ตอนที่สาม ทางเลือกของนางฟ้า

2998 Words
พราวตะวันมองหน้าไมเคิลอย่างไม่แน่ใจ เธอไม่รู้ว่าที่เขาพูดคือเรื่องจริงหรือเปล่าที่เขาจะมาแทนที่เจ้านายเก่าของเธอ แต่จากที่ดูเมื่อครู่นี้ ดูเหมือนว่าเขามีอำนาจเหนืออดิศักด์อย่างเห็นได้ชัด เป็นไปได้สูงที่เรื่องเขาพูดมันจะเป็นจริง ดังนั้นพราวตะวันจึงไม่ละโอกาสที่จะได้ขอความช่วยเหลือจากเขาในเรื่องที่เธอกำลังร้อนใจอยู่ หญิงสาวเล่าทวนเรื่องเดิมให้เขาฟังอย่างละเอียดถี่ถ้วนขึ้นโดยที่ไม่ได้มองหน้าเขา เพราะเธอก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมถึงได้ไม่กล้าจดจ้องดวงตาสีเขียวมรกตของเขากลับเลย ทั้งที่เขานั้นจ้องเธอไม่เคยวางตา พอพราวตะวันเล่าจบ เขากลับไม่พูดอะไร ห้องทั้งห้องเต็มไปด้วยความเงียบ เธอเงยหน้ามามองเขานิดหน่อยเพราะไม่มีการตอบโต้อะไรกลับมา เธอคิดว่าเขาไม่ได้ฟังเธอ แต่เงยหน้ามาก็เห็นว่าดวงตาสีมรกตบนใบหน้าที่อ่านไม่ออกนั่นยังจดจ้องเธออยู่เหมือนเดิม แค่สบตาคมเรืองอำนาจของเขาครู่เดียวพราวตะวันก็ก้มหน้าลงอีกครั้ง อย่างรอคอยคำตอบว่าเขาจะเห็นอย่างไรกับยการขอย้ายสาขาของเธอ “เรื่องของเธอ น่าเห็นใจ แต่ ฉันไม่ชอบให้ใครก้มหน้าเวลาที่พูดกับฉัน มันแสดงออกถึงความขี้ขลาด หรือว่าเธอเป็นอย่างนั้น” น้ำเสียงท้าทายอยู่ในทีนั้น ไม่ได้ทำให้พราวตะวันกล้าขึ้นมาเลย “ค่ะ” เธอตอบรับเบาๆ ยอมรับกับตัวเองได้อย่างไม่อายว่าไม่กล้ามองหน้าเขา เธอไม่เคยเป็นมาก่อนอาการแบบนี้ อาการที่เห็นใครสักคนหนึ่งแล้วใจสั่นจนไม่กล้ามองหน้า แต่ว่าเขาเป็นคนแรกที่ทำให้เธอเป็นอย่างนี้ อาจจะเป็นเพราะหน้าตา ท่าทางอันแสนทรงสเน่ห์ และความมีอำนาจที่เรืองรองของเขา ผสานสมกันจนทำให้เธอเกรงกลัวและขัดเขินไม่กล้าสบตาเขาได้ในเวลาเดียวกันกับที่เขาจ้องเธออยู่ “แล้วเป็นพนักงานขายได้อย่างไรกลัวคนได้ขนาดนี้ วันไหนเธออยู่หน้าร้าน ร้านขายเพชรของฉันไม่ยอดตกหรืออย่างไร” เขายังถามเธอไปเรื่อยๆ ไม่ตอบคำถามที่เธออยากรู้ เธอจึงได้แต่ค่อนขอดเขาในใจว่า กับใครเธอก็ไม่เคยกลัวหรือล่าถอยยามเห็นหน้า กับลูกค้าที่ว่าหื่นจ้องจะจับเธอกินเธอก็มองและต่อกรได้ แต่สายตาของเขา มันทำให้เธอหัวใจกระตุกวาบทุกครั้งที่เห็น มันไม่ได้น่ากลัว แต่ก็ไม่กล้ามอง ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน “ฉันว่า เธอไม่ควรจะย้ายกลับเมืองไทยหรือกนะ และถึงควร ที่นี่ก็คงไม่ส่งเธอไป” คำพูดของเขาทำให้คนที่ก้มหน้างุดอยู่เงยหน้ามาจ้องเขาทันตา “หมายความว่า ดิฉันจะขอย้ายสาขากลับเมืองไทยไม่ได้ ถ้าจะกลับก็ต้องลาออกเท่านั้นใช่ไหมคะ” ดวงตาคู่สวยที่น้ำตาแห้งเหือดไปนั้นเริ่มจะมีน้ำตาปริ่มออกมา ดวงตาของเธอดูเหมือนว่าหมดหวังและตัดพ้อเขาอยู่ในที “เราไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้น” เขาเอ่ยออกมาก่อนที่หยาดน้ำตาจะไหลออกจากดวงตาคู่สวยของเธออีก “เธอต้องการเงินไม่ใช่หรือ ที่นี่รายได้มากกว่าที่เมืองไทยหลายเท่ามันน่าจะเป็นประโยชน์กับเธอมากกว่า ถ้าฉันเป็นเธอฉันจะไม่ย้ายสาขา” เขาอ่านป้ายชื่อที่หน้าอกเสื้อเธอแล้วก็พูดต่อ “ลองคิดดีๆ สิพราวตะวัน ฉันไม่ได้ห้ามหรอกนะถ้าเธอจะย้ายกลับ แต่เธอน่าจะรู้ว่าอยู่ที่ไหนจะดีกว่ากัน” คำพูดของเขาก็นับว่าถูก ที่นี่มีสวัสดิการ เงือนเดือน โบนัส และรายได้จากยอดขายมากกว่าเมืองไทยหลายเท่า พราวตะวันทำงานที่นี่รวมๆ แล้วได้เงินเดือนเรือนแสน แต่แน่นอนถ้ากลับเมืองไทย รายได้อาจจะไม่ได้ถึงครึ่งหนึ่งของที่ทำในฮ่องกง และการที่เธอกลับเมืองไทยเงินที่ให้แม่และส่งน้องเรียนหนังสือรวมทั้งเธอใช้เองต้องไม่พอ แล้วคงไม่ต้องพูดถึงการรักษาของแม่ ยิ่งคิดพราวตะวันก็ยิ่งอับจนหนทาง ครอบครัวเธอไม่ได้ร่ำรวยอะไร ญาติพี่น้องที่พอจะหยิบยืมกันได้ก็ไม่มีให้เห็น มารดาใช้เงินเก็บที่มีทั้งหมดส่งเธอและน้องเรียนที่ดีๆ จนเธอเรียนจบ เงินก้อนนั้นก็คงหมดไปและเธอจึงอาสาทำหน้าที่หาเงินเลี้ยงครอบครัวเรื่อยมา ก่อนหน้านี้เธอเลี้ยงครอบครัวให้อยู่กินได้อย่างสบาย แต่ตอนนี้เธอไม่รู้เลยว่าจะจัดการอย่างไร “เธอต้องการความช่วยเหลือจากฉันไหม” จู่ๆ เขาก็เอ่ยถามคนที่ยืนนิ่งงันอยู่ หญิงสาวเงยหน้ามามองเขาอีก ดวงตาที่ขาดกลัวเขาจ้องกลับมาอย่างฉงนฉงาย ไมเคิลหรี่ตามองกลีบปากอิ่มที่เคลือบด้วยลิปสติคสีชมพูอ่อน แล้วเขาก็เกือบหายใจติดขัดขึ้นมาเมื่อคิดได้ว่าเขาอยากจูบกับเธอ ให้ตายเถอะ ริมฝีปากเธอน่าจูบที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมาเลยทีเดียว “คุณ หมายถึงอะไรคะ” พราวตะวันถามอย่างไม่แน่ใจ “เธอต้องการเงิน หรือต้องการกลับไปอยู่กับแม่ที่เมืองไทย” เขาถามตรงๆ “ทะทั้งสองอย่างค่ะ” “ถ้าเลือกได้อย่างเดียวและเป็นสิ่งที่เธอต้องการในตอนนี้ เธอต้องการอะไรมากกว่ากัน” พราวตะวันนิ่วหน้าคิด อะไรที่เธอต้องการงั้นหรือ แน่นอนว่าเธอต้องการกลับไปหาแม่ ไปให้กำลังใจแม่ อยู่ดูแลข้างๆ และพาท่านเข้ารักษาจนหาย