ตอนที่สอง เผชิญหน้ากับซาตาน 1

1516 Words
ไมเคิลขับรถเข้ามาจอดตรงที่จอดรถของผู้บริหาร ร่างสูงใหญ่เกือบร้อยเก้าสิบเซ็นติเมตรยืนพิงรถมองเป้าหมายที่ต้องตาเขาในตอนแรกอย่างรอคอย ดวงตาคมกริบของหนุ่มเลือดผสมหลายเชื้อชาติไม่ว่าจะเป็นไทย ฮ่องกง และฝรั่งเศส กำลังเพ่งมองเป้าหมายที่กำลังเดินเข้ามาใกล้เขาทุกทีราวกับเสือรอตระครุบเหยื่อ ริมฝีปากบางเฉียบของเขาเหยียดยิ้มอย่างพึงพอใจเมื่อเห็นใบหน้าสวยหวานของเธอในระยะไกล เขากำลังคิดว่าทำไมเขาถึงไม่เคยเจอเธอเลยเมื่อมาที่นี่ เพราะเธอเพิ่งเข้ามาเป็นพนักงานใหม่ หรือเป็นเพราะว่าเขาไม่ได้มาตรวจงานที่ เดอ ลาครูเซ่ด์สาขาฮ่องกงบ่อยๆ จึงทำให้เขาพลาดโอกาสไป แต่ การรอคอยของไมเคิลก็ต้องเป็นการรอคอยที่ต้องเก้อไปเพราะพนักงานสาวขาเรียวสวยคนนั้นกลับไม่ได้เดินตรงมา ดูเหมือนว่าจะมีสายเรียกเข้าจากมือถือของเธอ เธอจึงรับหยุดเพื่อรับสาย ไมเคิลถอนหายใจอย่างหงุดหงิด เขาตั้งใจว่าจะเดินเข้าไปในร้านเพชรพร้อมกับเธอแล้วแท้ๆ แต่หงุดหงิดได้เท่านั้น ร่างสูงก็ยักไหล่ แล้วเดินเข้าไปในตัวร้านเพราะเขามีงานด่วนที่จะต้องเจรจากับผู้จัดการสาขา ฝ่ายนั้นรอเขาอยู่นานแล้ว ความสนใจในนารีผู้นี้ของเขาก็หมดไปโดยปริยายเมื่อนึกถึงเรื่องงาน เพราะคนอย่างไมเคิลไม่เคยสนใจผู้หญิงคนไหนได้นานนัก คนที่เขามีความสัมพันธ์ด้วยแต่ละคนยืนยาวได้ไม่ถึงเดือนสักราย บางรายเขาไม่รู้จักชื่อจริงของเจ้าหล่อนด้วยซ้ำ ดังนั้นใบหน้าที่สวยหวานตราตรึงของพราวตะวันจึงเลือนหายไปจากความคิดของไมเคิลเมื่อเขาเดินหันหลังเข้าร้านไป ในขณะที่อีกฝ่ายเดินเข้าร้านไปแล้วนั้นอีกฝ่ายก็ไม่รู้ตัวเลยว่าเกิดอะไรขึ้น พราวตะวันกำลังสนอกสนใจกับการสนทนากับน้องสาวที่เพิ่งจะโทรเข้ามาตอนที่เธอกำลังจะกลับเข้าร้านมากกว่า “มิกิ พูดสิจ๊ะ ร้องไห้ทำไมเป็นอะไรหรือเปล่า” พราวตะวันเอ่ยเตือน พราวแสงศศิหรือมิกิน้องสาวของเธอเอง ไม่รู้ว่าเจ้าตัวมีเรื่องดีใจหรือเสียใจอะไรถึงได้ร้องไห้ขนาดนี้ พราวตะวันแยกอารมณ์แม่น้องสาวเจ้าน้ำตาของตัวเองไม่ออกเลย “พี่โยโกะขา” อีกฝ่ายพูดด้วยน้ำเสียงสะอื้น “ว่าไง คราวนี้เรื่องอะไรอีกหรือว่าน้องแมวที่เลี้ยงไว้ไม่สบายกันจ๊ะ” พราวตะวันพยายามกระเซ้าน้องสาว “เปล่าค่ะ เจ้าเหมียวหง่าวสบายดี แต่ว่า พี่โยโกะทำใจดีๆ ไว้นะคะ มิกิมีเรื่องจะบอก มิกิพาแม่ไปตรวจที่โรงพยาบาล หมอเจอก้อนเนื้อที่หน้าอกของแม่ค่ะ ตอนนั้นมิกิก็ไม่ได้ตกใจอะไรเพราะคิดว่าคงเป็นแค่ก้อนเนื้อธรรมดาผ่าออกก็ไม่เป็นอะไร แต่วันนี้อาจารย์หมอบอกว่าเนื้อมันเป็นเนื้อร้ายค่ะพี่โยโกะ มิกิจะทำยังไงดี แม่มิซาเอะของเราเป็นมะเร็งเต้านมค่ะพี่ มิกิทำอะไรไม่ถูกแล้ว ตอนนี้แม่ยังไม่รู้ แล้วมิกิจะบอกแม่อย่างไงดีคะ” ปฏิกิริยาตอบสนองของพราวตะวันคืออาการตัวชาดิกกับเรื่องที่ได้ยิน เธอแทบไม่รู้สึกด้วยซ้ำว่าน้ำตาที่ไหลออกจากดวงตานั้นมันมากมายจนพร่างพรูออกมา แม่ของเธอเป็นมะเร็ง โรคร้ายที่คร่าชีวิตคนอย่างไม่ปราณีอย่างนั้นหรือ มันไม่จริง พราวตะวันไม่อยากจะเชื่อเลย “มันเป็นเรื่องจริงเหรอมิกิ” “พี่โยโกะ มิกิทำอะไรไม่ถูกแล้ว” เสียงร้องไห้ของพราวแสงศศิพร้อมกับเสียงของผู้ชายที่ปลอบโยนอยู่ข้างๆ พราวตะวันเข้าใจว่านั่นคงจะเป็นเพื่อนของเธอเอง “หมอวิชย์อยู่กับมิกิใช่ไหม ให้พี่คุยกับเขาหน่อย” พราวตะวันบอกน้อง ตอนนี้เธอต้องการคุยกับนายแพทย์วชิรวิชย์ เพื่อนรุ่นเดียวกันกับพราวตะวัน เขาเป็นอาจารย์แพทย์ฝึกหัดในมหาวิทยาลัยที่พราวแสงศศิเรียนอยู่ เนื่องด้วยความสนิทสนมกันมาตั้งแต่เด็กทำให้พราวตะวันนั้นฝากน้องและมารดาให้เพื่อนช่วยดูแลก่อนจะมาทำงานที่เมืองนอก และเพื่อนเธอก็ทำหน้าที่ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องเลย “ฮัลโหล โยโกะเหรอ เรากำลังจะขอสายมาคุยกับโยโกะพอดี โยโกะใจเย็นไว้ก่อนนะ อย่าเพิ่งตกใจฟูมฟายตามมิกิไป เรื่องมันไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น คุณน้ามิซาเอะเป็นมะเร็งระยะเริ่มแรกเท่านั้นร่างกายท่านก็ยังแข็งแรง การรักษาทุกวันนี้ก็ก้าวหน้าไปไกลมาก มีโอกาสหายขาดได้นะ” “จริงเหรอวิชย์ แล้วเราต้องทำอย่างไงต่อ” พราวตะวันถาม เธอทำอะไรไม่ถูก ตอนนี้เธอสับสนไปหมด และเริ่มมองเห็นแล้วว่าการอยู่ไกลครอบครัวนั้นมันไม่ดีเลย เธออยากจะไปอยู่ใกล้แม่และน้องในช่วงเวลาอย่างนี้หากแต่เธอก็มีงาน งานนี้ก็ยังเป็นงานหลักที่เลี้ยงครอบครัวเธอ หากเธอจะเลือกตัดงานแล้วกลับบ้าน ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะนั่นหมายถึงว่าน้องเธอจะไม่ได้เรียนต่อและเงินที่รักษาแม่ก็จะไม่มี ถึงแม้ว่าจะรู้ว่ามีทางรักษามารดาตัวเองได้ หากแต่เธอก็ไม่ได้สบายใจไปเสียหมด เพราะยังมีอีกหลายอย่างที่เธอยังกังวลอยู่ “เดี๋ยวเราจะให้อาจารย์ส่งตัวแม่ของโยโกะเข้ารักษาตัวทันทีเลย โรคมันจะได้ไม่เปลี่ยนระยะไปก่อน” “งั้นเดี๋ยวเราจะกลับคืนนี้ เราจะลองลางานดู เผื่อว่าจะได้กลับไปจัดการอะไรอีก ยังไงก็ฝากวิชย์ช่วยแนะนำเราด้วย” “โยโกะยังไม่ต้องมาวันนี้ก็ได้ อาทิตย์ที่แล้วที่โยโกะมาเห็นบอกว่าวันลางานหมดแล้วไม่ใช่เหรอ แล้วจะเป็นปัญหากับที่ทำงานเปล่าๆ นะ ตอนนี้มิกิก็ดูแม่ได้เราเองก็จะช่วยดูอีกแรง เพราะว่าเราได้หยุดทำวิจัย มีเวลาดูแลคุณน้าเค้าในตอนที่มิกิเรียน แล้วมิกิเลิกก็มาดูคุณน้าต่อ เราว่าโยโกะมาตอนที่เป็นวันหยุดเลยก็ได้ ทำงานไปไม่ต้องห่วงนะ เราจะดูแลทางนี้ให้” วิชิรวิชย์บอก เขาเป็นเพื่อนที่เข้าอกเข้าใจเธอมากที่สุด เธอและเขาไม่มีความลับอะไรต่อกันเขาจึงรู้ว่างานของเธอสำคัญกับครอบครัวแค่ไหน “แต่วิชย์ เรา” “เชื่อเราเถอะ อย่าให้เสียวันทำงานไปสิ โบนัสก็จะไม่ได้เงินที่จะใช้รักษาก็ไม่พอหรอก วันเสาร์อาทิตย์ค่อยมา อีกแค่สี่วันเองนี่” หมอหนุ่มบอก “เอาอย่างนั้นเหรอ งั้นเราฝากทางนั้นด้วยนะ เราจะทำงานก่อนแล้วกลับวันเสาร์ เรารบกวนวิชย์ด้วยนะ” “อืมๆ โยโกะทำงานต่อเถอะ” วิชิรวิชย์บอก พราวตะวันจึงขอคุยกับน้องปลอบใจน้องก่อน แล้วจึงค่อยวางสายอย่างลำบากใจเพราะต้องรีบเข้างานต่อ เธอเสียดายที่ใช้วันลาพักร้อนของปีนี้กลับบ้านไปเมื่อเดือนก่อนหมดแล้ว เธอจึงลาไม่ได้ทั้งที่อยากจะกลับเมืองไทยให้ได้ดั่งใจเดี๋ยวนี้เลย พราวตะวันเครียดและสบสนวุ่นวายในใจไปหมด เธอยังไม่หยุดร้องไห้เพราะยังรับไม่ได้กับเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ คำว่ามะเร็ง มันน่ากลัวเหลือเกิน และยังเรื่องค่ารักษาและทุกอย่างที่จะตามมา เธอกลัวว่าน้องจะลาออกไม่ยอมเรียนเพราะอยากให้แม่ได้มีเงินรักษา จากตอนที่พูดกับน้องเมื่อครู่นี้ มิกิบอกว่าจะทำอย่างนั้นจนเธอกับเพื่อนต้องบอกยุติความคิดไว้แทบไม่ทัน เธอรับปากน้องว่าจะจัดการทุกอย่างให้มันดีขึ้น ไม่ให้น้องเป็นห่วงและตั้งสติดูแลแม่และตั้งใจเรียน ส่วนเธอจะหาเงินไปรักษาแม่ไม่ให้น้องเป็นห่วง พราวตะวันบอกน้องให้สบายใจไปอย่างนั้น แต่เธอเองกลับเดินเข้ามาที่ร้านด้วยน้ำตานองหน้า เธอไม่ได้มองเลยว่าเพื่อนจะสนใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ เพราะน้ำตาพร่ามัวทำให้มองไม่เห็นอะไร เธอไม่อยากอยู่ที่นี่แล้วแต่ที่นี่ก็ทำเงินให้มาก พราวตะวันไม่รู้จะทำอย่างไรดี ชั่วครู่หนึ่งเธอก็นึกถึงพี่อดิศักดิ์ผู้จัดการร้านที่เป็นคนไทยเหมือนเธอที่สนิทสนมและเป็นที่พึ่งแก่กันได้ เธอจะลองคุยกับเขาดูเผื่อว่าจะมีทางออกที่ดีขึ้นให้กับเธอ คิดออกแล้ว พราวตะวันก็เดินมุ่งหน้าไปที่ห้องผู้จัดการทันที
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD