รถกระบะสี่ประตูถูกขับเคลื่อนไปบนถนนมิตรภาพมุ่งหน้าสู่ภาคอีสานด้วยความเร็วไม่เกินหนึ่งร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง ทุก ๆ ปีหลังจบเทศกาลปีใหม่ลลิลจะต้องกลับมาเยี่ยมบ้านเกิดของตัวเอง หรืออย่างน้อยก็ปีละครั้ง เธอจอดรถพักสามสี่ครั้งกว่าจะเดินทางถึงบ้านที่มีระยะทางห่างจากเมืองหลวงมากกว่าห้าร้อยกิโลเมตร
ลลิลเลือกกลับบ้านในช่วงวันปกติเพราะถ้าเป็นช่วงเทศกาลรถจะติดมาก บางครั้งขับรถนานเป็นวันก็ยังไม่ถึงบ้านเหยียบเบรกเหยียบคลัทช์จนขาแข็งไปหมด และก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงชอบรถเกียร์กระปุกทั้งที่เป็นคนตัวเล็กและเหมาะกับรถคันเล็กเกียร์ออโต้มากกว่า ด้วยความที่เธอต้องเดินทางเพียงลำพังทุกครั้งตั้งแต่เข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ และเลือกที่จะทำงานต่อที่นั่นเธอก็เดินทางคนเดียวมาตลอด ถึงการเป็นโสดจะทำให้ลลิลมีความสุขดี แต่บางครั้งก็อดน้อยใจในโชคชะตาไม่ได้ว่าทำไมเธอถึงไม่มีแฟนสักทีทั้งที่หน้าตาก็ไม่ได้ขี้เหร่อะไร
หลายครั้งได้แต่ภาวนาในใจว่าหากชาตินี้เธอมีคู่ก็ขอให้ได้คู่ที่มีศีลเสมอกัน ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใจดีก็ขอคนรวย ๆ หน่อยเถอะ เธอจะได้ไม่ต้องทำงานหนักเหมือนถวายชีวิตให้กับบริษัทเอกชนเหมือนทุกวันนี้ ความหล่อก็ขอคนที่รูปร่างสูงใหญ่เหมือนฮยอนบิน ดวงตาและคิ้วเข้มเหมือนหวังอี้ป๋อ จมูกและปากเหมือนลีมินโฮ ผิวสวยเหมือนยองแจ แค่นี้เธอก็พอใจแล้ว ไม่รู้ว่าเทวดาและนางฟ้าจะได้ยินคำขอของเธอบ้างหรือไม่ อีกไม่กี่วันเธอก็จะอายุครบสามสิบปีแล้ว ยิ่งอายุมากขึ้นเธอก็จะหาแฟนยากมากขึ้นเท่านั้น หรือเป็นเพราะเธอเลือกมากเอง
ขับรถไปเปิดเพลงคลอไปและคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย
เกือบหกโมงเย็นรถกระบะสี่ประตูคันสีขาวเลี้ยวเข้ามาจอดหน้าบ้านชั้นเดียวหลังใหญ่ทรงโมเดิร์น ภายนอกถูกฉาบด้วยสีเงินและสีเทาไว้อย่างเรียบง่าย มองแล้วรู้สึกเย็นสบายตา ลลิลรู้สึกอบอุ่นทุกครั้งที่ได้กลับมาเยี่ยมบ้าน คิดไว้ในใจว่าอีกสิบปีถ้าเธอเก็บเงินได้สักก้อนแล้วจะกลับมาทำเกษตรที่บ้านกับน้องชายและน้องสะใภ้ แต่เธอไม่เคยได้ลงมือทำสักครั้งหรอกนะ แค่คิดว่าอยากทำเท่านั้น
ลลิลปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วหยิบของฝากที่ซื้อมาจากกรุงเทพฯเพื่อนำมาให้หลานทั้งสองที่เกิดจากน้องชายของเธอ
พอเปิดประตูรถก้าวขาออกมาร่างกายก็ปะทะเข้ากับลมหนาว พอถึงฤดูหนาวอีสานมักจะหนาวและอากาศแห้งกว่าภาคอื่น ๆ
“ป้าลิลมาแล้ว” หลานชายคนโตพูดขึ้นด้วยความดีใจเมื่อเห็นหน้าผู้เป็นป้า
“คุณพ่อคุณแม่สวัสดีค่ะ” ลลิลพนมมือไหว้พ่อกับแม่ที่กำลังนั่งรอเธออยู่กับหลานทั้งสอง
“ป้าลิลมีขนมมาฝากลูกตาลไหมคะ” หลานสาวคนเล็กถามขึ้นดวงตาทอประกายพราวระยับคล้ายกับมีความหวัง
“มีสิจ๊ะ นี่ไง” ลลิลยกขนมในมือขึ้นโชว์หลานทั้งสองแล้ววางไว้บนโต๊ะใต้โทรทัศน์จอแบนขนาดใหญ่ที่แขวนอยู่บนผนังบ้าน
“กินข้าวก่อนค่อยกินขนมนะเด็ก ๆ” เสียงย่าบอกกับหลานทั้งสอง คนโตอายุสิบขวบส่วนคนเล็กอายุแปดขวบ
“ครับ/ค่ะ” ลูกตาลกับนนทพัทธ์รับคำอย่างว่าง่าย เพราะทั้งสองเคยกินขนมแล้วไม่ได้กินข้าวจนทำให้ปวดท้องพวกเขาจึงไม่กล้าที่จะกินมันอีก
“แล้วพลกับหน่อยยังไม่กลับจากนาเหรอคะ” ลลิลถามหาน้องชายและน้องสะใภ้ที่ออกไปนาเพื่อปลูกมันสำปะหลัง
