เซี่ยซือซือสะพายตะกร้าที่ใส่เห็ดเยื่อไผ่เอาไว้ นางถานนำห่อผ้าเช็ดหน้าปักของตัวเองกับตำราของลูกชาย มาส่งยื่นให้นางถือไป เพราะกลัวจะทำให้เห็ดเยื่อไผ่ช้ำ และตำราอาจได้รับความเสียหาย พอพ้นสายตาคนในบ้านไป เซี่ยซือซือตั้งใจนำของในมือใส่ไว้ในมิติพิเศษ เหลือไว้แค่เห็ดเยื่อไผ่ในตะกร้า
“ลำบากเจ้าแล้วซือซือ รีบไปเถอะก่อนที่เกวียนของเฒ่าอวี่ไห่จะออกไปเสียก่อน นี่เอาไว้จ่ายค่าเกวียน” เงินสองอีแปะถูกยัดใส่มือของเซี่ยซือซือ
“หลังได้เงินค่าผ้าปักมาแล้ว เจ้านำไปซื้อข้าวกับธัญพืชกลับมาด้วย กะว่าให้กินได้หลายวันเสียหน่อย ส่วนค่าคัดลอกตำราของจ้านเออร์เจ้าห้ามใช้ เงินส่วนนั้นให้นำกลับมาให้จ้านเออร์ทั้งหมด”
“ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ฝากท่านดูแลน้องชายของข้าด้วยนะเจ้าคะ ส่วนอาซานข้าป้อนยานางไปแล้ว”
“ได้เดินทางดี ๆ ล่ะ เจอคนแปลกหน้าก็ไม่ต้องไปคุยด้วย ได้เงินมาแล้วต้องเก็บให้ดี ๆ อย่าให้คนอื่นมาฉกฉวยเอาไปได้” นางถานมองลูกสะใภ้ด้วยความเป็นห่วง แต่อย่างไรเสียนางต้องปล่อยให้เซี่ยซือซือทำเรื่องพวกนี้ด้วยตัวเอง
“เจ้าค่ะท่านแม่”
เซี่ยซือซือรีบหันหลังเดินออกจากบ้านไป ขืนอยู่ต่อเกรงว่านางถานจะเอ่ยคำเตือนตามมาอีกยาวเหยียด ในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมนั้น ยามที่บิดามารดาของนางยังอยู่ พวกท่านพานางเข้าไปขายของป่าในตำบลหานตงอยู่บ่อยครั้ง พอพวกท่านจากไปไปแล้ว เซี่ยซือซือก็ไม่เคยเหยียบย่างเข้าตำบลหานตงอีกเลย ทว่าถนนหนทางกับร้านรวงต่าง ๆ นางยังพอจดจำได้บ้าง
วัวเทียมเกวียนของเฒ่าอวี่ไห่ จอดรออยู่ใต้ต้นเหมยป่าทางเข้าหมู่บ้าน บนเกวียนยังมีที่นั่งว่างอีกสองที่ เฒ่าอวี่ไห่หันมาเห็นเซี่ยซือซือก็ยิ้มออกในทันที
“อาซือเจ้าจะเข้าตำบลหรอกหรือ” นานมากแล้วที่เฒ่าอวี่ไห่ไม่เห็นเด็กคนนี้มาขึ้นเกวียนของเขา
“เจ้าค่ะท่านปู่ นี่ค่าเกวียน” นางยื่นเหรียญสองอีแปะให้ก่อนปีนขึ้นไปนั่งอยู่บนเกวียน
“เฒ่าอวี่ไห่ออกเดินทางได้แล้ว ท่านยังจะรอใครอีกเล่า แค่นี้ก็แทบไม่มีที่จะให้คนนั่งแล้ว” แม่ม่ายหวังลู่เฟยเอ่ยขึ้นด้วยความหงุดหงิด
“ออกแล้ว ๆ เจ้าก็ใจร้อนเสียจริงนะ” เฒ่าอวี่ไห่กลับไปขึ้นประจำตำแหน่งคนขับ ไม่ช้าทุกคนก็ได้ออกเดินทาง