แต่ในความเป็นจริงแล้วมันเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นสิ่งที่เธอจะเลือกก็คือเงิน เธอต้องการเงินก้อนใหญ่เพื่อที่จะพาแม่ไปรักษาที่โรงพยาบาล ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้กลับไปดูแลท่านแต่เธอเชื่อว่าน้องสาวและวชิรวิชญ์จะดูแลท่านได้เป็นอย่างดี “ฉันต้องการเงินไปรักษาแม่ค่ะ” รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปากของไมเคิล เขาเดินเข้ามาหาพราวตะวันใกล้ๆ ใกล้จนอีกฝ่ายต้องค่อยๆ ถอยออกมาโดยไม่รู้ตัว “เธอมีแฟนหรือเปล่า” เขาถามเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่คุยกันสักนิด แต่เธอก็บ้าจี้ตอบเขาไป “ไม่ค่ะ ไม่เคยมี” “ดีมาก” ไมเคิลบอกพร้อมกับรอยยิ้ม เธอไม่มีใคร เขาก็ไม่ลังเลที่จะเสนอข้อเสนอของเขา แต่ถึงมีเขาก็คงเสนออยู่ดี “เธอมาอยู่กับฉันในเวลาที่ฉันต้องการโดยไม่มีการแต่งงาน ไม่มีภาระผูกพัน และไม่มีใครรู้ แล้วฉันจะให้เธอทุกอย่างที่เธอต้องการ” พราวตะวันเงยหน้ามามองเขา ดวงตาของเธอเบิกกว้างกับคำพูดที่บอกเป็นนัยนั่น เขาหมายความว่าเขาจะซื้อเธอเหมือนเอ่ยขอซื้อโสเภณีข้างถนนคนหนึ่ง หญิงสาวถอยห่างเขาออกมาก้าวหนึ่ง นี่หรือคนที่จะเข้ามาเป็นเจ้านายคนใหม่ของที่นี่ เธอนึกว่าเขาจะช่วยอะไรเธอได้เขากลับเสนอให้เธอเอาตัวเข้าแลก แต่พราวตะวันไม่โกรธหรอกเธอรู้ว่าพวกคนมีเงินชอบทำอย่างนี้กันทั้งนั้น ซื้อผู้หญิงใช้ เห็นเหมือนเป็นของเล่น เธอเคยโดนเสนอซื้อตัวบ่อยครั้งบ่อยคราเพราะต้องพบปะกับคนพวกนี้อยู่เป็นประจำ “ฉันไม่จนตรอกขนาดนั้น ขอโทษค่ะ” พราวตะวันบอกเขา หญิงสาวจะเดินออกจากห้องไป แต่เขาก็ตามมาคว้าแขนกลมกลึงของเธอเอาไว้ “เรายังพูดกันไม่จบ จะออกไปไหน” พราวตะวันสะบัดแขนเขาออกเหมือนของร้อน เพราะว่าตอนที่จับแขนเธออยู่นั้นนิ้วมือเขาไล้แขนเธอ เธอไม่ได้รังเกียจ แต่รู้สึกว่ามือนั้นร้อนเหมือนไฟที่กำลังจะแผดเผาจนเธอต้องสะบัดหนี เขาคงบ้าไปแล้วแน่ๆ ที่มาขอมีอะไรกับพนักงานตัวเอง คนที่แสนหยิ่งยโสอย่างเขาสนใจเธอได้อย่างไรพราวตะวันก็ไม่เข้าใจ หรือเป็นเพราะว่าเธอทำตัวยากเกินไป เขาจึงรู้สึกท้าทาย “ฉันต้องการเงินสิบล้าน ถ้าเกิดคุณไม่ให้ก็ปล่อยฉันกลับ” เธอบอกท้าเขาออกไป เพราะเชื่อว่าเขาจะต้องไม่ยุ่งกับเธอแน่นอนที่เธอคิดค่าตัวสูงขนาดนั้น “มากกว่านั้นก็ได้ สิบล้านดอลลาร์ฮ่องกง หรือว่าสิบล้านบาทไทยที่เธอต้องการ” เขาถามอย่างไม่ยี่หระ เหมือนว่าเขาไม่เสียดายเงินเลยสักนิด “คะ คุณจะซื้อฉันจริงเหรอคะ” กลายเป็นเธอเองที่เก่งไม่ได้ตลอด ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเจือรอยยิ้มแทนคำตอบ เธอมองใบหน้าของเขาอีกครั้ง หัวสมองของเธอมึนชาราวต้องมนตร์ทำให้เธอคิดได้ว่าคนอย่างเขา ไม่ต้องเสียเงินซื้อผู้หญิงให้ยาก เพราะคงมีหลายคนพร้อมเข้าหาเขาโดยยินยอมพร้อมใจ แต่เขากลับเสนอเงินซื้อเธอ แววตาของเขาไม่ได้น่ากลัวเหมือนพวกอาเสี่ยจอมหื่น ข้อเสนอของเขาถ้าเป็นคนอื่นพูดอาจจะโดนเธอตบจนหน้าหัน แต่เธอเลือกที่จะไม่เดินหนีเขายามที่เขาพูดถ้อยคำที่ดูถูกเหยียดหยามเธอ ตรงข้ามเธอกลับหวั่นไหวเมื่อเห็นรอยยิ้มบาดใจของเขา ความขัดแย้งเหล่านี้ทำให้พราวตะวันใช้สติทบทวนทุกอย่าง เมื่อลืมความถูกต้องอะไรทั้งปวง เสียงหนึ่งในสมองก็แย้งขึ้นมากับความรับผิดชอบชั่วดีของเธอว่าให้รับข้อเสนอของเขาเสีย การที่ตกเป็นของใครสักคนมันคงไม่ทำให้ถึงตาย หนำซ้ำมันอาจจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นเธอจะได้เงินไปรักษาแม่ น้องเธอจะมีอนาคตที่ดี เขาก็ไม่ได้น่าเกลียดน่ากลัวอะไร การที่ตกเป็นของเขาไม่ใช่เรื่องที่ฝืนใจจนต้องเป็นทุกข์แค่ยอมให้เขาเชยชมร่างกายของเธอเท่านั้น ไม่นานเขาก็คงเบื่อเธอ แล้วต่างคนต่างไป เธอก็กลับมาใช้ชีวิตเหมือนเดิม มันไม่ได้ยากอะไรเลย ถ้าเธอมัวแต่เอาศักดิ์ศรีมาค้ำคอคนอื่นก็จะลำบาก เธอควรจะรับข้อเสนอของเขาเสีย ไมเคิลเห็นความสับสนในแววตาของเธอ ดวงตาของหญิงสาวนั้นอ่านยากเป็นที่สุด เขาไม่รู้ว่าข้อเสนอของเขาทำให้เธอพอใจหรือไม่ แต่เขาก็ไม่แคร์เพราะพูดไปแล้ว เขาแคร์เรื่องที่จะทำให้เธอตกลงกับเขามากกว่าเสียอีก “ถ้าฉันทำให้เธอรู้สึกว่าฉันกำลังเจรจาซื้อตัวเธออยู่ฉันก็ขอโทษ ฉันไม่ได้เห็นว่าพนักงานไร้เกียรติขนาดนั้น แต่ที่ฉันพูดหมายความว่า ฉันจะช่วยเธอแต่เธอก็ต้องตอบแทนฉันบ้างเล็กน้อย และระหว่างเราสองคนก็จะไม่มีใครรู้เด็ดขาดว่าเราเป็นอะไรกัน แฟร์ดีไหม” “ทำไมคุณถึงเสนอฉันอย่างนี้เหรอคะ” นั่นน่ะสิ ไมเคิลก็อยากรู้เหมือนกันว่าทำไม ถ้าตอบว่าเพราะเรียวขาสวยของเธอที่เขาต้องตาแต่แรกเห็น ก็คงไม่เข้าท่า บอกว่าหน้าตาของเธอถูกใจ ริมฝีปากน่าจูบก็ไม่เข้าที อาจจะเป็นเพราะเหตุการณ์ทุกอย่างมันออกมาเป็นอย่างนี้ ข้อเสนอของเขาเป็นสิ่งเดียวที่จะเข้าหาเธอได้ไวอย่างที่เขาต้องการ ก็เท่านั้น “ฉันเชื่อว่าเธอจะตกลง” ริมฝีปากรูปกระจับของพราวตะวันไม่ขยับเถียง เท่านั้นไมเคิลก็ยิ้มออก เขารู้ว่าเขาจะได้ครอบครองเธอแน่นอน ร่างบอบบางแสนสวยที่อยู่ตรงหน้าเขานี้กำลังจะตกเป็นของเขาในไม่ช้า เหมือนกับผู้หญิงคนอื่นที่เขาเคยผ่านมา ไม่ว่าใครที่เขาถูกใจ เงินที่เขามีก็ซื้อได้เสมอ 1700 น โตเกียว ณ สำนักงานใหญ่โอมาจิกรุ๊ป ห้องประธานกรรมการบริหารใหญ่ เคน ตำรวจนอกราชการจากฮ่องกงกำลังแจกแจงซองเอกสารสำคัญให้ประธานโอมาจิเสือเฒ่าผู้เป็นตำนานแห่งธุรกิจส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้าในญี่ปุ่นที่รอคอยรายงานจากเขา “นี่คือเอกสารสำคัญของครอบครัวที่หายไปของท่านครับ” มือเหี่ยวๆ ของโอมาจิยกมาจับซองสีน้ำตาลนั้นเปิดออก เมื่อเห็นรูปของคนสามคนที่เขาเฝ้าตามคิดถึงมาทั้งชีวิต น้ำตาก็คลอขึ้นมาที่หน่วยตาของเขา นิ้วมือของเขาไล้ไปรูปของที่มิซาเอะ ภรรยาที่เขารักมากที่สุดในชีวิตอย่างเศร้าสร้อย เด็กน้อยสองคนในอ้อมกอดของมิซาเอะ คือ โยโกะ และมิกิ ลูกสาวที่น่ารักของเขา ในภาพนี้เด็กสองคนโตขึ้นมากแล้ว โตกว่าตอนที่อยู่กับเขาเยอะทีเดียว เหตุการณ์หลายอย่างได้พรากหัวใจสามดวงของเขาไป เขานึกว่าสามคนนี้ได้ตายไปแล้ว เขาจมอยู่กับความเสียใจมาเนิ่นนาน จนสุดท้ายเขาได้รู้ความจริงว่าสามคนนี้ยังมีชีวิตและสิ่งที่เขาให้เคนไปสืบนั้นทำให้หัวใจที่แห้งแล้งของเขาค่อยชุ่มชื้นขึ้นมา เพราะรู้ว่าคนที่คิดว่าจากหายไปแล้วยังคงอยู่ โอมาจิไล่ดูรูปทีละรูปในอัลบั้ม รูปแสดงการเติบโตของลูกสาวของเขาจากเด็กหญิงตัวน้อย จนเริ่มโตเป็นสาว และเป็นสาวเต็มตัวทั้งสองคน เขาแสนเสียดายเหลือเกินที่ไม่ได้อยู่กับลูกในช่วงเวลาเหล่านี้ น้ำตาของเขาไหลรินออกมาอย่างไม่อายหนุ่มรุ่นลูก “ตอนนี้คุณมิซาเอะอยู่เมืองไทย พร้อมกับคุณมิกิที่กำลังเรียนแพทย์อยู่ที่มหาวิทยาลัยในเมืองไทย ส่วนคุณโยโกะมาทำงานที่ร้านเพชร เดอ ลา ครูเซด์ในฮ่องกงครับ” เคนรายงาน ข้อมูลของคนที่โอมาจิตามหานั้นไม่ได้หายากนัก เพราะคนทั้งสามคนไม่ได้ซ่อนตัวหรือเปลี่ยนชื่อใหม่หนีไป ทั้งสามยังอยู่ ยังใช้ชีวิตเหมือนปรกติ เพียงแต่โอมาจิไม่รู้เท่านั้นว่ายังมีสามคนนี้อยู่ในโลกจึงไม่ได้พบเจอกัน แต่ว่าตอนนี้โอมาจิได้ตามหาครอบครัวที่หายไปเจอแล้ว “หากฉันจะกลับไปหาทั้งสามคนนั้นในตอนนี้ คงเป็นเรื่องที่ยากลำบากกับมิซาเอะสำหรับการให้อภัยฉัน ฉันจะขอดูแลพวกเขาอยู่ห่างๆ จนแน่ใจว่าพวกเขาพร้อมที่จะพบฉัน” เคนไม่รู้ว่าทำไมชายแก่ถึงตัดสินใจอย่างนั้น คงจะมีเรื่องราวซับซ้อนมากมายในใจของเขา และเป็นปมที่ทำให้ครอบครัวต้องแยกจากกัน โอมาจิไม่ได้เล่าให้เขาฟัง เพียงแต่ใช้ให้เขาสืบหาคนสามคนนี้เท่านั้น เมื่อโอมาจิพูดว่าจะทำอะไรเขาก็ได้แต่ฟังเฉยๆ เท่านั้น ไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไร “นายดูแลพวกเขาแทนฉันได้ไหม ระหว่างที่ฉันเคลียร์เรื่องราวทั้งหมด” “ว่าไงนะครับโอมาจิ” “ฉันอยากรู้ว่าพวกเขาอยู่อย่างไร ลำบากกันหรือเปล่า นายไปสืบดูได้ไหม” เคนทำสีหน้าลำบากใจ งานของเขาก็มีมากมายกองท่วมหัว เขาเป็นตำรวจที่ดูแลเกี่ยวกับเรื่องยาเสพย์ติดและการปราบปรามพวกมาเฟียที่ฮ่องกง แต่ท่านประธานโอมาจิมักจะเรียกตัวเขามาใช้เฉพาะกิจเสมอๆ หากมิใช่เพราะว่าท่านมีบุญคุณล้นพ้นหัว เขาไม่ทิ้งงานมาวุ่นวายเรื่องอื่นช่วยท่านแน่นอน “ไม่นานหรอกเคน ฉันขอเวลาแค่ให้ฉันจัดการบางอย่างที่ฉันมั่นใจว่าทั้งสามคนนั่นจะปลอดภัยเท่านั้น แล้วฉันจะไม่รบกวนนายอีกถ้าไม่มีเรื่องใหญ่” “เอ่อ ไม่รบกวนหรอกครับ ท่านประธาน ท่านอยากให้ผมช่วยอะไร ผมก็ยินดีเสมอ” เขาบอก น่าตลกเหลือเกินที่เขาทำหน้าที่ปราบปรามมาเฟียที่ฮ่องกง แต่กลับมาทำงานให้อดีตยากุซ่าผู้โด่งดังแห่งญี่ปุ่น โอมาจิคือคนที่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้ตอนที่เขาถูกพ่อแม่เอามาทิ้งที่ญี่ปุ่น ท่านให้ทุนเขาเรียนโดยไม่ได้เรียกร้องอะไรกลับ ไม่บังคับว่าเขาต้องมาอยู่ด้วย หรือมาชดใช้ เคนถูกส่งเสียจนจบ และมีอิสระในชีวิต เพียงเท่านี้ก็ไม่ต้องอธิบายต่อแล้วว่าทำไมเคนถึงรักโอมาจิอย่างถวายหัว เพราะโอมาจิมีบุญคุณไม่ต่างจากพ่อแม่ หรือดีไม่ดีก็มีบุญคุณกว่าพ่อแม่แท้ๆ ที่เพียงแค่ให้กำเนิดเขามาแล้วทอดทิ้งเขาไว้ที่กองขยะอันแสนหาวเหน็บในวันที่เขาอายุยังไม่ถึงห้าขวบดีด้วยซ้ำ “ขอบใจมากเคนที่ทำเพื่อฉัน นายดูคนที่เมืองไทยก่อนนะ ส่วนลูกสาวคนโตของฉันที่อยู่ฮ่องกงฉันอาจจะให้คนอื่นไปดู หรือไม่หลังจากนายกลับจากเมืองไทยฉันจะให้นายตามดูแลอารักขาเธอนะ” ท่านสั่งการให้ดูแลอารักขาครอบครัวที่หายไปอยู่ยกใหญ่ ก่อนที่เคนจะรีบปากแล้วเดินออกมา สุดท้ายโอมาจิสั่งเสียอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าห้ามเคนบอกใครเด็ดขาดเพราะมันเป็นเรื่องใหญ่ ทายาทคนอื่นๆ อาจจะไม่พอใจหากรู้ว่ามีตัวหารมรดกที่ควรจะได้เพิ่มถึงสามคน นั่นคงเป็นเป็นเหตุผลที่โอมาจิไม่ผลีผลามแสดงตัว เคนสรุปเอาในใจ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD