พาขวัญรู้มาตลอดว่าลูกสาวเลือกเรียนสาขาวิชาการจัดการโรงแรมเพราะอยากทำงานเอกชน และอยากแต่งตัวสวย ๆ ไม่อยากรับราชการครูเหมือนพ่อกับแม่เพราะได้เงินเดือนน้อย แต่พ่อกับแม่ก็ยังวางแผนเลือกคู่ชีวิตที่รวยกว่าให้เธอแต่เขาตาบอด อีกอย่างเพียงตาไม่อยากลำบากเป็นชาวไร่ชาวสวนเหมือนครอบครัวคู่หมั้น เธอจึงตัดสินใจทำแบบนี้ การเดินทางเข้าไปทำงานในเมืองหลวงคือความใฝ่ฝันของเพียงตามานานแล้ว
“ตายจริง! แล้วอย่างนี้คุณแม่จะทำอย่างไรต่อคะ เวลาก็กระชั้นชิดเข้ามาแล้ว เดี๋ยวจะไม่ทันการณ์เอานะคะ” ช่างแต่งหน้าที่เป็นสาวเทียมพูดขึ้น
“แม่ขอเวลาแป๊บนึงนะคะ แม่ก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน ลินไปตามพ่อมาให้แม่ที” พาขวัญบอกลูกเสียงสั่นเครือ หัวใจยังเต้นกระหน่ำไม่ยอมหยุด
“ค่ะ”
ไม่ถึงห้านาทีนพพลก็เดินเร็วกระหืดกระหอบขึ้นมาบนห้องเพียงตา
“พ่อคะ ยายตาหนีเข้ากรุงเทพฯไปแล้วค่ะ”
“หือ! เป็นไปได้ยังไง” พาขวัญยื่นจดหมายในมือให้สามีดู
“พ่อก็ลองอ่านดูสิคะ แล้วบอกแม่ทีว่าเราควรทำอย่างไรต่อ” นพพลไล่สายตาไปตามตัวอักษรที่ลูกสาวเขียนร่ายไว้บนแผ่นกระดาษ เขาอึ้งอยู่สักพักแล้วกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ ตอนนี้หัวใจเขาเต้นแรงมาก จะยกเลิกงานแต่งตอนนี้ก็ไม่ทัน อีกไม่ถึงสองชั่วโมงแขกก็จะมาร่วมงานแล้ว เพราะช่วงนี้บางครอบครัวยังเกี่ยวข้าวไม่เสร็จมากินดองตอนเช้าตรู่แล้วก็ห่อกลับบ้านไม่ได้นั่งรับประทานอาหารที่บ้านงาน อีกทั้งฝ่ายเจ้าบ่าวก็คงเตรียมทุกอย่างไว้หมดแล้วเช่นกัน
ทุกคนที่อยู่ในห้องนั้นต่างลุ้นกับคำตอบของนพพล
หลายนาทีกว่าเขาจะเปิดปากพูดออกมา
“ตอนนี้มีทางเดียวเท่านั้น” เขาหันไปสบตากับภรรยาแวบหนึ่ง แล้วเบนสายตาไปที่ลูกสาวคนเล็ก
“ลิน!” พ่อกับแม่พูดขึ้นพร้อมกัน ไม่มีอะไรดีเท่ากับการทำตามที่เพียงตาบอกไว้แล้ว
“มะ ไม่นะคะพ่อ” เห็นสายตาของพ่อกับแม่แล้วไพลินก็เสียวสันหลังวาบ ท่านทั้งสองกำลังสื่อออกมาว่าเธอคือ ‘ความหวังของหมู่บ้าน’
“ลินช่วยพ่อสักครั้งเถอะนะลูก ขอให้ผ่านวันนี้ไปก่อน ที่เหลือเราค่อยว่ากัน” นพพลสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะพูดต่อ “ลินว่าดีไหม” หรี่ตามองลูกเพื่อรอคำตอบ