“ใกล้มาถึงแล้วแหละแม่เพิ่งโทร. ไปตามเมื่อกี้”
“งั้นลิลขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะคะ” ลลิลเข้าไปหอมแก้มพ่อกับแม่แล้วก็เดินเข้าห้องตัวเองที่แม่ทำความสะอาดไว้ให้เป็นอย่างดี มุมปากคลี่ยิ้มออกมาด้วยแววตาอ่อนโยน เธอคิดถึงเตียงนอนในห้องนี้เหลือเกิน คิดแล้วก็อยากกลับมาอยู่บ้านในเร็ววัน ทุกวันนี้ทำงานวันหยุดเหมือนไม่ได้หยุด ต้องคอยรับโทรศัพท์ลูกน้องราวกับว่าเป็นเจ้าของบริษัทเสียเอง จะทำอย่างไรได้ถ้ายังทำงานอยู่ตรงนั้นก็ต้องมีความรับผิดชอบ
มื้อค่ำวันนั้นทุกคนในครอบครัวรับประทานอาหารด้วยกันอย่างมีความสุข พรุ่งนี้ลลิลคิดไว้ว่าจะไปเยี่ยมยายที่อาศัยอยู่กับป้าผู้เป็นพี่สาวของแม่
สิบโมงของวันใหม่ลลิลขับรถมาหายายพร้อมกับของฝากที่ซื้อมาจากกรุงเทพฯ ก้าวขาลงจากรถแล้วก็ต้องแปลกใจ เพราะไม่มีใครอยู่บ้านเลยสักคน ก่อนมาเธอไม่ได้โทร.บอกใครเพราะอยากมาเซอร์ไพรส์ ลลิลกวาดสายตามองไปโดยรอบ นึกขึ้นได้ว่าบ้านป้ามีสวนหลังบ้านและยายของเธอชอบไปขลุกอยู่ในสวนเป็นเวลานานลลิลจึงตัดสินใจเดินไปตามยายที่หลังบ้าน
พอก้าวขาออกไปแค่ก้าวแรกตาข้างขวาก็กระตุกแรงสามครั้ง
ลลิลยกมือขวาขึ้นตีตาข้างที่มันกระตุกเบา ๆ สามที
“จะกระตุกอะไรนักหนาเนี่ย” ลลิลบ่นพึมพำเพราะถึงแม้เธอจะใช้มือตีตาข้างขวาแล้วแต่มันก็ยังกระตุกอีกหลายที ตัวเธอเองเป็นคนมีเซ้นส์แรงและเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น ตากระตุกข้างขวาก็เหมือนเป็นลางบอกเหตุไม่ดีบางอย่าง
แต่ก็ช่างเถอะมันคงไม่มีอะไร ลลิลได้แต่ปลอบตัวเองอยู่ในใจ
หลังบ้านเต็มไปด้วยต้นไม้และผักหลายชนิดเพราะยายเป็นคนชอบปลูกทุกสิ่งอย่างที่กินได้ เช่น ขนุน มะม่วงทั้งเปรี้ยวทั้งมัน นอกจากนั้นยังมี ข่า มะรุม ผักหนาม ไผ่ ผักติ้ว และอีกหลายอย่างจนมันดูเกือบจะรก ดีที่ยายยังมีลูกเขยคอยตัดแต่งกิ่งและดายหญ้าให้อยู่เป็นนิจ
ลลิลหยุดเดินแล้วไล่สายตามองไปโดยรอบ
“ยายจันทร์จ๋า” ลลิลตะโกนเรียกยายเสียงดัง ยายอาจจะอยู่ข้างกอไผ่สักกอ เธอร้องเรียกอีกครั้งเมื่อไม่มีใครขานรับ “ยายจ๋า”
ลลิลยืนอยู่เกือบสองนาทีเมื่อไม่มีเสียงตอบรับเธอจึงคิดที่จะกลับไปบ้านก่อนตอนเย็นค่อยมาใหม่ เท้าขวาก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยไม่ทันระวังขาจึงสะดุดเข้ากับบ่อน้ำที่ใช้ท่อปูนเรียงซ้อนกันขึ้นมาสูงแค่หน้าแข้ง รอบ ๆ มีผักหนามขึ้นเต็มขอบบ่อเพราะผักหนามชอบความชื้นยายจึงปลูกไว้ใกล้น้ำ
“ว้าย!” ลลิลกรีดร้องขึ้นสุดเสียงด้วยความตกใจเมื่อร่างเธอหงายท้องล้มทับไม้กระดานอันผุพังที่วางปิดปากบ่อไว้สองแผ่น
ตู้ม!
ร่างของคนตัวเล็กตกลงไปในบ่อน้ำอย่างรวดเร็วทั้งกลัวทั้งตกใจลลิลพยายามตะเกียกตะกายอยู่ครู่ใหญ่ แต่น้ำในบ่อนั้นลึกมากจนทำให้เธอหมดแรงเพราะไม่มีที่ยึดเกาะ ไม้กระดานที่หักลงไปด้วยก็ไม่สามารถรับน้ำหนักของเธอได้ ร่างของเธอค่อย ๆ จมดิ่งลงไป จิตสุดท้ายของเธอภาวนาแค่ว่าขอให้มีคนพบศพเธอโดยเร็ววัน และสิ่งที่เธออ้อนวอนกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เรื่องคู่ครองเธอก็ยังยืนยันคำเดิม
หากชาติหน้ามีจริงขอให้เธอมีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ ขอให้เธอมีโอกาสได้รักกับใครสักคนและเขาก็รักเธอด้วย
ไม่นานจิตของเธอก็สงบลงพร้อมกับร่างที่จมอยู่ก้นบ่อ