บทที่ 3

1147 Words
เด็กหญิงตัวน้อยในอ้อมกอดที่เขากำลังอุ้มพาเดินไปรอบๆ ห้องคือหัวใจทั้งดวงของเขา เมฆีเคยคิดว่าความรักทั้งหมดเขาได้มอบให้จอมเกล้าไปแล้วไม่สามารถแบ่งปันให้ใครอีกได้ แต่เขาคิดผิด...เพียงครั้งแรกที่ได้เห็นหน้า เพียงครั้งแรกที่ได้สัมผัสกับเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง เขากลับศิโรราบแด่เธอโดยไม่ต้องมีเหตุผลไดๆ มาอ้างอิงเลย เขาตั้งชื่อลูกสาวคนแรกว่ารัดเกล้า ชื่อคล้ายกับแม่ของเธอ มีความหมายง่ายๆ อย่างไทยและให้ชื่อเช่นว่า ‘น้องเกล้า’ เด็กหญิงเป็นที่รักของคนรอบข้าง ใครๆ ก็พากันเอาอกเอาใจ เป็นหลานคนแรกของทั้งปู่ย่า และตากับยาย เป็นลูกสาวคนแรกของพ่อกับแม่ที่มีความรักให้กันอย่างเปี่ยมล้นคนมีเธอเป็นผลผลิตจากความรู้สึกลึกซึ้งทั้งหลายเหล่านั้น เมฆีไม่ได้วางแผนสำหรับลูกคนที่สองหรือมากกว่านั้น ไม่ใช่เขาไม่อยากได้...แต่ภาพความทรมานของภรรยาระหว่างตั้งครรภ์ ระหว่างคลอดมันยังติดตาติดใจเขา แม้จะเป็นเรื่องธรรมชาติแต่มันช่างเจ็บปวดเหลือเกินสำหรับหัวหน้าครอบครัวที่ทำได้แค่มองและให้กำลังใจเธอเท่านั้น หากเป็นแทนได้เขาคงทำไปแล้ว จอมเกล้าเองก็อยากให้เวลากับลูกเต็มที่ หล่อนกลัวว่าหากมีลูกเพิ่มเข้ามาอาจบั่นทอนทั้งเวลาและความรู้สึกของรัดเกล้า อยากทำหน้าที่ตรงนี้ให้สมบูรณ์แบบที่สุดก่อน ส่วนอนาคตนั้นก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจกำหนดได้ ในตอนนี้ครอบครัวของหล่อนไม่ได้ขาดเหลืออะไรอีกแล้ว            หล่อนมีสามีที่รัก...และทุ่มเททุกอย่างเพื่อดูแลครอบครัว แม้เขาจะงานยุ่งจนแทบไม่ได้กระดิกตัวแต่ก็ยังหาเวลาว่างพาหล่อนกับลูกไปพักผ่อนคลายกับบรรยากาศใหม่ๆ เสมอ รับประทานอาหารพร้อมกัน...พาหล่อนกับลูกเข้าสังคม ไม่มีอะไรเลยที่เมฆีทำให้หล่อนกับลูกไม่ได้            เขาคือความภาคภูมิใจ คือหัวใจ คือทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างหล่อน            “เย็นนี้มีประชุม...คุณคงกลับดึก” หล่อนยิ้มให้เขา ส่งเสื้อสูทสีดำสนิทให้สามีที่ยืนปรับเนคไทอยู่หน้ากระจก เขาหันกลับมาแล้วรวบร่างบอบบางไปกอดไว้พร้อมกับจูบซับตรงหน้าผาก            “ไม่เกินสามทุ่มแน่ครับ ถ้าพวกนั้นไม่ให้ผมกลับผมจะเผาห้องประชุมซะ” เขาเอ่ยขำๆ            “บ้า...ฉันไม่ได้ว่าอะไรซะหน่อย แค่อยากแน่ใจว่าคุณจะกลับตอนไหนกันแน่ เผื่อคุณหิวฉันจะได้ทำอาหารไว้รอ”            “คุณก็รู้ว่าผมไม่เคยเหลวไหลอยู่แล้ว หืม...เอาเป็นว่าก่อนเข้าห้องประชุมผมจะโทรฯ หาคุณอีกทีก็แล้วกัน”            “ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรือค่ะเมฆ ฉันเหมือนภรรยาที่จู้จี้ไปหรือเปล่าคะ หืม...” หล่อนถาม ผละใบหน้าออกห่างเขาเล็กน้อยแต่ยังคงอิงแอบอยู่ในอ้อมกอดอบอุ่น            “ฮะๆ ไม่หรอกที่รัก...คุณเป็นภรรยาผมนะ คุณมีสิทธิ์ทุกอย่างในตัวผมอยู่แล้ว แล้วผมเองก็ไม่อยากให้คุณคิดมากด้วย เอาล่ะผมต้องไปทำงานแล้ว มืดค่ำคืนนี้ขอสเต๊กอะไรก็ได้สำหรับผมที่นึงนะ” เขาก้มลงหอมแก้มนวลอีกครั้ง            “ค่ะ....”            “คุณไปดูน้องเกล้าเถอะ...ถ้าตื่นแล้วไม่เห็นใครจะอาละวาดลั่นบ้านอีก ไม่ต้องไปส่งผมก็ได้”            “ค่ะเมฆ...ขับรถดีๆ นะคะ ฉันจะทำสเต๊กไว้รอคุณ”            หล่อนมองสามีที่ผละจากไปด้วยรอยยิ้ม มันก็เป็นเช่นนี้ทุกวัน และมันคงเป็นตลอดไป...            เสียงอะไรบางอย่างในห้องนอนทำให้หล่อนละสายตาจากสามีซึ่งเดินลงไปชั้นล่างแล้ว หล่อนรีบสาวเท้าเข้าไปในห้องนอนอีกห้องซึ่งอยู่ติดกัน มีประตูเชื่อมถึงกันแล้วตรงไปยังเตียงนอนของลูกสาว หล่อนเห็นขวดนมกลิ้งอยู่บนพื้นและนั่นคงเป็นที่มาของเสียง ทว่าเด็กน้อยยังคงหลับสนิท หล่อนถอยหายใจโล่งอกแล้วจึงคว้าผ้าห่มคลุมร่างเล็กไว้ดังเดิม รัดเกล้าเป็นเด็กนอนดิ้นเก่ง หากเผลอทีไรก็มักถีบผ้าห่มออกพ้นตัวจนนอนตากแอร์เป็นไข้มาหลายครั้งแล้ว            และเช้านี้หล่อนก็ไม่อยากปลุกให้ลูกตื่นเร็วนักเนื่องจากมีงานบ้านอีกหลายอย่างต้องทำ แม้จะมีแม่บ้านมีคนใช้มาคอยช่วยแต่หล่อนก็ยังต้องดูแลความเรียบร้อยทุกซอกทุกมุมอยู่ดี            หน้าที่ของแม่...หน้าที่ภรรยาที่สมบูรณ์แบบ คนภายนอกมักมองว่าสวยหรู หล่อนมักได้รับคำชมสารพัดในการเป็นแม่บ้านแม่เรือนตัวอย่าง เพียบพร้อมไปเสียทุกด้าน แต่ในความเป็นจริงแล้วในแต่ละวันหล่อนเหนื่อยสายตัวแทบขาด แต่เพราะไม่อยากบกพร่องต่อหน้าที่ อีกทั้งสามีของหล่อนก็ไม่ได้บกพร่องในการเป็นสามีที่ดี หล่อนจึงมีความสุขกับสิ่งที่ทำอยู่เสมอ “บริษัทคู่แข่งกำลังซุ่มแย่งลูกค้าของพวกเราอยู่ ปีนี้กำไรหายไปหลายร้อยล้านเพราะพวกมันทำการตลาดบุกกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น ถ้าขืนเรายังทำงานกันแบบเดิมๆ รับรองว่าไม่เกินอีกสองปีทุกคนต้องหางานใหม่ทำแน่” สีหน้าเคร่งเครียดของประธานกรรมการบริษัททำให้บรรยากาศในห้องประชุมตึงเครียด สีหน้าของทุกคนกดดันกับทางออกที่พวกเขาอาจต้องลงมือลงแรงทำงานให้มากกว่าที่กำลังทำกันอยู่ในตอนนี้            “เมฆ...คุณไปร่างแผนงานของเดือนหน้ามาให้ผมก็แล้วกัน ให้คุณเชาว์ฝ่ายตลาดเป็นที่ปรึกษาก็แล้วกัน ตอนนี้ทุกคนต้องร่วมมือกันนะ ไม่มีฝ่ายไหนแผนกไหนทั้งนั้น เรากำลังจะแย่...” ประธานใหญ่เจ้าของบริษัทผู้ถือหุ้นสูงสุดค้ำมือลงกับโต๊ะก้มหลับตาคล้ายต้องการเสี้ยววินาทีในการตั้งสติในขณะออกคำสั่ง บ่งบอกให้รู้ว่าทุกอย่างในตอนนี้อยู่ในช่วงวิกฤตแล้วจริงๆ หุ้นส่วนทุกคนในนี้ล้วนแล้วแต่เป็นญาติพี่น้องกัน และประธานใหญ่ก็คือลูกพี่ลูกน้องของเขาเองที่ได้รับการไว้วางใจให้ครองตำแหน่งต่อจากพ่อของเขา เพราะเมฆีอยากมีเวลาให้ครอบครัวบ้าง จึงไม่ต้องการเข้าไปรับผิดชอบทุกอย่างแบบเต็มตัว และเขาก็ไม่อยากเอาเปรียบใครด้วย จึงขอทำงานในหน้าที่ซึ่งตนเองถนัด            “วางใจเถอะครับพี่...เราต้องผ่านเรื่องนี้ไปได้แน่ ผมจะทำงานอย่างเต็มความสามารถ”            “ขอบใจมากนะเมฆ...แล้วก็ทุกๆ คนด้วย ปลายปีนี้ถ้ายอดกำไรสูงขึ้นกว่าปีที่แล้วผมจ่ายโบนัสไม่อั้น”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD