ตึก! ตึก! ตึก!
“อีตอง! อีตองรอกูด้วย” เสียงเพื่อนสนิทตะโกนดังไล่หลัง พร้อมกับเสียงฝีเท้าของคุณตำรวจวิ่งตามอย่างไม่ลดละ มือเล็กกำสร้อยแน่นเท้าวิ่งฉับ ๆ อย่างว่องไว
ฟิ้ว ตองเก้าอาศัยความคล่องตัวที่ฝึกฝนมาตั้งแต่เด็กจวบจนอายุยี่สิบสาม วิ่งหนีตำรวจที่วิ่งไล่จับโจรกระชากสร้อยอย่างเธอด้วยความรวดเร็ว
มิจฉาชีพสาวกระโดดข้ามรั้วหลบอยู่หลังพุ่มไม้ อาศัยความมืดเข้าช่วย แล้วมันก็ดีอย่างที่คิดมันพรางตัวจนลุงตำรวจพุงพลุ้ยหาเธอไม่เจอ
“ฟูว์ นึกว่าจะไม่รอดซะแล้ว” ตองเก้าพ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก พลางกวาดสายตามองซ้ายมองขวา มือเล็กชูสร้อยคอทองคำน้ำหนักประมานสามบาทที่เธอเพิ่งกระชากมาหมาด ๆ อย่างภาคภูมิใจ
วันนี้เธอก็ทำสำเร็จอีกครั้ง...
มิจฉาชีพสาวรอจนตำรวจที่กำลังตามเธอวิ่งไปอีกทาง ร่างเล็กก็ลุกขึ้นแล้วเดินตรงไปหลังป่าช้า มันเป็นสถานที่นัดหมาย เวลาที่ฉกชิงวิ่งราวของมีค่ามาได้ เธอกับเพื่อนก็จะรวมตัวกันอยู่ที่นั่น
“อีตองอีตะไลวิ่งไม่รอกูเลย” เสียงก่นด่าของเพื่อนรัก ทำเธออยากจะกรอกตามองบนสักพันรอบ เมื่อไอ้หมัดเอ่ยทักทายด้วยคำพูดที่แสนจะหยาบคาย
“อะไรของมึง” ตองเก้าเอ่ยตอบอย่างหงุดหงิด
“นับวันยิ่งวิ่งเร็วนะมึง มึงรู้ไหมว่ากูเกือบไม่รอด ตำรวจที่เคยวิ่งไล่กูทุกวันเพิ่มเลเวลความเร็วขึ้นมาแล้วนะมึง” หมัดนั่งหอบหายใจรัวเร็ว
“ถ้ามันเพิ่มเลเวลขึ้นมามึงก็ต้องอัพเกรดให้ดีกว่าเดิม มึงต้องวิ่งและสับขาหลอกให้ดี มึงดูกูไว้เป็นตัวอย่างสิ ปราดเปรียวว่องไว ไล่จับกูแทบทุกวันแต่ก็ไม่เคยทันกู”
“พูดง่ายแต่ทำยากนะมึง”
“แม่ง! กูวิ่งลิ้นแทบห้อยออกมา เหนื่อยฉิบหาย กูวิ่งเก่งวิ่งทุกวันขนาดนี้กูน่าจะไปแข่งโอลิมปิก วิ่งหนีตำรวจแทบทุกวัน” โขงเพื่อนร่วมขบวนการอีกคนเอ่ย
“เขาไม่เอาไอ้เป๋อย่างมึงไปวิ่งหรอก ไม่รู้ว่าขาเป๋ ๆ ของมึงจะพาร่างมึงวิ่งหนีตำรวจได้สักกี่น้ำ กูกลัวว่าอีกไม่นาน มึงจะโดนตำรวจจับสักวันน่ะสิ”
“ไม่มีทางหรอกโว้ย เห็นขาเป๋อย่างนี้วิ่งเร็วนะเว้ย วิ่งทีฉับ ๆ ไอ้ตำรวจอ้วนเป็นตือโป๊ยก่ายไม่มีวันทันกูแน่นอนฮ่า ๆ”
“ให้มันจริงเถอะ วิ่งเป็นหมาหอบแดดแบบนี้ กูว่าสักวันต้องพลาดแน่ ๆ”
