เหอเพ่ยเจินที่นั่งฟังหลิวอี้และหลิวอิงบ่นออกมาอย่างไม่พอใจ นางได้แต่นั่งฟังอย่างเงียบๆ เพราะรู้ว่าสาวใช้ทั้ง 2 คนไม่รู้ว่าทั้งหมดนี้คือแผนการของนาง
"ฮูหยินเหตุใดท่านเอาแต่นิ่งเงียบ ตอนนี้ท่านรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมากใช่หรือไม่เจ้าคะ" หลิวอี้เดินเข้าไปกุมมือของผู้เป็นนายพร้อมกับใช้สายตาเห็นใจจ้องมองไปที่นาง
หลิวอิงก็ไม่น้อยหน้าเดินเข้ามาปลอบประโลมผู้เหอเพ่ยเจินอย่างเห็นใจเช่นเดียวกัน "ฮูหยินท่านอย่าเสียใจไปเลยเจ้าค่ะ แค่เพียงอนุภรรยาเป็นธรรมดาที่บุรุษจะต้องรับสตรีเหล่านั้นเข้ามาอยู่แล้ว แต่ท่านเป็นถึงฮูหยินเอก ที่มีตำแหน่งเหนือสตรีพวกนั้น ถึงอย่างไรก็เทียบกันไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ"
"แค่เพียงฮูหยินรองเพียงคนเดียว ท่านแม่ทัพก็ไม่คิดจะหันมาใส่ใจกับฮูหยินของเราอยู่แล้ว นี่ยังจะมีอนุภรรยาเข้ามาอีกถึงสามคน เจ้าคิดว่าชีวิตความเป็นอยู่ต่อจากนี้ของฮูหยินจะดีได้อย่างไร"
"ถ้าเจ้าไม่พูดก็ไม่มีผู้ใดว่าเจ้าเป็นใบ้หรอกนะ" หลิวอิงรีบใช้สายตาตำหนิไปที่หลิวอี้และคล้ายกับว่าหลิวอี้จะพึ่งรู้สึกตัวว่าตนเองกล่าวสิ่งใดไป จึงได้รีบเอามือปิดปากของตนเองอย่างรู้สึกผิด พร้อมกับจ้องมองไปที่ใบหน้าของผู้เป็นนาย
ในที่สุดเหอเพ่ยเจินก็หัวเราะออกมา พร้อมกับแย้มรอยยิ้มไปให้กับสาวใช้ทั้งสองอย่างอ่อนโยน "พวกเจ้าเลิกเถียงกันได้แล้ว ข้าไม่ได้รู้สึกเศร้าหรือเสียใจอันใด แต่กลับรู้สึกมีความสุขเสียด้วยซ้ำ วันนี้ก็ดึกมากแล้วพวกเราเข้านอนกันเถิด ข้ารู้สึกเหนื่อยเต็มที"
"ฮูหยินท่านไม่จำเป็นต้องกล่าวเช่นนั้น ถ้าอยากร่ำไห้ก็ร้องออกมาเถิดเจ้าค่ะ" ดูเหมือนว่าคำกล่าวของเหอเพ่ยเจินจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความคิดของสาวใช้ทั้ง 2 ไปได้เลย เหอเพ่ยเจินจึงได้แต่ส่ายหน้าพร้อมกับเดินเข้าไปยังเรือนนอนของตนเอง
เมื่อได้ทำความสะอาดร่างกายเรียบร้อยแล้ว นางจึงได้ขึ้นไปนอนบนเตียงโดยไร้ซึ่งท่าทีเสียอกเสียใจ แต่เมื่อหันไปเห็นหลิวอี้และหลิวอิงยังไม่กลับไปยังเรือนนอนของตนเอง นางจึงได้แต่เลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ
"เหตุใดยังอยู่ที่นี่อีกพวกเจ้าก็กลับไปเถิด ข้ารู้สึกเหนื่อยเต็มทีแล้ว"
"ฮูหยินแต่พวกข้าไม่อยากให้ท่านอยู่เพียงลำพังในคืนนี้"
"ข้าเหนื่อยแล้วพวกเจ้าไปเถิด อย่าได้ให้ข้าต้องพูดซ้ำอีกเลย" น้ำเสียงของนางดูจะไม่พอใจนัก ในขณะที่เอ่ยออกไปกับสาวใช้ทั้ง 2 เหอเพ่ยเจินไม่สนใจกับท่าทีของพวกนางอีก นางจึงได้แต่หลับตาลงด้วยความเหนื่อยล้า พร้อมกับหลับไปเช่นนั้น
"นี่เจ้าคิดว่าฮูหยินเพียงแค่แสดงออกมาเพื่อปกปิดความเสียใจที่มีกับพวกเราหรือไม่"
"ข้าก็ว่าน่าจะเป็นเช่นนั้น ฮูหยินหลงรักท่านแม่ทัพมากเพียงใด ข้าให้นึกสงสารนางยิ่งนัก จากคุณหนูที่มีความเพียบพร้อมถูกดูแลปรนนิบัติเป็นอย่างดี มาตอนนี้ เจ้าดูว่าชีวิตของนางพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือได้มากเพียงใด"
เหอเพ่ยเจินที่ได้ตื่นมาในตอนเช้าตรู่ นางได้ลุกขึ้นมาล้างหน้าบ้วนปากของตนเอง เมื่อคืนนี้นางได้นอนหลับสนิท จึงให้รู้สึกสดชื่นอยู่ไม่น้อย สิ่งที่สาวใช้ทั้งสองคาดว่าจะได้เห็นใบหน้าที่ดูอิดโรยเหนื่อยล้าของผู้เป็นนายกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
"เหตุใดถึงเอาแต่จ้องหน้าข้าเช่นนั้น"
"ดูฮูหยินจะมีสีหน้าอิ่มเอิบมากกว่าปกตินะเจ้าคะ"
"มิผิด…!!! ค่ำคืนที่ผ่านมา ข้ารู้สึกกระปรี้กระเปร่ายิ่งนัก วันนี้ว่าจะออกไปเดินเล่นนอกจวนเสียหน่อย พวกเจ้าก็เตรียมตัวเอาไว้เสีย"
"ฮูหยินจะไปที่ใดหรือเจ้าคะ"
"เที่ยวชมเมืองหลวงแห่งนี้ ข้าไม่ได้ออกไปเปิดหูเปิดตานานแล้ว"
นางยังไม่เคยเห็นบรรยากาศของเมืองหลวงในยุคนี้เลยต่างหากเล่า และการออกไปครั้งนี้ ก็เพื่อที่จะไปสำรวจความเป็นอยู่ทั้งหมดของคนที่นี่ ว่าใช้ชีวิตกันอย่างไร นางอยากจะไปสำรวจช่องทางการทำเงินของตนเอง ไปด้วยอีกนัยหนึ่งเช่นกัน เพราะหากให้ใช้ สินเดิมที่มีในตอนนี้ เกรงว่าสักวันมันคงจะหมดลง นางไม่ได้ต้องการให้มันเป็นเช่นนั้น สตรีควรยืนด้วยตนเองอย่างแข็งแกร่ง จะมีบุรุษหรือไม่มีอยู่ข้างกายนั้น หาใช่เรื่องสำคัญ นั่นคือความคิดที่หญิงสาวยึดถือมาโดยตลอด
เมื่อเดินทางออกมานอกจวน เหอเพ่ยเจินก็ได้แต่งกายคล้ายกับสตรีที่ออกเรือนแล้ว เพื่อไม่ให้เป็นที่ครหาเมื่อใช้เวลาทั้งวันในการเดินสำรวจร้านค้าจนพอใจแล้ว หญิงสาวจึงได้พบว่าผู้คนที่นี่ยังมีความล้าหลังอยู่ไม่น้อย รสชาติของอาหารก็ถือว่ามิได้เลิศรสมากเท่าใดนัก ซึ่งน่าจะเกิดจากเครื่องปรุงรสที่ยังมีไม่มาก ทั้งเครื่องประดับและเครื่องแต่งกายก็ดูเป็นเพียงให้สวมใส่ได้ แต่ก็ไม่ได้งดงามสำหรับนาง ที่เคยเจอเครื่องประดับมากมายในยุคปัจจุบันมาแล้ว เมื่อนำมาเปรียบเทียบกัน จึงทำให้เกิดความแตกต่างได้ไม่ยากนะ
ผู้คนต่างแบ่งชนชั้นกันอย่างชัดเจน คนที่มีเงินก็ใช้ชีวิตเยี่ยงพระราชา ผู้คนชนชั้นล่างก็ใช้ชีวิตกันอย่างอัตคัด และยังความเชื่อที่สตรีเป็นเพียงช้างเท้าหลัง ที่มีไว้เพื่อประดับบารมีของผู้เป็นสามี นั่นยิ่งทำให้นางรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งเพราะเป็นสตรีที่ถูกปลูกฝังมาถึงความเท่าเทียมกัน
