหมอปฏิเสธดินเนอร์กับชดาค่ะ”
พรชดาบอกพร้อมนึกถึงตอนที่โทร.ไปชวนชายหนุ่มดินเนอร์ด้วยกันเมื่อสองวันก่อน เพราะอยากสร้างบรรยากาศการเริ่มต้นความสัมพันธ์ไปในทางที่ดี แต่ก็ถูกปฏิเสธด้วยประโยคที่ว่า วันนี้ผมไม่ว่าง และคำพูดนี้ยังคงดังก้องอยู่ในหูให้รู้สึกหงุดหงิดใจ
“คุณหมอปฏิเสธชดาเหรอคะ”
เวลานั้นพรชดารู้สึกหน้าชาวาบ พยายามอย่างยิ่งที่จะระงับความน้อยใจเอาไว้อย่างสุดความสามารถ
“ครับ ผมไม่ว่างจริงๆ”
“แล้วเมื่อไหร่คุณหมอจะว่างละคะ”
“ผมยังตอบอะไรคุณตอนนี้ไม่ได้ ไว้ถ้าผมว่างจะบอกอีกที”
น้ำเสียงของปลายสายดูหอบและรัวเร็วราวกับกำลังติดภารกิจเร่งด่วนอยู่ แต่ก็ยังรับสายและคุยกับเธอโดยที่ไม่ขอตัดสายแต่อย่างใด สำหรับพรชดาแล้ว ถ้าคุยโทรศัพท์ได้ก็แสดงว่าเขาว่าง ทั้งที่ความรู้สึกของเธอนั้นจะบ่งบอกชัดว่าเขาติดธุระอยู่จริงๆ
“บอกอีกทีงั้นเหรอ รู้อะไรไหมคะคุณหมอ ชดาไม่เคยต้องเป็นฝ่ายรอใคร งั้นเอาเป็นว่าการดินเนอร์คืนนี้ยกเลิกค่ะ คิดเสียว่าชดาไม่ได้โทรหาคุณหมอแล้วกันนะคะ”
หญิงสาวกรอกเสียงใส่โทรศัพท์ ก่อนจะกดตัดสายอย่างขัดใจ เกิดมาไม่เคยเป็นฝ่ายชวนใครไปดินเนอร์มาก่อน นี่อุตส่าห์ชวนเขาเป็นคนแรกกลับถูกปฏิเสธมาซะงั้น
“คุณหมออาจจะไม่ว่างจริงๆก็ได้นะครับ ถ้าอย่างนั้นเปลี่ยนจากควงคู่เจ้าชายไปดินเนอร์ เป็นควงพี่เชนทร์ไปแทนแล้วกันนะครับ”
ผู้จัดการหนุ่มบอกพร้อมเสนอตัวเองแทนแต่กลับได้รับการปฏิเสธกับมา
“ไม่ดีกว่าค่ะพี่เชนทร์ ตอนนี้ชดากินอะไรไม่ลง”
“อย่าเครียดไปเลยนะครับคนสวยของพี่เชนทร์ เอาเป็นว่าถ้าคุณหมองานยุ่งงั้นเราก็เป็นฝ่ายไปหาคุณหมอเองดีไหมละครับ”
เป็นคำแนะนำที่เรียกแสงประกายวาบจากดวงตาคู่สวยได้เป็นอย่างดี และไม่ต้องเดาให้เสียเวลาเพราะคนอย่างพรชดาลองตั้งใจอะไรไว้แล้ว ก็ไม่เคยถอดใจง่ายๆ
………………………………
“พี่ดีใจนะที่เจนไม่รู้เห็นเป็นใจกับเพื่อน”
เจษฎาบอกกับน้องสาวผ่านทางปลายสาย
“เจนไม่มีทางสนับสนุนให้เพื่อนสนิทของตัวเองเปลี่ยนสถานะเป็นพี่สะใภ้ของเจนได้หรอกค่ะ”
“ทำไมล่ะเจน ก็เจนออกจะหวงพี่ขนาดนี้ ถ้าเกิดพี่คบกับเพื่อนสนิทเจนขึ้นมาจริงๆก็เป็นเรื่องที่ดีไม่ใช่เหรอ”
เจษฎาหยั่งเชิงถามน้องสาว เพราะหากคนสนิทคบกับพี่ชายตัวเองก็ต้องอยู่ในสายตาของน้องสาวตลอดเวลาอยู่แล้ว
“พี่เจษคิดแบบนั้นจริงๆเหรอคะ”เจนจิราย้อนถาม ก่อนจะเอ่ยต่อ “สำหรับเจนแล้วถึงอลินจะเป็นเพื่อนรัก แต่เธอก็ไม่คู่ควรกับพี่เจษเลยสักนิด ฉะนั้นถ้าอลินทำตัวแบบนั้นกับพี่เจษอีก พี่เจษสามารถจัดการเธอได้โดยไม่ต้องเกรงใจเจนหรอกนะคะ”
เจษฎารับรู้ได้ถึงความจริงใจของน้องสาว ชายหนุ่มรู้ดีว่าทุกสิ่งที่เธอพูดนั้นออกมาจากใจจริง
“ขอบใจที่ไม่เข้าข้างเพื่อน”
ก่อนหน้านี้เจนจิราให้ความสนิทสนมกับอลินไม่ต่างจากพี่น้องอีกคน แถมยังเคยขอร้องให้พี่ชายตัวเองรักและเอ็นดูเธอเหมือนน้องสาวอีกด้วย แต่เมื่อได้ฟังพฤติกรรมที่อลินเข้าหาพี่ชายเธอด้วยวิธีน่าเกลียดแล้ว เจนจิราก็ไม่ลังเลที่จะเข้าข้างพี่ชายของตัวเอง
“ระหว่างพี่ชายกับเพื่อนเจนก็ต้องเลือกพี่ชายอยู่แล้ว ว่าแต่ช่วงที่เจนไม่อยู่พี่เจษแอบคบกับสาวๆคนไหนหรือเปล่าคะ”
เจนจิราบอกกับพี่ชาย ก่อนที่จะเปลี่ยนเรื่องคุย แต่เรื่องใหม่ก็ไม่ได้เครียดน้อยไปกว่าเรื่องเดิมที่จบลงไปเลยสักนิด
“ก็ไม่เชิง”
เจษฎาตอบสั้นๆ พลางนึกถึงนางเอกสาวที่กำลังประกาศจะตามจีบตนก่อนหน้านี้ ซึ่งวันสองวันมานี้เจ้าหล่อนหายเงียบไปไม่แม้แต่จะส่งข้อความหา ตั้งแต่เขาปฏิเสธดินเนอร์กับเธอไปเมื่อสองวันก่อน ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากไป แต่ตอนนั้นเขามีคนไข้ฉุกเฉินจริงๆ
ซึ่งจังหวะที่เธอโทรมาเป็นเวลาเดียวกับที่เขากำลังปั๊มหัวใจช่วยชีวิตคนไข้อยู่ โดยให้พยาบาลเป็นคนถือโทรศัพท์ให้ หลังจากเธอวางสายไปเขาก็เข้าห้องผ่าตัดและใช้เวลาอยู่หลายชั่วโมง กว่าจะได้พักก็เกือบจะเป็นเช้าของอีกวัน
“พี่เจษพูดแบบนี้แสดงว่า พี่มีแฟนแล้วเหรอคะ”เจนจิราเอ่ยถามเสียงรัว เก็บซ่อนความตื่นเต้นไว้ไม่อยู่
“ถ้ามีแล้วเจนจะว่ายังไงล่ะ จะห้ามไม่ให้พี่มีแฟนเหรอ”
เจษฎาไม่ยอมตอบน้องสาวในทันที แต่อยากหยั่งเชิงถามเสียก่อน เพราะไม่รู้ว่าตอนนี้น้องสาวกำลังคิดอะไรอยู่ แล้วคำตอบที่ได้กลับมาก็ทำให้ชายหนุ่มต้องลอบถอนหายใจโล่งอก
“เปล่าค่ะ เจนแค่อยากรู้ว่าใครคือผู้หญิงโชคดีคนนั้น”
“ไว้เจนกลับมาแล้วพี่จะแนะนำให้รู้จัก แต่ตอนนี้กลับไปตั้งใจเรียนก่อน”
เจษฎาบอกกับน้องสาว แล้วเปลี่ยนเรื่องคุย เพราะเขายังไม่อยากลงรายละเอียดอะไรมาก เกรงว่าสาวเจ้าที่ประกาศจีบตนจะถอดใจกลางคาน
“เรื่องตั้งใจเรียน เจนเกินร้อยอยู่แล้วน่าพี่เจษไม่ต้องห่วงหรอก”
“จะไม่ให้ห่วงได้ยังไง พี่มีน้องสาวแค่คนเดียวถ้าไม่ให้ห่วงน้องแล้วจะให้ห่วงใคร ถามแต่เรื่องของพี่แล้วนี่มีหนุ่มฝรั่งตาน้ำข้าวมาจีบบ้างหรือเปล่า”
“ไม่มีค่ะ นี่ก็รออยู่”
เจนจิราพูดติดตลก ส่งผลลให้พี่ชายต้องหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี
“ถ้ามีก็เลือกดีๆแล้วกัน พี่ไม่ได้ห้ามเรามีแฟน แค่ไม่อยากให้เจอคนไม่ดี และไม่อยากให้ใครทำน้องสาวของพี่เจ็บ”
“ขอบคุณที่เข้าใจ และเป็นห่วงเจนนะคะพี่เจษ”
เสียงหัวเราะเมื่อกี้แปรเปลี่ยนเป็นสั่นเครือขณะกล่าวขอบคุณพี่ชายจากใจจริง ความห่วงใยของพี่ชายที่ส่งผ่านมาตามสายเรียกน้ำใสๆในดวงตากลมโตให้รื้อขึ้นมาด้วยความรู้สึกตื้นตัน
“ดูแลตัวเองดีๆ ถ้าต้องการความช่วยเหลือ หรือมีอะไรไม่สบายใจก็โทรหาพี่ได้ตลอดเวลา”
“ค่ะพี่เจษ รักพี่เจษนะคะ…บาย”
“พี่ก็รักเจน บายครับ”
สองพี่น้องต่างก็ล่ำลากันด้วยคำว่ารัก ก่อนที่สายจะถูกตัดไป เจษฎามองหน้าจอโทรศัพท์ที่ดับลงไปด้วยความรู้สึกโล่งอกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก
………………………………….…..