“ก่อนจะพลาดก็ขอกอบโกยให้มากที่สุดก่อนแล้วกัน ภาระข้างหลังมีมากมาย เศรษฐกิจแบบนี้ทำงานอื่นก็ไม่พอกิน”
“แต่วิ่งทุกวันอย่างนี้เหนื่อยชะมัด กูกลัวว่าวันไหนเราจะพลาดสักวัน ถ้าเป็นไปได้กูอยากจะรับงานใหญ่ ๆ แล้วเลิกเป็นโจรเป็นขโมยสักที” ไอ้หมัดเอ่ย
“อยากจะเลิกแต่จะทำยังไงได้ล่ะ ก็มันไม่มีงานใหญ่ให้ทำ อีกอย่างก็เพื่อเงินทั้งนั้นแหละ เลิกก็ไม่ได้ด้วย ถ้าเลิกแล้วกูไม่มีเงินป้าดวงสมรบ่นกูหูชาแน่”
“นั่นสิ ป้ามึงด่าแต่ล่ะที รัวเป็นจังหวะเเร็ปเลย”
“อืม อะนี่พรุ่งนี้มึงเอาไปขายนะ” ตองเก้ายื่นสร้อยคอทองคำให้เพื่อนรัก ทั้งสามคนทำงานเป็นทีมฉกชิงวิ่งราวแล้วเอาเงินมาแบ่งกัน
“ว่าแต่หาเหยื่อต่อไหมวะ”
“ไม่ กูเหนื่อยอยากกลับบ้านแล้ว”
“แล้วจะกลับเลยไหม?”
“กลับเลย พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน” ว่าจบเธอก็เดินลัดเลาะไปตามทางเล็ก ๆ แถวป่าช้าแล้วทะลุออกไปสลัมบ้านที่เธออาศัยอยู่มาตั้งแต่เด็ก เท้าเล็กย่ำไปตามพื้นคอนกรีตจนกระทั่งถึงบ้านไม้หลังหนึ่ง
ป้าของตองเก้าเป็นแม่ค้าขายหอย เอ้ย! ขายหวยใต้ดิน และชอบตั้งวงไพ่ บางวันตำรวจจับป้าเธอก็ไปนอนเล่นที่มุ้งสายบัวให้ยุงกัดเล่นประจำ
“อีตอง” เสียงทรงพลังดังขึ้น ไม่ใช่ใครที่ไหนเป็นป้าดวงสมรป้าของหล่อนเอง ป้าดวงสมรท้าวสะเอวมืออีกข้างถลกผ้าถุงขึ้น แกคงพร้อมที่จะพ่นคำด่าทอใส่เธออีกเป็นแน่
“อะไรป้า”
“ไหนเงินเอามาให้กูสิ กูจะไปต่อทุน”
“ไม่มีหรอก”
ตองเก้าปฏิเสธ ป้าของเธอเป็นคนขี้งกขี้บ่น ต่อให้พยายามทำงานงก ๆ หาเงินมาได้เท่าไหร่ก็ไม่เคยพอใช้
ที่เธอต้องไปฉกชิงวิ่งราวก็เพราะต้องหาเงินมาไว้ให้ป้าตัวดีใช้จ่าย ถ้าไม่มีเงินป้าของเธอจะบ่นจะแซะจะแขวะจนตองเก้าทนไม่ไหว ต้องออกไปหางานทำ
ส่วนงานของเธอมันก็คืองานที่คนทั่วไปเกลียด ถึงมันจะเป็นอาชีพที่แย่แต่ไม่มีงานไหนที่ได้เงินดีเท่าเป็นโจรอีกแล้ว
“ป้าอย่าบ่นได้ไหมฉันง่วงนอน”
“นังเด็กคนนี้ นับวันยิ่งปากดีตอนเด็ก ๆ ฉันน่าจะเอาขี้เถ้ายัดปากแกให้ตายไป แกจะได้ไม่ต้องมาต่อปากต่อคำกับฉันอยู่แบบนี้ นังหลานไม่รักดีนังหลานอกตัญญู”
“หูย ป้านี่บ่นเก่งจริง ๆ บ่นจนลุงตายไปคนแล้ว บ่นได้บ่นดีเสียสุขภาพจิตชะมัด”
“อีตองอีหลานเวร!”
“เฮ้อ” ตองเก้าถอนหายใจแล้วรีบเดินไปหลังบ้าน โดยไม่สนใจเสียงด่าทอของผู้เป็นป้า ถ้าเธอไม่แสร้งทำไม่สนใจไม่ได้ยิน ต่อล้อต่อเถียงต่อปากต่อคำกับแก แกไม่จบง่าย ๆ
ป้าของเธอเป็นแชมป์ด่าประจำสลัม ถ้าจะให้เถียงกับแก วันนี้ทั้งคืนเธอก็คงจะไม่ได้นอน
วันต่อมา
“โอ้โห! ยอดผู้ติดเชื้อโควิด ทำไมมันพุ่งทะยานแบบนี้วะ ฉิบหายแล้วถ้ามันยังติดเชื้อกันอยู่แบบนี้วงไพ่ของฉันก็คงต้องงดล่ะสิ” ดวงสมรบ่นพร้อมกับทำท่าทางหัวเสีย
“....”
“ไอ้พวกตะไลเนี่ยอยู่มาเจ็ดแปดปีไม่มีประโยชน์อะไรเลย พวกมนุษย์ถ้ำพวกเต่าล้านปี ทำไมไม่รู้จักให้คนหนุ่ม ๆ เขาเข้าไปบริหารบ้าง ไอ้พวกแก่ ๆ แบบนี้ควรปลดระวางได้แล้ว ฉันละเบื่อจริงๆ อยู่มาไม่มีประโยชน์ห่าเหวเลย เขาจะอดตายกันอยู่แล้ว”
ตองเก้าเดินเข้ามาในครัวพร้อมกับต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกิน พยายามไม่สนเสียงก่นด่าที่แกด่าผู้บริหารประเทศซะยับเยิน
“อีตอง มึงจะกินอะไรแต่เช้าวะ”
“ขนาดป้ายังกินเลย”
“เอ้าอีนี่”
“หยุดพูด ถ้ายังบ่นอีกฉันจะไม่เอาเงินให้ป้าอีก” ตองเก้าขู่และมันก็ได้ผลป้าของเธอเงียบปากแล้วนั่งดูข่าวไม่พูดไม่จา
ตองเก้ายกยิ้มมุมปากก่อนจะต้มบะหมี่แล้วนั่งทานดูข่าวเงียบ ๆ ไม่ต่างกัน เธอต้องกินเยอะ ๆ เพราะว่าตอนกลางคืนเธอจะต้องไปหาเหยื่ออีก เธอไม่ชอบวิ่งราวตอนกลางวัน เพราะทางหนีทีไล่มันไม่ง่ายเหมือนตอนกลางคืน
ช่วงหัวค่ำช่วงมืด ๆ เธอจะไปนั่งที่ป้ายรถเมล์แล้วดูว่าใครมีสร้อยแหวนเงินทองอะไรบ้าง ส่วนใหญ่คือจะเล็งเป้าหมายคนที่ใส่สร้อยเส้นใหญ่ ๆ มากกว่า
“ฉันจะไปข้างนอกนะป้า”
“กูก็เห็นมึงไปอยู่ทุกวันมึงจะขออนุญาตทำห่าอะไร”
“ถ้าฉันไม่ขออนุญาตป้าตอนเย็นกลับมาป้าก็จะต้องบ่นฉัน หาเรื่องฉันว่าฉันไปไม่บอกไม่กล่าว สู้ฉันบอกตั้งแต่ตอนนี้ให้ป้าบ่นดีกว่าป้าไปบ่นยาว ๆ ให้ฉันฟังตอนฉันจะนอน บางครั้งฉันก็รำคาญนะป้าที่ป้าชอบบ่นชอบด่า แต่ถ้าขาดเสียงด่าของป้าไปมันคงจะเหงาพิกล”
“อีเด็กเวรจะไปไหนก็ไปอย่ามาปากดี”
“ฉันไปแล้วนะป้า” ว่าจบตองเก้าก็รีบก้าวเท้ายาว ๆ ไปที่ป่าช้าหลังวัด เพื่อนรักของเธอนั่งรออยู่ข้างศาล ในมือกำลังนับเงินไปด้วย
ตองเก้ารีบเดินเข้าไปใกล้ ๆ ก่อนจะแย่งเงินมานับเอง เธอนับทีล่ะใบจนกระทั่งถึงใบสุดท้าย
นัยน์ตาเรียวเล็กจ้องมองเพื่อนรักทั้งสองตาเขม็งก่อนจะชูธนบัตรแบงค์พันปึกนั้นให้ชายทั้งสองดู
“มันขาดไปสองใบพวกมึงตั้งใจจะโกงกูเหรอ?”
“เปล่าสักหน่อย สร้อยมันขายไม่ค่อยได้ราคาต่างหากล่ะ”
“โถไอ้เพื่อนเวร ราคาทองเมื่อวานกูก็ไปดูราคามันอยู่ มันเป็นไปไม่ได้ที่มันจะโดนหักไปตั้งสองพันถ้ามึงไม่ได้มุบมิบกู”
“พวกกูเปล่ามุบมิบมึงสักหน่อย”
“จะเอาออกมาดี ๆ หรือจะให้กูต้องใช้กำลังกับพวกมึง พวกมึงก็รู้นิสัยกูดีนะว่า ถ้ากูโกรธพวกมึงจะเป็นยังไง” มือเล็กยกกำปั้นขึ้น พร้อมกับจ้องมองทั้งสองอย่างเอาเรื่อง
“อ้ะ ๆ” ไอ้หมัดล้วงเงินจากกระเป๋ากางเกงออกมาสองใบยื่นให้ตองเก้า
เธอยกยิ้มมุมปากเบา ๆ แล้วรับเงินมาจากนั้นก็จะแจกแบ่งเงินออกเป็นสามส่วน ถึงจะได้น้อยแต่มันก็ดีกว่าที่เธอต้องไปรับจ้างรายวัน ค่าแรงแค่สามร้อยกว่าบาทส่วนค่าครองชีพนะเหรอแพงหูดับเลย
“ช่วงนี้เราได้เงินน้อยไปนะ ตอนเย็นเราจะต้องวิ่งราวให้ได้อย่างน้อยสามคนเราถึงจะอยู่ได้”
“ตอนเย็นค่อยว่ากันแล้วกันว่าแต่ตอนนี้กูหิวไปหาอะไรกินกันดีกว่า ไปกินส้มตำกันไหมวะ” โขงเอ่ยขึ้น
“กูอยากกินส้มตำถาดรีบไปกันเถอะ ว่าแต่มึงเลี้ยงใช่ไหมอีตอง”
“กูจะไม่เลี้ยงมึงก็ตรงมึงเรียกจิกหัวกูนั่นแหละ เมื่อไหร่มึงจะเลิกเรียกกูว่าอีสักทีวะไอ้เวรตะไล”
“ถ้ามึงอยากให้กูเลิกเรียกมึงมึงก็ต้องเลิกด่ากูแบบนี้สักที”
“พอ ๆ พอเลิกเถียงกันไปกินส้มตำกันดีกว่า” พูดจบทั้งสามก็เดินเคียงข้างกันเพื่อไปกินส้มตำ ที่ร้านประจำในตลาดทันที
“ป้าแดงส้มตำถาดชุดใหญ่ไฟกระพริบ”
“ได้เลย ว่าแต่หายหน้าหายตาไปนานนะช่วงนี้”
“ช่วงโควิด ใครจะอยากออกไปไหนล่ะป้า”
“เฮ้อ มันก็จริงเนาะ แล้ว...”
“รีบ ๆ ไปตำส้มตำเถอะอย่าพูดมากหน่อยเลย พวกฉันอยากกินส้มตำที่อร่อยที่สุดแล้ว” โขงเอ่ยพลางหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม
“ได้จ้า รับรองว่าอร่อยจนต้องร้องขอชีวิตแน่นอน” ป้าแดงว่าจบก็รีบควงสากโชว์ลีลาการตำส้มตำที่อร่อยที่สุดในสามโลกทันที และแน่นอนว่าเด็กพวกนี้ต้องอร่อยจนซี๊ดปากแน่นอน