จากหมู่บ้านตระกูลแซ่อวี่ไปที่ตำบลหานตง มีระยะทางเพียงสิบลี้เท่านั้น แต่ด้วยต้องเดินทางผ่านภูเขา จึงใช้เวลาราวหนึ่งก้านธูปกว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง บนเกวียนนั้นชาวบ้านส่วนใหญ่ล้วนเป็นสตรี บางคนนำไข่ไก่ไปขาย บางคนนำผักที่ปลูกเองไปขาย มีส่วนหนึ่งที่นำงานฝีมือไปส่ง
หนนี้มีนายพรานอวี่เฉินฟู่กับอวี่จงสหายของเขาไปด้วย กลิ่นคาวเลือดสัตว์ป่าในตะกร้าของพวกเขาสองคนนั้น ส่งกลิ่นออกมาอย่างชัดเจน แม่ม่ายหวังถึงกับยกผ้าเช็ดหน้ามาปิดจมูก ทำท่าทางรังเกียจพวกเขา
“ท่านลุงหนก่อนข้ายังไม่ได้ขอบคุณท่านเลย ที่ช่วยหามน้องสาวข้ากลับบ้าน ต้องขอบคุณท่านลุงทั้งสองคนด้วยนะเจ้าคะ” เมื่อมีโอกาสเซี่ยซือซือจึงเอ่ยขอบคุณนายพรานทั้งสองคนไป
“เจ้าจำพวกข้าได้อยู่รึอาซือ” นายพรานหวังไม่คิดว่าเซี่ยซือซือจะจำตนเองได้ ตอนนั้นเหตุการณ์ค่อนข้างวุ่นวาย
“จำได้สิเจ้าคะ ท่านยายก็ด้วยข้าขอบคุณท่านมากที่ช่วยพูดให้ข้าในตอนนั้น” นางหันไปแม่เฒ่าจางที่นั่งอยู่เยื้อง ๆ กับนาง จำได้ว่าเป็นหญิงชราที่พูดช่วยเหลือนาง ตรงคูนาตอนเกิดเรื่องขึ้นกับเซี่ยซานซาน
“เรื่องเล็กน้อย ข้าก็พูดไปตามที่เห็นเท่านั้น เจ้าเด็กคนนี้ความจำแม่นดีจริง ๆ” แม่เฒ่าจางหัวเราะออกมาเบา ๆ ที่เด็กสาวคนนี้จำความช่วยเหลือของตัวเองได้
จากนั้นพวกเขาก็ชวนกันคุยสัพเพเหระไปเรื่อย ถามไถ่ว่าเข้าไปทำอะไรกันที่ตำบล การพูดคุยตอบโต้ของพวกเขานั้น ทำให้บรรยากาศบนเกวียนไม่เงียบเหงาอีกต่อไป
แม่ม่ายหวังเหมือนจะนึกรำคาญใจ นางหันไปหาเพื่อนที่นั่งอยู่ติดกัน ส่งสายตาเหมือนหาเรื่องชวนคุย จากนั้นพวกนางก็คุยกันเสียงดังกลบเสียงของทุกคนบนเกวียน แต่เรื่องที่คุยกันนั้น เน้นเป็นการนินทาคนในหมู่บ้านเสียมากกว่า เช่นใครแอบสวมหมวกเขียว[1]ให้ใคร หรือว่าสะใภ้บ้านไหนขี้เกียจ บ้านไหนมีลูกยาก มีสิ่งใดในหัวแม่ม่ายหวังก็พ่นออกมาจนหมด
“แล้วเจ้าล่ะซือซือ” จู่ ๆ แม่ม่ายหวังก็หันมาถามเซี่ยซือซือ
“ข้าทำไม” นางหันนิ้วชี้เข้าหาตัวเองแบบงง ๆ เมื่อกี้ข้ากำลังแอบฟังเพลิน ๆ อยู่เลย เจ้าจะหันมาหาข้าทำไม
“ก็เจ้าเพิ่งแต่ง โอ๊ะ ไม่ใช่สิ เจ้าเพิ่งถูกเหลียนฮวาซื้อไปเป็นภรรยาถานจ้านไม่ใช่หรือ ควรจะอยู่ดูแลสามีพิการที่บ้านถึงจะถูก ทำไมวันนี้ถึงเข้าตำบลเสียแล้วล่ะ”
“เมื่อครู่ตอนที่พวกข้าคุยกันอยู่ เจ้าก็น่าจะได้ยินชัดเจนนะแม่ม่ายหวัง ว่าอาซือเอาของป่าเข้าไปขายในตำบล อีกทั้งไปทำธุระให้แม่สามีของนาง หูเจ้าหนวกหรืออย่างไรถึงได้มาถามย้ำนางอยู่เช่นนี้” แม่เฒ่าจางเป็นคนตอบแทนเสียเอง ด้วยรู้ว่าอีกฝ่ายจงใจค่อนแคะเซี่ยซือซือ
“ข้าไม่ได้ถามท่านสักหน่อย”
“ข้าพอใจจะตอบแทนอาซือเอง เจ้าจะทำไม”
สองนายพรานถึงกับหันไปมองหน้ากัน ก่อนส่งสายตายักคิ้วให้กันหนึ่งที นึกรำคาญแม่ม่ายหัวสูงผู้นี้อยู่ไม่น้อย นางชอบแสดงท่าทางรังเกียจพวกเขา แต่ก็หมายตาอยากกินเนื้อที่พวกเขาล่ามาได้ ช่างย้อนแย้งเสียจริง
“ท่านป้าหวังท่านยายได้ตอบแทนข้าไปแล้ว ท่านมีอะไรจะถามข้าเพิ่มอีกหรือไม่” เซี่ยซือซือหันไปยิ้มให้แม่ม่ายหวัง แต่นางกลับสะบัดหน้าใส่ หันหน้าหนีไปหาเพื่อนของนางแทน
อ้าว ซะงั้น อยากแซะนางเรื่องมีสามีพิการก็บอกมาเถอะ
วัวเทียมเกวียนทั้งคันเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง สักพักใหญ่ ๆ พวกเขาก็มาถึงประตูทางเข้าตำบล ทุกคนต่างกระโดดลงจากเกวียนอย่างคล่องแคล่ว สถานที่แห่งนี้ไม่ได้เปลี่ยนไปจากความทรงจำ ของเจ้าของร่างเดิมเลยแม้แต่น้อย ทุกคนต่างแยกย้ายกันไปทำงานของตัวเอง ไม่มีใครสนใจใครอีกต่อไป
เซี่ยซือซือไปจัดการธุระของสองแม่ลูกสกุลถานก่อน นางไปที่หอหนังสือผู่เยว่เป็นอันดับแรก เดินเพียงไม่กี่ก้าวก็เห็น หอหนังสือสองชั้นขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ด้านข้างกับสถานศึกษาของตำบลแห่งนี้ นางหันซ้ายแลขวา ก่อนจะมองไปยังชายชราผู้หนึ่ง ที่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะคิดเงิน
“ท่านปู่ท่านเป็นเถ้าแก่ร้านหรือเปล่าเจ้าคะ”
ต่งผู่เยว่เงยหน้าขึ้นมามองนางแล้วขมวดคิ้วอย่างสงสัย “ใช่เจ้ามีอันใดกับข้าแม่นางน้อย”
“โอ้ ข้าเป็น เอ่อ ภรรยาของถานจ้านเจ้าค่ะ นี่จดหมายของเขา” นางรีบล้วงจดหมายออกมาจากแขนเสื้อ ส่งมอบให้ชายชราตรงหน้า
ต่งผู่เยว่มองเด็กสาวที่ยังโตไม่เต็มวัย กับการแนะนำตัวว่าเป็นภรรยาของบัณฑิตผู้อาภัพคนนั้น ยื่นมือออกไปรับจดหมายมาคลี่อ่าน ครั้นอ่านจบแล้วก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ
“ตำราเล่า”
“อยู่นี่เจ้าค่ะ” นางรีบหอบเอาตำราห้าเล่มขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ
ชายชราหยิบไปเปิดดูแบบผ่านตา ก่อนจะยื่นเงินหนึ่งตำลึงให้เซี่ยซือซือ
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” นางรับเงินแล้วยิ้มกริ่มอย่างมีความสุข นี่คือเงินก้อนแรกที่นางได้ถือในโลกนี้
ท่าทางราวกับว่าเงินก้อนนั้นเป็นของนาง ทำให้ต่งผู่เยว่นึกระแวงขึ้น “เจ้าคงไม่เอาเงินนั่นไปใช้เองหรอกนะ นั่นเงินของถานจ้าน”
เซี่ยซือซือ “...”
