"เมย์ลูกวันนี้จะกลับบ้านไหม ยายจะได้ทำข้าวเย็นไว้รอ" เสียงแหบแห้งของผู้เป็นยายถามหลานสาวผ่านทางเสียงโทรศัพท์
"ไม่ละค่ะหนูทำโอทีกลับดึกเลย ยายกินเลยไม่ต้องรอเมย์นะคะ"
"ทำโอทีอีกแล้วเหรอลูก ไม่เหนื่อยบ้างเหรอ" เสียงตามสายของยายเต็มไปด้วยความห่วงใย
เมลดาพยายามควบคุมเสียงของตนเองไม่ให้สั่น ในขณะที่ตอบยายจันทร์กลับไป เธอรู้ดีว่ายายเป็นห่วง และซึ้งใจที่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมายายเลี้ยงดูเธอเป็นอย่างดี ถึงแม้ทั้งสองจะมีชีวิตที่ยากจน แต่ก็ไม่เคยที่จะเอารัดเอาเปรียบใคร ยายมักจะสอนเสมอ ว่าให้เธอเข้มแข็งอดทนอย่าได้ท้อกับโชคชะตาของชีวิต สักวันมันจะต้องดีขึ้น
"งั้นยายจะทำกับข้าวไว้เผื่อหนูหิวตอนกลับมาดึกๆ ... เรานี่นะจริงๆ เลย ทำงานจนลืมไปแล้วใช่ไหมว่าวันนี้วันอะไร" เสียงของยายบ่งบอกถึงความอ่อนใจ แต่ก็เต็มไปด้วยความเอ็นดูอย่างเห็นได้ชัด
"วันอะไรเหรอ เมย์ไม่เห็นจะจำได้เลย" หญิงสาวพยายามคิดแล้วคิดอีก จนในที่สุดเมลดาก็ทำตาโตด้วยความตกใจ
"วันเกิดหนู มิน่าเมื่อเช้านี้ยายถึงคะยั้นคะยอให้หนูไปใส่บาตรแต่เช้า เสียดายจัง สุดท้ายก็ตื่นสาย ไม่ได้ใส่บาตรในงานวันเกิดจนได้ เมย์ลืมได้ยังไงเนี่ย" เมลดาบ่นออกมาด้วยความเสียดาย นี่เธออายุ 20 ปีบริบูรณ์แล้วสินะ 20 ปี ที่ชีวิตเต็มไปด้วยความเร่งรีบ แต่ทั้งสองยายหลานก็มีความสุขดี เพราะเธอมียายที่คอยอยู่เคียงข้างมาตลอด เมื่อคิดถึงผู้มีพระคุณคนนี้ขึ้นมา หญิงสาวก็อดที่จะยิ้มอย่างมีความสุขไม่ได้ จึงได้ตอบกลับยายไปด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น
"ยาย เมย์เปลี่ยนใจแล้ว เดี๋ยวเมย์จะรีบทำโอทีแล้วกลับไปกินข้าวกับยาย รักยายนะคะ" พร้อมกับวางสายไป และไม่ลืมบ่นตัวเองออกมา "แย่จังเลยเราเนี่ย วันเกิดทั้งทีแทนที่จะใช้เวลาอยู่กับยาย"
หากให้เลือกระหว่างการออกไปสังสรรค์กับเพื่อนและใช้เวลาอยู่กับยายที่มีพระคุณกับเธอนั้น เมลดาไม่ต้องหยุดคิดสักนิด เธอเลือกอย่างหลังแน่นอน เพราะหากไม่มียาย ก็คงจะไม่มีเธอในวันนี้เช่นกัน
เมื่อคิดได้ดังนั้น หญิงสาวก็รีบทำงานของตนเองให้แล้วเสร็จ เมลดาเป็นนักศึกษาปี 2 ที่ศึกษาอยู่ในคณะนิเทศศาสตร์ หญิงสาวมีอาชีพเสริมเป็นนักเขียนนิยาย และทำทุกอย่างที่สามารถหารายได้มาเลี้ยงตนเอง ถึงแม้นว่าจะมีชีวิตลำบากเช่นนั้น แต่หญิงสาวก็ไม่เคยนึกโทษฟ้าดิน เพราะเธอเป็นคนมองโลกในแง่ดีเสมอมา
ในขณะที่เมลดากำลังจะเดินทางกลับบ้านด้วยใจที่มีความสุข เมื่อรู้ว่าคนที่เธอรักกำลังรออยู่ เธอกำลังจะข้ามทางม้าลาย เพื่อไปยังถนนอีกฟากหนึ่ง ทันใดนั้นรถมอเตอร์ไซค์ที่วิ่งมาด้วยความเร็วสูง ก็ได้ตรงมาที่เธอจนหญิงสาวตกใจกรี๊ดร้องออกมาสุดเสียง ทันใดนั้นทุกอย่างก็ได้ดับวูบไป ภาพสุดท้ายที่เมลดาเห็นคือภาพของยายที่นั่งรอเธออยู่บนโต๊ะกับข้าวด้วยรอยยิ้มที่เป็นสุข
…
"ฮูหยินเป็นอะไรไปเจ้าคะ" หลิวอี้และหลิวอิงรีบตรงเข้าไปคว้าร่างของเหอเพ่ยเจิน ก่อนที่ศีรษะของนางจะกระแทกพื้น
"เร็วเข้าไปตามหมอมา ฮูหยินหมดสติไปแล้ว"
ทันใดนั้นประตูเรือนหลันฮวาที่ถูกปิดสนิทก่อนหน้า ก็ได้ถูกเปิดออกพร้อมกับใบหน้าของเซี่ยซู่เหยียน ที่เต็มไปด้วยความเย็นชา หลิวอี้และหลิวอิงเมื่อเห็นว่าเป็นเขา ก็รีบร้องขอความช่วยเหลือ
"ท่านแม่ทัพเจ้าคะฮูหยินหมดสติไปแล้ว รีบตามหมอมาดูนางด้วยเถิด"
เซี่ยซู่เหยียนเพียงยกยิ้มยางเบา ก่อนที่จะเดินเข้าไปใกล้ร่างที่นอนหมดสติของเหอเพ่ยเจินอย่างช้าๆ เมื่อได้เห็นใบหน้าขาวซีด ที่นอนหายใจรวยรินอยู่ในอ้อมกอดของสาวใช้ ใบหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นความสาแก่ใจ ก่อนที่เขาจะกล่าวออกมาอย่างเลือดเย็น
"ให้นางอยู่อย่างนี้จนกว่าจะฟื้นขึ้นมาเอง หากมันผู้ใดที่กล้าพานางกลับเรือน ข้าจะเอาผิดมันผู้นั้นอย่างถึงที่สุด" เอ่ยจบเขาก็เดินกลับไปโอบกอดร่างของหลี่จื่อเหยา ที่เดินตามมาทีหลัง ให้เข้าไปในเรือนพร้อมกัน
"ท่านพี่ทำแบบนี้จะดีหรือเจ้าคะ ถึงอย่างไรนางก็เป็นถึงบุตรีคนโปรดของอัครเสนาบดีเหอ และยังเป็นถึง น้องสาวแท้ๆ ของพระสนมกุ้ยเฟยซึ่งเป็นที่โปรดปรานเป็นอย่างมากของฮ่องเต้ในตอนนี้ หากเรื่องนี้รู้ไปถึงหูพวกเขาเข้า อาจจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้"
น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความกังวล แต่เซี่ยซู่เหยียนทำเพียงแสยะยิ้ม ก่อนที่จะกระซิบที่ข้างใบหูของนาง
"หน้าที่ของเจ้ามีเพียงจะปรนนิบัติข้าเช่นไรให้ข้าพอใจ เรื่องอื่นเจ้าไม่จำเป็นต้องนึกถึง"
"ท่านพี่" ใบหน้าของนางแดงก่ำด้วยความเขินอายเมื่อเห็นสายตาอันเร่าร้อนของผู้เป็นสามี
หลิวอี้และหลิวอิงได้แต่ รู้สึกไม่อยากจะเชื่อหูตนเองด้วยไม่คาดคิดว่าท่านแม่ทัพจะมีใจคอโหดร้ายได้ถึงเพียงนี้ แม้นแต่สตรีแบบบางที่นอนหมดสติเช่นนายหญิงของนาง เขาก็ยังไม่คิดจะเห็นใจแม้แต่เพียงน้อยนิดสาวใช้ทั้งสองได้แต่ทอดมองไปที่แผ่นหลังของเซี่ยซู่เหยียน โดยไม่สามารถทำสิ่งใดได้
"ถึงอย่างไรฮูหยินก็เป็นถึงบุตรสาวของอัครเสนาบดี ท่านแม่ทัพทำเช่นนี้ไม่คิดว่ามันจะเกินไปหน่อยหรือ" หลิวอี้ได้แต่กล่าวออกมาอย่างข่มโทสะ
"ก็เห็นๆ กันอยู่ ถ้าเขามีความเกรงใจแม้เพียงน้อยนิดคงไม่คิดทำเช่นนี้ ในเมื่อนั่นคือคำสั่งของท่านแม่ทัพ เจ้ากับข้าคงไม่สามารถทำสิ่งใดได้ เจ้าก็ไปนำน้ำมาเช็ดหน้าเช็ดตาให้กับฮูหยินหน่อยเถิดนี่แดดก็เริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ข้าจะไปนำร่มมาบังแดดให้กับฮูหยิน" หลิวอิงเองก็เอ่ยออกมาอย่างจำใจเช่นกัน
