เมียแต่งท่านประธาน Chairman’sWife / พิมรภัค ตอนที่ 1
ก๊อกๆๆๆๆๆ
คนเอาแต่ฟุบหน้าร้องไห้อยู่หลังพวงมาลัยนานแล้ว ต้องหันไปหากระจก ก็เห็นเอียดมายืนเคาะอยู่ เลยรีบลดกระจกลง มือบางรีบดึงทิชชูมาเช็ดน้ำตาออกจากแก้มอย่างรวดเร็ว
“มาถึงแล้วทำไมไม่เข้าบ้านคะคุณหนู คุณท่านรออยู่แน่ะค่ะ”
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะป้า”
เห็นท่าทีของแม่บ้านตื่นเต้น เลยรู้ว่าจะต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นสักอย่างแน่ และอาจจะเป็นเรื่องดี
“ตอนคุณหนูไม่อยู่ มีคนมาหาคุณท่านค่ะ แต่ป้าว่าเข้าไปให้คุณท่านบอกเองดีกว่านะคะ เดี๋ยวป้าจะเอารถไปจ่ายตลาด อยากกินอะไรเป็นพิเศษมั้ยคะ”
“ไม่ค่ะ ป้าทำอะไรมา ย้าก็กินได้หมดค่ะ”
ไรยาส่งกุญแจให้เอียดแล้วเข้าบ้านไป เพราะไม่รู้ว่าที่มีคนมาหานั้นเป็นเรื่องดีหรือร้าย ส่วนเธอคงไม่มีอะไรจะคุยกับพ่อแน่ๆ หรือถ้าคุยก็คงจะเป็นเรื่องโกหกพกลมทั้งเพ
“คุณพ่ออยู่ไหนคะลุงอ่อน”
เวลาเอียดไม่อยู่บ้าน ไรยาก็จะสั่งให้ลุงอ่อนเข้ามาอยู่ใกล้ๆ ตั้งแต่ท่านคิดจะฆ่าตัวตายครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อนแล้ว จะได้คอยดูไว้ หรือคอยช่วยเวลาพ่ออยากได้อะไร
“อ่านหนังสืออยู่ในห้องครับ”
ค่อนข้างแปลกใจ ทำไมพ่อต้องอ่านหนังสือเวลานี้ แต่ก็รีบเดินตรงไปยังห้องพ่อ ซึ่งอยู่ชั้นล่าง ตอนได้บ้านหลังนี้มา ห้องนี้เจ้าของเก่าน่าจะให้แม่บ้าน หรืออาจจะญาติๆ อยู่ เพราะขนาดไม่ใหญ่ แต่เธอจำต้องให้พ่อใช้ แล้วต่อเติมห้องติดกันเพิ่มอีก ให้ป้าเอียดกับลุงอ่อน จะได้อยู่ใกล้ๆ ท่าน ส่วนสามห้องนอนข้างบน ใช้ไปหนึ่ง ที่เหลือเป็นห้องเก็บของหมด เพราะชั้นล่างต้องให้โล่งมากที่สุด พ่อจะได้สะดวกในการใช้วีลแชร์
“กลับมาแล้วเหรอลูก” ปิยะ เจริญรัชตะนั่งพิงหัวเตียง พอเห็นลูกมาก็วางหนังสือในมือ
“ค่ะ คุณพ่อกินของว่างหรือยังคะ”
“เรียบร้อยแล้วจ้ะ เป็นยังไงบ้าง ไปทำอะไรที่บางแสนเหรอลูก”
จริงๆ แล้วอยากถามว่าไปหาใครมากกว่า เพราะรู้อยู่แล้วว่าใครอยู่ที่นั่น ที่ไม่ถาม ก็กลัวจะได้คำตอบที่ทำให้ใจไม่สงบ เพราะตั้งแต่เกิดเรื่องทรงภพก็มาเยี่ยมสองสามครั้ง โอนเงินมาช่วยสามล้านบาท ตอนเขาโทรไปหยิบยืม เพื่อนบอกว่าไม่เป็นไร ให้เอาไว้ใช้มีเมื่อไหร่ค่อยคืน อันที่จริงถ้าเขาเป็นเพื่อน เงินก้อนนี้คงจะให้เลย และอาจจะให้มากกว่าด้วยซ้ำ ในเมื่อก่อนหน้านี้เขาก็เคยช่วยเพื่อนไว้หลายครั้งเช่นกัน
ตั้งแต่ครั้งนั้นก็มีไลน์หากันบ้างนานที ส่วนตอนนี้แทบไม่ได้ติดต่อกันเลย น่าจะสองปีแล้ว พอเอียดบอกว่าลูกจะไปบางแสนเมื่อเช้านี้ เขาก็รู้ทันทีว่าจะไปทำอะไร แล้วหน้าลูกหงอยๆ ตอนเดินเข้ามาในห้อง ก็รู้เลย ว่าผลออกมายังไง ถึงจะผิดหวังกับเรื่องแบบนี้มาหลายต่อหลายครั้ง แต่เอาเข้าจริงๆ เขาก็ไม่ชินสักที และไม่เข้าใจเพื่อนที่มีเงินเหลือด้วย ว่าทำไมไม่ช่วยเขาตอบแทนบ้าง
“คุณพ่อรู้ได้ยังไงคะ หรือว่าป้าเอียดคะ”
“พ่อถามเอียดเองล่ะ ไม่ต้องไปบ่นแกหรอกนะ”
“ค่ะ”
“แล้วไปหาลุงภพทำไมล่ะลูก”
“ลุงภพบอกว่ามีเพื่อนสนใจอยากจะมาซื้อหุ้นเราสองสามคน เลยนัดย้าไปคุยค่ะ” ไรยาทิ้งเรื่องร้ายๆ ที่เพิ่งพบเจอมาออกจากหัว เพื่อให้พ่อสบายใจ
“ไม่มาคุยบ้านเราล่ะลูก”
“ลุงภพมีประชุมยาวเลยค่ะ ย้าก็ต้องไปนั่งรอนานเป็นชั่วโมงๆ กว่าจะได้คุย”
“แล้วก็ไม่ได้ผล”
ปิยะเอ่ยเสียงนุ่ม แววตาที่มองลูกนั้นก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความชื่นชม ลูกเป็นนักสู้เหมือนเขา หรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ เพราะลูกสู้ในสภาพมือเปล่า ไร้อาวุธ ไร้อำนาจต่อรองใดๆ แถมประสบการณ์ด้านนี้ยังน้อยกว่าเขามาก แต่ลูกก็ยืนหยัดมาได้จนวันนี้ ไม่เรียกว่าเก่งก็ไม่รู้จะให้หาคำไหนมาใช้
“ก็ไม่เชิงค่ะ”
“ยังไงเหรอลูก”
“คือเอ่อ...เพื่อนลุงภพขอไปคิดดูก่อนค่ะ แล้วใครมาหาคุณพ่อเหรอคะ”
ไรยากลัวว่าถ้าคุยเรื่องนี้ต่อ จะหลุดจนพ่อจับได้ เลยต้องรีบเปลี่ยนเรื่อง
“เขาชื่อโอภาส เป็นทนายของบริษัทนี้”
ปิยะเอากระดาษเอสี่พับสามทบเสียบในหนังสือส่งให้ ไรยาเอามาอ่านก็เห็นชื่อ
‘Mr. H. Hhemmawattana’ เป็น CEO ของ AH Development Co., Ltd.
พยายามใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง ว่าเคยรู้จักหรือเคยเห็นนามสกุลนี้จากไหน แต่สุดท้ายก็คิดไม่ออก
“เขาเป็นใคร ชื่อเต็มๆ ว่าอะไรคะ นามสกุลก็อ่านยากจัง คนไทยหรือต่างชาติคะ”
“น่าจะต่างชาตินะ คุณโอภาสเรียกว่ามิสเตอร์เอช”
“แล้วเขามาทำไมคะ อย่าบอกนะคะว่าจะมายึดหรือ...”
“ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายขนาดนั้นหรอกลูก” ปิยะรู้ดีว่าลูกกลัวอะไร
“ค่อยยังชั่วหน่อยค่ะ”
“แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องดีนัก” ปิยะเสียงอ่อนลง แววตาก็หม่นหมองอย่างชัดเจน
“ทำไมคะ แล้วตกลงเขามาหาคุณพ่อเรื่องอะไรคะ”
“เขาอยากจะเข้ามาร่วมเป็นผู้ถือหุ้นกับเรา”
“จริงเหรอคะ นี่ถือว่าเรื่องดีแล้วนะคะคุณพ่อ”
“มันก็คงจะดีหรอกนะ ถ้าไม่มีเงื่อนไขอื่นด้วย”
“อะไรคะคุณพ่อ”
“ก็นายคนนี้จะยอมมาเป็นหุ้นส่วนและเอาเงินมาลงกับเรา ก็ต่อเมื่อลูกแต่งงานกับเขา ย้ายไปอยู่บ้านเขาเท่านั้น”
“คุณพ่อไม่ได้ฟังผิดใช่มั้ยคะ”
“ไม่หรอก พ่ออ่านทวนหลายรอบแล้ว ย้าอ่านรายละเอียดก่อนสิ เขาไม่บังคับ ย้าจะตกลงหรือไม่ก็แล้วแต่เลย”
ไรยานั่งลงตรงเก้าอี้ข้างเตียงพ่อ แล้วตั้งอกตั้งใจอ่านเอกสารที่แม็กติดกันสามใบทันที เนื้อหาในเงื่อนไขก็ไม่ได้มีอะไรมากมายนัก นอกจาก
หนึ่ง เธอจะต้องแต่งงานกับเจ้าของบริษัทนี้ เธอเองก็เพิ่งเคยได้ยินชื่อเป็นครั้งแรก ไม่รู้ว่าประกอบธุรกิจอะไร ให้เดาก็น่าจะเป็นพวกอสังหาริมทรัพย์
สอง ปัญหาการเงินที่เธอกำลังเผชิญอยู่ เขาจะจัดการให้ทั้งหมด รวมทั้งบ้านหลังนี้ที่เอาไป Re-Finance เขาก็จะไถ่ให้ ใส่ชื่อพ่อเป็นเจ้าของบ้านตามเดิม และยกให้เป็นค่าสินสอด และข้ออื่นๆ อีกสองสามข้อที่เธอขี้เกียจจำ