นางกลอกตาใส่ชายชราก่อนหมุนตัวเดินออกจากร้านไป
เซี่ยซือซือเก็บเงินไว้ในมิติพิเศษ ที่นั่นน่าจะเป็นสถานที่ปลอดภัยที่สุดแล้ว มุ่งหน้าไปยังร้านขายผ้าหยู่จี้ ซึ่งอยู่ถัดไปอีกตรอกหนึ่ง ร้านขายผ้าหยู่จี้เป็นร้านชั้นเดียวแต่มีขนาดกว้างขวาง เน้นขายเสื้อผ้าของชาวบ้านทั่วไปเป็นหลัก ส่วนเสื้อผ้าราคาแพงก็มีบ้างเพียงประปราย
“ท่านป้าท่านเป็นเจ้าของร้านหรือเปล่าเจ้าคะ” เซี่ยซือซือตรงเข้าไปหาสตรีนางหนึ่งที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ คนงานอีกสองคนกำลังดูแลลูกค้าอยู่ เช่นนั้นสตรีนางนี้คงเป็นเถ้าแก่ของร้านอย่างแน่นอน
“ใช่ ข้าโจวหลินเป็นเถ้าแก่ของร้านนี้เอง เจ้าถามหาข้าทำไม” โจวหลินอายุรุ่นราวคราวเดียวกับนางถาน นางมองเด็กสาวตรงหน้าอย่างแปลกใจ จำได้ว่าไม่ได้รู้จักกันมาก่อน
“ท่านป้าโจวข้าชื่อเซี่ยซือซือเป็น เอ่อ ลูกสะใภ้ของท่านแม่ถานเหลียนฮวาเจ้าค่ะ ท่านแม่ให้ข้านำผ้าเช็ดหน้าปักลายมาส่งให้ท่าน”
“ลูกสะใภ้เหลียนฮวาหรอกหรือ”
โจวหลินมองสำรวจการแต่งตัวของคนตรงหน้าอย่างละเอียดถี่ถ้วน แม้เซี่ยซือซือจะสวมใส่เสื้อผ้าเก่าปะชุน แต่ไม่ได้สกปรกแต่อย่างใด ผมเผ้านางก็ถักเปียแบบเรียบง่าย หน้าตาก็สะสวยเพียงแค่ผอมแห้งไปเสียหน่อย
“ไหนเอาผ้าเช็ดหน้ามาให้ข้าดูหน่อย หมู่นี้อาการของนางเป็นอย่างไรบ้าง ข้าลดจำนวนผ้าเช็ดหน้าลงไปตั้งเยอะ กลัวนางจะปักงานไม่ไหว”
“นี่เจ้าค่ะ” เซี่ยซือหยิบผ้าเช็ดหน้าปักลายออกมาวางไว้บนโต๊ะ “ท่านแม่อาการคงตัวอยู่เจ้าค่ะ ไม่นานน่าจะหายดี”
“หายดี เจ้าก็ช่างกล้าฝัน” โจวหลินรู้ถึงอาการป่วยหนักของถานเหลียนฮวาดี ไม่มีทางหายดีอย่างที่ลูกสะใภ้นางกล่าวออกมาหรอก
“ผ้าเช็ดหน้าปักลายผืนละสิบห้าอีแปะ มีทั้งหมดสามสิบผืน ไหนเจ้าลองคิดเลขให้ข้าดูหน่อย ว่าข้าควรมอบเงินให้เจ้าเท่าไรดี” โจวหลินนึกสนุกอยากแกล้งเด็กสาวตรงหน้า ปลายนิ้วดีดลูกคิดอย่างเชื่องช้า ปรายตามองเซี่ยซือซือไปด้วย
“เจ้าอย่านิ่งสิ ข้าคิดได้สองร้อยอีแปะเจ้าว่าถูกไหม”
เซี่ยซือซือ “...”
“ผิดแล้ว ๆ สามร้อยอีแปะต่างหาก”
“ข้ายังมีธุระต้องไปทำต่ออีก ท่านป้าโจวจ่ายข้ามาสี่ร้อยห้าสิบอีแปะเป็นพอเจ้าค่ะ”
โจวหลิน “...”
นางกระแทกลูกคิดดัง ๆ แล้วตั้งใจคิดใหม่อย่างรวดเร็ว สี่ร้อยห้าสิบอีแปะจริงด้วย
“เจ้า ! นี่เจ้า...เอาไป” โจวหลินยื่นเงินสี่ร้อยห้าสิบอีแปะให้เซี่ยซือซือ แต่ก่อนที่นางจะเดินออกจากร้านไป โจวหลินก็เอ่ยรั้งเอาไว้ “เดี๋ยวก่อนซือซือ”
“มีอันใดหรือเจ้าคะ”
“ผ้าเช็ดหน้าที่จะปักลายต่อไปล่ะ เจ้าไม่เอาไปด้วยเลยรึ”
“เอาสิเจ้าคะ ท่านป้าโจวเคยทำอย่างไรก็ทำเช่นนั้นเถิด”
“อยู่นี่ เจ้าเก็บรักษาไว้ดี ๆ ล่ะ อย่าทำหล่นหายระหว่างทาง” โจวหลินยื่นห่อผ้าเช็ดหน้าให้เซี่ยซือซือ ทั้งที่ยังสงสัยในความสามารถด้านการคิดเลขของนางอยู่ แต่เพราะนางรีบร้อนไปทำธุระ จึงไม่อาจรั้งให้อยู่ต่อได้
“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านป้าโจว” เซี่ยซือซือยื่นมือออกไปรับห่อผ้านำมาเก็บไว้ในตะกร้า
พอเดินออกจากร้านนางก็เก็บใส่ไว้ในมิติพิเศษไป ธุระต่อไปก็เป็นเรื่องของนางแล้วล่ะ
[1] สวมหมวกเขียว หมายถึง ภรรยามีชู้