วันรุ่งขึ้นหญิงสาวตัดสินใจตื่นแต่เช้าเพื่อลงมาเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับผู้มีพระคุณที่ให้ที่อยู่อาศัยหลังจากที่จัดการทำความสะอาดบ้านไปก่อนนหน้านั้นแล้ว กลิ่นหอมชวนรับประทานของข้าวต้มกุ้งที่ร่างบางกำลังตักใส่จานลอยไปแตะจมุกของหญิงสูงวัยที่กำลังเดินเข้ามาในครัวพอดิบพอดี
“ทำอะไรกินน่ะ หอมเชียว”สจีเอ่ยถามพร้อมกับชะโงกหน้าดูในถ้วย
“ข้าวต้มกุ้งค่ะ คุณป้าจะทานเลยไหมคะเดี๋ยวมัฑจะยกไปให้ค่ะ”หญิงสาวว่าพลางยกถ้วยขึ้นมาแล้วยิ้มแก้มปริอย่างร่าเริง
“ดีๆยกไปที่โต๊ะอาหารเลย กำลังหิวพอดี”
แล้วข้าวต้มร้อนๆก็ถูกจัดไว้บนโต๊ะอาหารพร้อมรับประทาน ก่อนที่หญิงสาวจะขอตัวผู้เป็นป้าออกไปหางานทำ เธอคิดว่าถ้าเธอมีงานทำมีเงินเก็บสักก้อนเธอจะได้แยกตัวไปเช่าห้องเล็กๆอยู่เพียงลำพังแบบนั้นน่าจะดีที่สุด
“อ้าว มัฑถึงตั้งแต่เมื่อไหร่” ศิยามล ผู้มีศักดิ์เป็นพี่สาวลูกพี่ลูกน้องของเธอเอ่ยทักขึ้นในขณะที่กำลังเดินสวนเข้าไปในบ้าน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเธอเพิ่งจะกลับจากเที่ยวผับอีกตามเคย
นอกจากสจีผู้ก็มีศิยามลนี่แหละที่คอยแต่ใช้เงินที่ผู้เป็นลุงทิ้งไว้เป็นมรดกก่อนตายโดยที่ไม่ได้คิดจะหางานทำ ทำให้เงินที่มีก็ร่อยหรอลงไปทุกทีไม่แปลกเลยที่ของใช้ในบ้านจะหายไปจนดูบางตา อีกทั้งสจียังคอยโทรไปหยิบยืมเงินจากพ่อของเธอออยู่บ่อยครั้งนั่นคงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่สจีจำเป็นต้องรับเลี้ยงดูหลานนอกไส้คนนี้อีกคน
“เพิ่งมาถึงเมื่อคืนนี่เองค่ะ” หญิงสาวตอบพร้อมกับสวมรองเท้าผ้าใบคู่ใจตรงประตูหน้าบ้าน
“แล้วนั่นจะไปไหนล่ะ”
“จะไปหางานทำค่ะ”
“ดีเลย ได้งานทำเมื่อไหร่บอกด้วยนะ ช่วงนี้ฉันกำลังขัดสนอยู่พอดี” ผู้เป็นพี่สาวตาลุกโชนอย่างมีความหวังที่ได้เห็นบ่อเงินบ่อทองแห่งใหม่เกิดขึ้นในบ้าน ซึ่งเธอเองไม่เคยคิดที่จะหางานทำเลยตั้งแต่ผู้เป็นพ่อเสียไปเธอก็ลาออกจากมหาวิทยาลัยออกมาใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยไปวันๆ
“มัฑ ขอตัวไปหางานก่อนนะคะ” หญิงสาวรีบตัดบทก่อนจะสะพายเป้แล้วเดินออกไปทางประตูหน้าบ้าน ไม่อยากจะสนทนากับคนเห็นแก่เงินทั้งสองคน เธอต้องรีบหางานทำให้เร็วที่สุดจะได้มีเงินกลับไปไถ่ที่นาคืน และที่สำคัญคือจะได้ออกจากบ้านหลังนี้เสียที
แสงแดดยามเที่ยงในเมืองกรุงแผดเผาลงมาอย่างไม่ใยดี มัฑนาเดินเข้าออกบริษัทที่เขียนป้ายรับสมัครงานไว้ด้านหน้าและที่ลิสต์ไว้ในหนังสือสมัครงานเป็นสิบบริษัท ก็ยังไม่มีที่ท่าว่าจะมีบริษัทไหนจะรับเธอเข้าทำงาน
หญิงสาวนั่งลงตรงม้านั่งข้างถนนอย่างเหนื่อยล้ารู้สึกแสบท้องขึ้นมาทันที เพราะมัวแต่ยุ่งอยู่กับการหางานทำจึงลืมที่จะหาอะไรลงท้องตั้งแต่เช้า ไหนจะแสงแดดบวกกับอากาศที่ร้อนอบอ้าวมันยิ่งทำให้เธอจะเป็นลมอยู่รอมร่อ
ร่างบางค่อยๆพยุงตัวเองให้ยืนขึ้นอย่างยากลำบาก ยิ่งเธอมัวแต่ชักช้าโอกาสที่จะหางานทำได้ก็ยิ่งไกลลิบลับเข้าไปด้วย นัยต์ตาเกิดพร่ามัวโลกก็ค่อยๆหมุนเร็วขึ้น ทำให้มัฑนาล้มลงนั่งตรงที่เดิมอีกครั้ง
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” เสียงนุ่มทุ้มดังขึ้นก่อนที่เจ้าของเสียงในชุทสูทสีเข้มดูภูมิฐานเข้ามานั่งใกล้ๆพร้อมกับยื่นขวดน้ำในมือให้
“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวรับขวดน้ำมาไว้ในมือก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองร่างสูงที่ยื่นมาให้
“อ้าว น้องมัฑ”ร่างสูงเอ่ยขึ้นอย่างสนิทสนม
“พี่นนท์!”
มัฑนายืนขึ้นเต็มความสูงด้วยความดีใจจนลืมไปว่าร่างกายตัวเองไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่จึงทำให้เกือบเป็นลมล้มพับไปอีกครั้งจนชายหนุ่มรีบประคองไว้ด้วยความรวดเร็ว
“ใจเย็นๆสิเดี๋ยวก็เป็นลมอีกหรอก”
“ก็คนมันดีใจนี่คะ ไม่ได้เจอกันตั้งนานสบายดีมั้ย”
แววตาฉายแววมีความสุขอย่างเห็นได้ชัดเมื่อหญิงสาวได้เจอ ‘ชานนท์’ซึ่งเธอนับถือเป็น รุ่นพี่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย
.”พี่สบายดี แล้วเราล่ะทำไมมาโผล่ที่นี่ไหนว่าจะกลับไปทำงานที่บ้านไงล่ะ”
“ที่บ้านไม่มีงานทำ เลยต้องมาหางานทำที่นี่ค่ะ”หญิงสาวพูดติดตลกทำให้ทั้งสองคนยิ่งคุยกันถูกคอมากยิ่งขึ้นด้วยความสนิทสนม
“แล้วนี่ได้งานทำยังล่ะ”
พูดมาถึงตอนนี้ทำให้หญิงสาวส่ายหน้าไปมาอย่างเหนื่อยล้า สายตาจับจองไปข้างหน้าอย่างเหม่อลอยพร้อมกับเสียงดังโครกครากเป็นสัญญาณบอกว่าเธอต้องหาอะไรลงท้องได้แล้ว
“พี่ว่าเราน่าจะไปหาอะไรกินกันก่อนดีไหม ดูท่าน้องมัฑจะไม่ไหวแล้วนะ”
มัฑนาพยักหน้าเห็นด้วยอย่างไม่ลังเล ดีเหมือนกันจะได้เติมพลังก่อนจะตระเวนหางานทำต่อ
ทั้งสองเลือกที่จะเดินหาร้านอาหารข้างทางเพื่อจะหาอะไรกินแบบง่ายๆเหมือนที่เคยทำตอนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยด้วยกัน
“ได้ข่าวว่าแต่งงานแล้วเหรอคะ ไม่เห็นแนะนำแฟนให้มัฑรู้จักเลย” ร่างบางเอ่ยขึ้นหลังจากที่เลือกร้านอาหารถูกใจได้แล้ว
“เพิ่งแต่งเมื่อปีที่แล้วนี่เอง ตอนนี้พี่กำลังจะมีน้องแล้วล่ะ”
“โห ข่าวดีซะด้วย มัฑดีใจด้วยนะคะ”
รอยยิ้มไร้เดียงสาฉายขึ้นบนใบหน้าอย่างร่าเริงจนชายหนุ่มอดอมยิ้มไม่ได้ ครั้งหนึ่งเขาเองก็เคยตกหลุมรักเจ้าของรอยยิ้มตรงหน้านี้ หากแต่เธอไม่สามารถหยิบยื่นสถานะอื่นให้เขาได้นอกจาก…พี่ชาย เขาจึงจำเป็นต้องยอมรับสถานะนั้นไว้อย่างเลี่ยงไม่ได้
“มัฑยังหางานทำไม่ได้ใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ กรุงเทพนี่หางานทำยากเหมือนกันนะคะ”
“เอางี้ มาช่วยงานพี่เอาไหม พี่จะให้แพรเขาพัก ไม่อยากให้เขาทำงานหนักกำลังท้องกำลังไส้อยู่ด้วย”
“จริงเหรอคะ มัฑจะได้มีงานทำสักที ”รอยยิ้มอย่างมีความหวังถูกฉาบลงบนใบหน้าไร้เดียงสานั่นอีกครั้ง
“จริงสิ พรุ่งนี้ไปหาพี่ตามที่อยู่ในนามบัตรนี้นะ เดี๋ยวจะแนะนำแพรให้รู้จักด้วย”
นามบัตรสีบรอนซ์ เงินถูกร่างสูงหยิบออกมาจากกระเป๋าแบรนด์เนมสุดหรูก่อนจะยื่นให้กับหญิงสาวร่างบางเจ้าของใบหน้าหวานหยดย้อยที่เขามองกี่ครั้งก็ไม่เคยเบื่อตรงหน้า
“ขอบคุณมากนะคะ พี่นนท์”
รอยยิ้มปลื้มปริ่มของหญิงสาวยิ่งทำให้ใจเขาเต้นแรงขึ้นมาอีกครั้ง ไม่ว่าเขาจะพยายามหักห้ามใจอีกสักกี่ครั้งก็ไม่เป็นผล หากใครได้เห็นรอยยิ้มบวกกับนัยน์ตาไร้เดียงสาตรงหน้าจะต้องตกอยู่ในภวังค์เหมือนเขาแน่นอน เพียงแต่ตอนนี้มันสายเกินไปที่เขาจะคิดถึงอีกเพราะเขาเองก็มีเจ้าของแล้วเหมือนกัน
ครื้ด ๆ ๆ
เสียงสมาร์ทโฟนในกระเป๋ากางเกงดังขึ้นทำให้เขาต้องละจากใบหน้าของคนตรงหน้าเหมือนหลุดออกจากภวังค์แสนหวานนั้น
“ครับแพร พี่กำลังจะกลับครับ” ชายหนุ่มกรอกเสียงใส่โทรศัพท์ อย่างสุภาพ ปล่อยให้หญิงสาวตรงหน้าจัดการกับอาหารไปเพียงลำพังก่อนที่จะกดวางสายไปชายหนุ่มจึงหันมาขอตัวกับมัฑนา
“พี่เข้าบริษัทก่อนนะ”ร่างสูงยืนขึ้นพร้อมกับบอกลา
“ค่ะพี่นนท์”รอยยิ้มปลื้มปริ่มยังคงปรากฎบนใบหน้าหญิงสาว
“แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะ”
รถยนต์คันหรูถูกขับออกไปสู่ถนนใหญ่ มัฑนามองตามไปด้วยความดีใจ ไม่น่าเชื่อชายหนุ่มที่เธอนับถือเป็นพี่ชาย คอยช่วยเหลือยามตกทุกข์ได้ยากตอนเรียนมหาวิทยาลัยจะมาเป็นพระเอกขี่ม้าขาวช่วยเธออีกครั้งในตอนนี้