ประโยคสุดท้ายสะเทือนความรู้สึกของหญิงสาวอย่างรุนแรง เฮเดนไม่ได้แค่ขู่เธอแต่มันยังหมายถึงไอสวรรค์ลูกสาวตัวน้อยของเธอด้วย มนัสวีหันรีหันขวางเหมือนยังไม่แน่ใจ แต่แล้วก็เกิดประกายความคิดวาบเข้ามาใหม่ว่าเธอไม่ควรจะหนีผู้ชายคนนั้น
เฮเดน เจคอป
เธอควรต้องเผชิญหน้ากับเขาเพื่ออะไรหลายอย่าง อย่างน้อยก็อาจเพื่อการตกลงและอธิบายเรื่องที่เขายังขุ่นหมองใจเมื่อห้าปีที่ผ่านมาซึ่งมันยังติดลึกและค้างคาในความรู้สึกของหญิงสาว นี่อาจเป็นโอกาสที่เธอจะได้บอกในสิ่งที่เธอไม่มีโอกาสได้พูด
“ถ้าฉันตกลงไปกับพวกคุณ คุณจะรับประกันความปลอดภัยให้พวกเราหรือเปล่า?”
“ด้วยเกียรติของผมครับคุณมนัสวี ผมจะพาคุณไปพบคุณเฮเดนอย่างที่บอกไว้ซึ่งนี่เป็นภารกิจสำหรับผมตอนนี้...เชิญครับ”
ร่างแน่งน้อยหันกลับไปมองโรงแรมที่เธอกำลังจะเข้าพักอีกครั้งและได้ยินเสียงแม่หนูน้อยที่กำลังขยี้ตาดังงัวเงียกับอก
“มีมี๊...”
“หนูไอซ์...เดี๋ยวเราจะ...เดินทางต่ออีกนิดนะจ๊ะ”
“จาไปไหน?”
พอลืมตาตื่นเต็มที่เด็กหญิงเจ้าของนัยน์ตาสีอำพันวาววามก็หันไปมองชายแปลกหน้าที่ยืนตรงหน้ามารดาและทำให้มนัสวีรีบอธิบาย
“เราจะเดินทางต่ออีกนิดหน่อย แล้วเดี๋ยวเราจะกลับมาพักที่นี่นะจ๊ะ...โอเคนะ”
“โอเคค่ะ”
ไอสวรรค์รับปากมารดาแต่ยังทำหน้าเหมือนไม่เข้าใจหากก็ได้แต่กอดแม่ไว้แน่น มนัสวีพาลูกสาวเดินตามชายร่างสูงใหญ่ไปยังรถเอสยูวีซึ่งเขาปฏิบัติต่อเธออย่างให้เกียรติด้วยการเปิดประตูให้สองแม่ลูกขึ้นไปนั่งบนเบาะด้านหลังก่อนที่รถคันหรูจะแล่นออกสู่ถนนสายใหญ่
“เราจาไปไหนคะ?”
เด็กน้อยถามมารดาและหญิงสาวยิ้มให้พร้อมทั้งตอบว่า
“มีมี๊ไปธุระแป๊บนะคะ”
“นานแค่ไหนคะ?”
มนัสวีทำสีหน้าครุ่นคิด เธอกำลังกลัวและสงสัยเหมือนกันว่าคนของเฮเดนจะพาเธอไปที่ไหน
“แป๊บเดียวค่ะ...แป๊บเดียว...หลับนะคะ”
หญิงสาวกดศีรษะเล็ก ๆ ไว้กับอก ลูบเรือนผมสีน้ำตาลทองเบา ๆ ด้วยความหวาดหวั่นเกินระงับ มือเธอสั่นหากลูกสาวตัวน้อยก็ไม่ได้รู้สึกแต่อย่างใด อาจเป็นเพราะไอสวรรค์ยังเล็กเกินไปที่จะรับรู้ถึงความหวั่นกลัวที่กำลังกัดกินหัวใจของคนเป็นแม่ในยามนี้
มนัสวีนั่งกอดลูกสาวที่สงบนิ่งในตักบนเบาะหลังรถเอสยูวีซึ่งภายในตกแต่งอย่างหรูหรากับหัวใจที่เต็มไปด้วยความหวั่นระแวงเพราะนี่จะเป็นการได้พบกับ ผู้ชายที่เคยรักเธอ หลังจากไม่ได้เจอกันนานกว่าห้าปี เธอรู้สึกได้ถึงความตื่นเต้นของตัวเอง รู้สึกถึงแรงสั่นสะท้านทั้งจากภายในและภายนอก มันเหมือนคลื่นใหญ่โหมตัวเข้าหาเธอหลายระลอกและหญิงสาวแทบไม่อาจทานทนไหว เขารู้ว่าเธอมาบอสตัน แล้วเฮเดนจะรู้หรือเปล่าว่าเธอไปเยี่ยมพี่ชายที่เรือนจำมา เขากำลังจะทำอะไรกันแน่ หญิงสาวคิดจนเริ่มปวดหน่วงที่ขมับกระทั่งรถคันนั้นแล่นผ่านรั้วอัลลอยด์ขนาดใหญ่เข้าไปบนถนนขนาบสองข้างทางด้วยต้นไม้ที่กำลังเปลี่ยนสีบอกให้รู้ว่าห้วงกาลกำลังจะเคลื่อนผ่านเข้าสู่ฤดูหนาวและมันทำให้หัวใจดวงนั้นประหวัดนึกไปถึงคำพูดของเฮเดนในช่วงฤดูกาลนี้เมื่อห้าปีที่แล้ว
“วีนัส...รู้มั้ยว่าผมอยากจัดงานแต่งงานในช่วงฤดูหนาว”
“ทำไมล่ะคะ?”
“เพราะช่วงฤดูหนาวเจ้าสาวจะสวยที่สุด งดงามที่สุดและผมก็จะได้กอดเธอใต้ผ้าห่ม ปกป้องตัวเธอจากลมหนาวยังไงล่ะ”
โดยไม่ได้ตั้งใจที่รอยน้ำเริ่มรื้นรอบขอบตาของหญิงสาว เจ้าสาวในฤดูหนาวอย่างนั้นหรือ...มนัสวีก้มลงจูบบนเรือนผมสีน้ำตาลทองของลูกสาวและมีรอยยิ้มเศร้า ๆ ผุดขึ้นบนมุมปากอิ่มสวย สำหรับเธอมันคงไม่มีช่วงเวลาเช่นนั้นอีกแล้ว
“เชิญครับคุณมนัสวี”
เสียงเรียกเมื่อประตูรถถูกเปิดออกปลุกหญิงสาวให้ตื่นจากความฝันโดยที่เธอเองก็ไม่รู้เลยว่ารถที่นั่งมาจอดลงตอนไหน ร่างเล็กบอบบางขยับตัวจากเบาะนั่งขณะที่ชายร่างใหญ่ยื่นมือเข้ารับเด็กหญิงตัวน้อยลงจากตัวรถ ไอสวรรค์ทำหน้าตื่นและหันมาพูดกับมนัสวีที่ก้าวลงจากรถตามมาทีหลัง
“มีมี๊...ที่นี่สวยจัง”
หญิงสาวมองไปรอบ ๆ ตามเสียงเจื้อยแจ้วแสดงความตื่นเต้นของเด็กน้อยและคิดว่าเธอไม่เคยมาที่นี่ คฤหาสน์สร้างจากอิฐสีน้ำตาลแดงในสไตล์โคโลเนียลโอบล้อมด้วยต้นไม้เปลี่ยนสีหากทว่าเป็นสถานที่อันโดดเดี่ยวแยกตัวมาจากชุมชนเมือง แม้จะสวยงามเช่นไรหากก็ทำให้มนัสวีรู้สึกราวกับเธอกำลังก้าวเข้ามาในโลกอันหม่นมืดที่มองไม่ชะตากรรมเบื้องหน้า
“เชิญด้านในครับ”
คนของเฮเดนกล่าวอีกครั้งและหญิงสาวต้องรีบจับมือลูกสาวตัวเล็กที่อยู่ในชุดกระโปรงสวมทับด้วยแจ็คเก็ตมีฮู๊ดสีชมพูหวานไว้แน่นก่อนเดินตามชายผู้นั้นเข้าไปในคฤหาสน์หลังใหญ่ และระหว่างทางที่เดินเข้าไปเธอเห็นว่ามีพวกบอดี้การ์ดยืนเฝ้าอยู่ตลอดทางก่อนถึงห้องโถงใหญ่ซึ่งร่างเล็กบางก้าวเข้าไปหยุดพร้อมไอสวรรค์
“มีมี๊...นี่ที่ไหนคะ?”
เด็กน้องถามด้วยความไร้เดียงสา แววตาคู่นั้นมองไปรอบ ๆ สถานที่โอ่โถงด้วยความตื่นตาโดยไม่รู้เลยว่าผู้เป็นแม่หวั่นกลัวขนาดไหน มนัสวีกระชับมือที่กุมมือน้อยไว้
“เป็นบ้าน...เพื่อนของมี๊เองค่ะ”