"พวกเราจะแวะพักรับสำรับเที่ยงกันที่เหลาอาหารแห่งนี้ เห็นว่าขึ้นชื่ออันดับหนึ่งของเมืองหลวงใช่หรือไม่"
"ใช่เจ้าค่ะ"
เหอเพ่ยเจินพยักหน้ารับ พร้อมกับเดินเข้าไปยังเหลาอาหารแห่งนั้น แต่แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อมีบุรุษผู้หนึ่งเดินเข้ามาชนนางคล้ายกับไม่ตั้งใจ
"ต้องขออภัยแม่นางด้วย" บุรุษผู้นั้นกล่าวขออภัยนางออกมา
เหอเพ่ยเจินเงยหน้ามองบุรุษผู้นั้น สายตาของนางเต็มไปด้วยความว่างเปล่า บ่งบอกว่าไม่ได้รู้จักเขา
"ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ" พร้อมกับเบี่ยงตัวหลบ เพื่อที่จะเดินผ่านบุรุษผู้นั้นไปอย่างไม่ใส่ใจนัก แต่นางก็ได้หยุดชะงัก เพราะถูกเรียกโดยบุรุษผู้นั้นเอาไว้เสียก่อน
"แม่นางได้โปรดหยุดก่อน"
"มีอะไรหรือเจ้าคะ" เหอเพ่ยเจินเต็มไปด้วยความแปลกใจบนใบหน้า
เป็นหลิวอี้และหลิวอิงที่หันมาสะกิดผู้เป็นนายพร้อมกับบอกถึงชื่อแซ่ของบุรุษผู้นั้นให้นางได้ทราบ "คุณหนูนั่นคือองค์ชายห้าเจิ้งเทียนฉีเจ้าค่ะ"
"ข้ารู้จักเขาด้วยหรือ"
"เจ้าค่ะ เมื่อก่อนองค์ชายห้ามักจะแวะเวียนมาที่จวนท่านอัครเสนาบดีเสมอ ฮูหยินจึงได้พบองค์ชายอยู่บ่อยครั้ง"
เหอเพ่ยเจินพยักหน้ารับ พร้อมกับหันไปถวายบังคมองค์ชายห้าเจิ้งเทียนฉี "ต้องขอประทานอภัยองค์ชายด้วยเพคะ ที่ก่อนหน้านี้ หม่อมฉันเสียมารยาท"
"ไม่ต้องมากพิธีหรอกเปิ่นหวางแค่แปลกใจว่าเหตุใดเจ้าถึงได้แสดงท่าทีราวกับว่าจำเปิ่นหวางไม่ได้" เจิ้งเทียนฉีเอ่ยออกมาพร้อมกับสังเกตท่าทีของนางไปด้วย ก่อนหน้านี้เขาดูไม่ผิดแน่ ว่านางมีท่าทีคล้ายกับจำตนเองไม่ได้จริงๆ เหตุใดถึงได้เป็นเช่นนั้น เขาจึงได้แต่รู้สึกแปลกใจ
"อาจจะเป็นเพราะหม่อมฉันไม่ได้มองให้ละเอียดแต่แรก ต้องขอประทานอภัยองค์ชายอีกครั้ง" เหอเพ่ยเจินยิ้มอย่างเอียงอายไปให้กับอีกฝ่ายทำเอาเจิ้งเทียนฉีถึงกับตาพร่าลาย ถึงแม้นว่าวันนี้นางจะไม่ได้แต่งหน้าจนดูงดงามเช่นในวันที่เขาพบนางในงานเลี้ยงของวังหลวงครั้งนั้น แต่วันนี้นางก็ดูงดงาม ประดุจหญิงสาวแรกแย้มที่ทำให้เขายากจะละสายตาไปจากนางได้เช่นกัน
"ไม่เป็นไร แล้วนี่เจ้ากำลังจะเข้าไปทานอาหารในเหลาอาหารแห่งนี้หรือ"
"เพคะ"
"พอดีเลยเปิ่นหวางก็กำลังจะเข้าไปทานอาหารในเหลาอาหารแห่งนี้เช่นกัน งั้นพวกเราก็มาร่วมรับสำรับด้วยกันสักมื้อดีหรือไม่"
เจิ้งเทียนฉีไม่เปิดโอกาสให้นางได้ตอบปฏิเสธ เขาหันไปกล่าวกับเสี่ยวเอ้อที่อยู่ในร้าน เพื่อที่จะจับจองที่นั่งของตนเอง "เอาห้องส่วนตัวที่ดีที่สุดมาให้กับเปิ่นหวาง"
"เห็นว่าคงจะเป็นเรื่องไม่สมควรนะเพคะ หม่อมฉันคิดว่าพวกเราควรที่จะนั่งในที่โล่งแจ้งจะดีกว่า เพราะสถานะของหม่อมฉันในตอนนี้ ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว" เหอเพ่ยเจินอดที่จะเอ่ยเตือนเจิ้งเทียนฉี เพื่อย้ำเตือนให้เขาทราบถึงสถานะของนางในตอนนี้
"จริงอย่างที่เจ้าว่าเป็นเปิ่นหวางที่ไม่คิดให้รอบคอบ" เขาจึงได้หันไป บอกกับเสี่ยวเอ้อที่ยืนรับคำสั่งอยู่ตรงนั้นใหม่เสีย
"งั้นเอาที่นั่งตรงนะเบียง ชั้น 2 ที่สามารถมองเห็นผู้คนได้อย่างชัดเจน"
"พ่ะย่ะค่ะ" เสี่ยวเอ้อผู้นั้นรับคำสั่งแล้วก็ไปทำตามอย่างไม่รั้งรอ
"พวกเราก็เข้าไปด้านในกันเถิด" มาถึงตรงนี้เหอเพ่ยเจินก็ไม่สามารถกล่าวความใดได้แล้ว นางจึงได้แต่เดินตามเจิ้งเทียนฉีไปอย่างเงียบๆ
เหอเพ่ยเจินไม่เข้าใจเลยว่าบุรุษผู้นี้ต้องการสิ่งใด นางหาใช่สตรี ที่ยังไม่ได้ออกเรือนที่เขาจะสามารถมาเกี้ยวพาตนเองได้ แต่ดูจากสายตา ที่เขาจ้องมองมาที่ตน ก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดี ว่ามีความพึงใจในตัวนางอยู่ไม่น้อย กลับไปคงต้องไปถามความกับสาวใช้ทั้ง 2 คนเสียแล้ว
เจิ้งเทียนฉีสั่งอาหารมา 5-6 อย่าง เขาปฏิบัติกับนางอย่างเป็นกันเอง จนเหอเพ่ยเจินที่นั่งตัวเกร็งในตอนแรก ได้คลายความกังวลลงเล็กน้อย
"เจินเอ๋อร์ นี่เป็นอาหารจานโปรดของเจ้าทานให้เยอะๆ เจ้าดูซูบไปมาก" เจิ้งเทียนฉีคีบเป็ดย่างน้ำผึ้ง และห่านพะโล้ไปใส่ไว้ที่ชามข้าวของนางอย่างดูแลเอาใจใส่ เหอเพ่ยเจินได้แต่มองอาหารเหล่านั้น นี่เขารู้แม้กระทั่งว่านางชอบหรือไม่ชอบสิ่งใดเชียวหรือ…!?
"ขอบพระทัยเพคะ" นางกล่าวออกไปพร้อมกับได้แต่คิดในใจว่าความสัมพันธ์ของบุรุษสูงศักดิ์กับเจ้าของร่างนี้แท้ที่จริงแล้วเป็นเช่นใดกันแน่
ในขณะที่พวกเขากำลังร่วมทานอาหารด้วยกันอยู่นั้น ด้วยความที่ไม่ระวังและใช้ตะเกียบไม่ชำนาญของเหอเพ่ยเจิน จึงทำให้อาหารหล่นใส่แขนเสื้อของนางอย่างไม่ตั้งใจ หญิงสาวจึงได้เช็ดทำความสะอาด และเลิกแขนเสื้อขึ้นดู
เจิ้งเทียนฉีได้แต่ดวงตา เบิกกว้างก่อนที่จะหรี่แคบลงเมื่อพบจุดแต้มพรหมจรรย์ที่ท้องแขนของหญิงสาวยังคงอยู่ ก่อนที่เขาจะตั้งสติได้และถามนางออกไปอย่างห่วงใย
"แต่งงานออกเรือนไปแล้วเหตุใดจึงไม่ระวังตัว ให้ข้าดูหน่อยว่ามันเลอะแขนเจ้าหรือไม่" เจิ้งเทียนฉีดุนางออกไปอย่างไม่จริงจังนักก่อนที่เขาจะฉวยโอกาสดึงแขนของนางมาเช็ดให้อย่างเบามือ เพื่อยืนยันในสิ่งที่ตนเองเห็นว่าไม่ได้ตาฝาดไป
เหอเพ่ยเจินได้แต่มองตามการกระทำของเขาตาปริบๆ ก่อนที่จะตั้งสติได้รีบ ดึงแขนของตนเองกลับมา พร้อมกับกล่าวขอบคุณเขาออกไป "ไม่เป็นไรเพคะ หม่อมฉันเช็ดเองได้"
ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนโต๊ะอาหารนั้น ล้วนตกอยู่ในสายตาของบุรุษอีกโต๊ะหนึ่ง ที่อยู่ตรงข้ามกับเหลาอาหารแห่งนี้เช่นกัน