สาวใช้ทั้งสองดูแลปรนนิบัติเหอเพ่ยเจินโดยที่ไม่ได้พานางกลับเรือนตามที่เซี่ยซู่เหยียนได้สั่งเอาไว้
เมื่อเขาเดินออกมาจากเรือนอีกครั้ง ในสภาพที่แต่งกายไม่เรียบร้อยเท่าใดนัก เวลาก็ได้ล่วงมาหลายชั่วยามแล้ว แต่ดูเหมือนว่าเหอเพ่ยเจิน จะยังไม่ฟื้นขึ้นมาเสียที แต่เขาทำเพียงปลายตามองไปที่นางอย่างเย็นชา พร้อมกับสั่งการคนของตนเอง
"ไปนำน้ำเย็นมาทำให้นางฟื้นขึ้นมาเสีย"
ทันใดนั้นองครักษ์ของเขาก็ได้นำน้ำเย็นจัด สาดเข้าไปที่ดวงหน้าของเหอเพ่ยเจิน จนนางเริ่มมีการเคลื่อนไหว
"เจ็บ…"
นั่นคือความรู้สึกแรกที่หญิงสาวสามารถสัมผัสได้ ร่างของเหอเพ่ยเจินสะดุ้งเฮือก นางกระพริบตา 2-3 ครั้ง เพื่อปรับให้ภาพตรงหน้าชัดเจนขึ้น ภาพแรกที่นางเห็นคือใบหน้าหล่อเหลาคมเข้ม คิ้วรูปกระบี่ จมูกโด่งเป็นสันรับกับหน้าผาก ริมฝีปากบางเฉียบไม่บ่งบอกความรู้สึกใดบนใบหน้าของบุรุษผู้นั้น
"หล่อ"
และนั่นคือประโยคแรกที่นางกล่าวออกมา และคล้ายกับว่าผู้ที่ได้ฟังจะเข้าใจมันเสียด้วย แต่ภาษาที่นางกล่าวออกมาเมื่อสักครู่นี้ มันเป็นภาษาไทยหาใช่ภาษาจีน
"หล่อมากค่ะ อย่างกับดารา"
และถึงแม้นว่าประโยคต่อมาของนางจะยังเป็นภาษาไทยอีกเช่นเดิม แต่ผู้ที่ได้ฟังก็เหมือนจะเข้าใจมัน
เซี่ยซู่เหยียนทำเสียงขึ้นจมูก พร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเหยียดหยันเมื่อทอดมองไปที่นาง
"เจ้าหลงใหลในตัวข้ามากไม่ใช่หรือ ต่อจากนี้ก็เตรียมรับความหลงใหลที่เจ้า พยายามยัดเยียดมันให้ข้าจะดีกว่า"
"เอ่อคุณหมายความว่าอย่างไร ใครยัดเยียดอะไรให้คุณ" เมลดายังไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น เธอจึงได้แต่ทำสีหน้างุนงง เมื่อเขากล่าวกับเธอออกมาเช่นนี้
"ไม่ต้องทำสีหน้า ท่าทางไขสือเช่นนั้นหรอก เอาไว้เจ้าก็จะรู้เอง ในเมื่ออยากแต่งเข้ามานัก ข้าก็ให้เจ้าแต่งเข้ามาสมใจ แต่ข้าไม่เคยบอกว่าจะให้ชีวิตต่อจากนี้ของเจ้า มีความสุข อย่างที่เจ้าได้วาดฝันไว้"
เมลดาเริ่มกระพริบตาปริบๆ หญิงสาวเริ่มรู้สึกถึง เค้าลางบางอย่าง จึงได้แต่กวาดตามองไปทั่วบริเวณก็พบเข้ากับสถานที่ ผู้คนที่แต่งกายแปลกประหลาดและยังคำพูดคำจา ที่ฟังดูยากจะเข้าใจเหล่านั้น ก็หวนให้นึกไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้า
วันนี้คือวันเกิดของเธอและเหตุการณ์ล่าสุดคือ เธออยู่บนถนน พร้อมกับมีรถพุ่งมาด้วยความเร็วสูง หลังจากนั้นทุกอย่างก็ได้ดับวูบไป อย่าบอกนะว่า…!? เธอหลุดเข้ามาอยู่ในนิยายย้อนยุค ของจีนโบราณที่หญิงสาวชอบเขียนเป็นประจำ
ไม่สิ…!!! มันจะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อ
อย่างแรกเลยคือเธอไม่สามารถพูดหรือเข้าใจภาษาจีนโบราณนี้ได้แม้แต่น้อย แต่เมื่อสักครู่นี้เธอกลับเข้าใจมันดี 'เขากำลังด่าเธอ'
สอง..หากเธอตายไปแล้วและย้อนเวลากลับมาอาศัยอยู่ในร่างของผู้หญิงสักคนในยุคนี้ อย่างน้อยๆ เธอควรจะได้รับความทรงจำของเจ้าของร่างนั้นมามิใช่หรือ แต่ตอนนี้ในหัวของเธอ 'ว่างเปล่า' ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับคนเหล่านี้เลย
และอย่างสุดท้ายหากข้อสันนิษฐานของเธอเป็นจริง เธอก็ควรที่จะมาอยู่ในร่างของสตรีผู้นี้ ที่บุรุษหน้าตาหล่อเหลาผู้นั้นเกลียดชังเป็นอย่างมากใช่หรือไม่…!? นี่มันไม่ใช่แล้ว เธอก็พอจะรู้ตัวอยู่บ้างว่าตัวเองไม่ใช่ลูกรักของพระเจ้า แต่หากคิดจะมอบชีวิตที่ 2 ให้เธอทั้งที เหตุใดถึงไม่ทำให้เธอกลายเป็นคนที่ถูกรักบ้างเล่า ดูจากสายตาของบุรุษผู้นั้น เมลดาก็รู้แล้วว่าเขาเกลียดชังเธอเข้ากระดูกดำ
"เจ้าฟื้นขึ้นมาก็ดีแล้ว ข้าจะได้ไม่ต้องให้คนไปตามเจ้ามาให้เสียเวลา ต่อจากนี้การดูแลจัดการจวนทุกอย่าง จะเป็นหน้าที่ของเหยาเอ๋อร์ทั้งหมด ถึงแม้นว่าเจ้าจะดำรงตำแหน่งเป็นฮูหยินเอก แต่มันก็แค่เพียงในนาม เพราะเมื่อมาอยู่ในตระกูลเซี่ยแล้ว เจ้าต้องรับคำสั่งและทำหน้าที่ๆ นางมอบหมายให้ โดยไร้ซึ่งข้อโต้แย้งใดเป็นอันขาด"
เซี่ยซู่เหยียนเชยคางกลมมนของนางให้มาสบสายตาคมกริบที่กำลังทอดมองนางอยู่ มือที่เขาใช้จับนางนั้นถือว่าไม่เบาเลย จนนางต้องนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด
เขาได้สังเกตดูท่าทีของหญิงสาวว่าจะมีการตอบโต้เช่นไร แต่เขาก็ได้แต่เลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ เมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางเหมือนกับจะร่ำไห้อยู่รอมร่อ แต่กลับไม่แสดงอาการไม่พอใจใดออกมา เฉกเช่นที่นางเคยทำให้เขาเห็น
หรือนางจะเสียใจจน สติวิปลาส…!?
"ข้าถามว่าเจ้าเข้าใจหรือไม่" เมื่อเห็นว่านางยังคงนิ่งเฉยไม่ตอบตนออกมาเสียที เขาจึงได้แต่ใช้เสียงกดต่ำถามนางออกไปอีกครั้ง
"เจ้าค่ะ" เสียงตอบรับที่คล้ายกับเหม่อลอยของนาง ถึงจะสร้างความแปลกใจให้กับเขาอยู่ไม่น้อย ที่มิได้เห็นนางโวยวายไม่พอใจ แต่ก็ถือว่านั่นเป็นคำตอบที่สร้างความพอใจ ให้กับเขาได้เป็นอย่างมากเช่นกัน
ในจังหวะที่ไม่มีผู้ใดทันได้สังเกตนั้น หลี่จื่อเหยาก็แสดงใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสาแก่ใจ ครั้งหนึ่งสตรีผู้นี้ เคยทำร้ายนางอย่างไร้เหตุผล เพียงเพราะนางมีความสนิทสนมกับเซี่ยซู่เหยียน และความอัปยศในครั้งนั้น ที่นางไม่สามารถทำสิ่งใดได้ เพื่อเป็นการเอาคืน เมื่อมาถึงตอนนี้ ที่เห็นใบหน้า ที่เต็มไปด้วยความจำยอม และไม่สามารถกล่าวสิ่งใดได้ของสตรีเบื้องหน้า นางก็ได้แต่รู้สึกสาแก่ใจยิ่งนัก
'ต่อจากนี้จะเป็นข้าบ้างที่จะเอาคืนเจ้าร้อยเท่าพันเท่า เหอเพ่ยเจิน'