“ช่วยพ่อกับแม่สักครั้งเถอะนะลิน” พาขวัญช่วยกล่อมลูกอีกเสียง เธอไม่รู้จริง ๆ ว่าจะแก้ปัญหาได้อย่างไรถ้าไม่ใช้วิธีนี้ ธนาเป็นคนมีฐานะคนหนึ่ง เป็นเสี่ยไร่อ้อยไร่มันสำปะหลังที่มีคนรู้จักอย่างกว้างขวาง เขาคงไม่ยอมหากต้องล้มเลิกงานแต่งงานในครั้งนี้
“แล้วทางฝั่งโน้นเขาจะยอมเหรอคะ” ไพลินรู้สึกหวั่นใจหากไกรสรรู้เข้าเขาจะมีความคิดเห็นกับเรื่องนี้อย่างไร จริงอยู่เขาตาบอดแต่ก็ควรบอกเรื่องนี้กับเขา
“พ่อจะอธิบายกับเพื่อนพ่อเอง”
“แต่ลินเพิ่งจะยี่สิบสองเองนะคะ” ไพลินมีสีหน้ายุ่งยากใจ อยากจะบ้าตายอายุเพิ่งจะยี่สิบสองจะให้แต่งงานแล้ว อยากแต่งตอนอายุยี่สิบเจ็ดไม่ได้หรือไง
“ยี่สิบสองก็ออกเรือนได้แล้ว วัยกำลังพอดีเลย นะลินนะ ช่วยพ่อกับแม่หน่อยนะลูก แต่งแล้วถ้าลินอยู่กับพ่อไกรไม่ได้ ก็ค่อยกลับมาอยู่บ้านเรา” ผู้เป็นแม่ส่งสายตาอ้อนวอน
เฮ้อ! ไพลินถอนหายใจในใจ แม่ของเธอก็พูดง่ายเกินไป การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่สำหรับผู้หญิง ไม่มีใครอยากแต่งงานหลายครั้งหรอก ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วยนะ อุตส่าห์อธิษฐานไว้ว่าอยากจะได้สามีหล่อรวย ได้อยู่กับคนที่เธอรักและเขาก็รักเธอ ตอนนี้มันคงเป็นได้แค่ความฝัน ไม่คิดเลยว่าจะต้องมาแต่งงานแบบคลุมถุงชน พ่อนะพ่อ ไปสัญญิงสัญญาอะไรแบบนั้น ไม่รู้หรือไงว่ามันทำให้ลูก ๆ ลำบากใจ และมันเป็นการทำร้ายลูกทางอ้อมด้วย
ที่แย่ไปกว่านั้นคือเธอเพิ่งรู้ว่าเจ้าบ่าวตาบอดก็ตอนที่ได้อ่านจดหมายพี่สาวนี่เอง อีกอย่างคนในหมู่บ้านก็พากันนินทาว่าเธอความจำเสื่อม แน่นอนว่าครอบครัวฝ่ายชายก็ต้องรู้เรื่องนี้ แบบนี้จะไม่โดนเจ้าบ่าวฆ่าหั่นศพหรืออย่างไร
ไม่คิดเลยจริง ๆ ว่าจะต้องมาแต่งงานกับคนที่ไม่เคยเจอหน้า ไม่เคยรู้จักนิสัยใจคอกันมาก่อน
ไพลินกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก จากที่อากาศรอบกายหนาวจัด ตอนนี้ร่างกายเธอกลับร้อนผ่าวไรผมเริ่มมีเหงื่อซึม
“แต่งเถอะค่ะน้องลินขา เวลาแต่งหน้าทำผมเราเหลือน้อยเต็มทีแล้วนะคะ” หัวหน้าช่างแต่งหน้าจีบปากจีบคอพูด หลังจากยืนฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นมาสักระยะ ช่างทั้งสองแอบลุ้นด้วยแววตากังวล
ไพลินหันไปสบตาพ่อกับแม่อีกครั้ง ทั้งสองก็พยักหน้าให้อย่างไม่มีทางเลือก เห็นหน้าพ่อกับแม่แล้วต่อมความสงสารก็ทำงานหนักขึ้นมาทันที อย่างไรตอนนี้ท่านทั้งสองก็เป็นพ่อกับแม่เธอแล้ว เช่นนั้นเธอก็ต้องตอบแทนบุญคุณสินะ แต่ไหนแต่ไรลลิลก็เป็นคนทำเพื่อครอบครัวมาโดยตลอด เมื่อมาอยู่ชาตินี้ความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงก็ยังตามมาหลอกหลอนเธอเหมือนเดิม อย่างไรจิตวิญญาณเธอก็เป็นผู้ใหญ่แล้วไม่ใช่เด็กอายุยี่สิบสองเหมือนกับร่างนี้
“ก็ได้ค่ะ” ไพลินตัดสินใจในที่สุด คงไม่มีอะไรเลวร้ายไปมากกว่านี้แล้วกระมัง ตายก็เคยมาแล้วนี่มีอะไรให้กลัวอีก
ได้ยินคำนั้นออกจากปากลูก พ่อกับแม่จึงฉีกยิ้มกว้างออกมาแววตาเป็นประกายเจิดจ้าทันที
ไพลินลอบถอนหายใจเบา ๆ ลองมีสามีสักครั้งจะเป็นไรไป บทจะส่งใครเข้ามาในชีวิตก็ส่งมาเร็วจนตั้งรับไม่ทัน จะส่งคนที่ครบสามสิบสองประการก็ไม่รู้จักส่ง ไพลินบ่นฟ้าบ่นดินไปเรื่อย หวังว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะได้ยินแล้วนำไปปรับปรุง
เอาวะ! ทำบุญมาแค่นี้มีสามีตาบอดก็ต้องยอมจำนน ทุกอย่างคงถูกกำหนดมาแล้วจริง ๆ ก็ดีเหมือนกันมันจะได้ไม่กล้าไปมีเมียน้อย ไพลินคิดถึงข้อดีของการมีสามีตาบอดขึ้นมาได้ก็ทำให้ใจชื้นขึ้นมาหน่อย
“พ่อขอบใจลินมากนะที่ยอมช่วยพ่อกับแม่”
“ค่ะ ลินแค่ไม่อยากให้พ่อกับแม่เสียหน้าน่ะค่ะ” พูดออกไปแบบนั้นแต่แววตายังดูหม่นหมอง
หมดกันหวังอี้ป๋อของฉัน! ไพลินคิดแล้วย่นหน้า แล้วเธอจะได้สามีหน้าตาแบบไหนเนี่ย
“แต่งหน้าเจ้าสาวให้สวย ๆ เลยนะคะ” พาขวัญหันมาบอกช่างแต่งหน้า
“รับประกันความสวยเลยค่ะคุณแม่ขา”
หลังพ่อกับแม่ออกไปแล้วช่างแต่งหน้าก็เริ่มทำงานทันที
ผ่านไปเกือบสองชั่วโมงเจ้าสาวแต่งตัวเสร็จแล้ว เหลือเพียงเพื่อนเจ้าสาวอีกสองคน ซึ่งเป็นญาติ ๆ กันที่อายุยังไม่ถึงสิบห้าปีด้วยซ้ำ
ไพลินเดินไปที่หน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้งแล้วมองดูตัวเองด้วยความพึงพอใจ ชุดไทยสีชมพูกะปิขับผิวขาวเนียนให้ผ่องมากขึ้น ช่างแต่งหน้าทำผมออกมาได้อย่างสวยงามจริง ๆ แต่หน้าอกและสะโพกช่างแต่งหน้ามีฟองน้ำเสริมเน้นอกเอวให้รูปร่างเธอมีความกลมกลึงมากขึ้น เพราะยังไงตอนนี้เธอก็ยังผอมอยู่ดี แต่เรื่องนั้นเธอไม่ห่วงมากนักตราบใดที่ยังกินข้าวอร่อยอยู่เหมือนเช่นทุกวันนี้
“น้องลินแต่งหน้าแล้วสวยขึ้นมากเลยค่ะ” ช่างที่เป็นหญิงแท้พูดขึ้น เธอไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมวันนั้นเพียงตาถึงบอกให้ทางร้านเย็บชุดเจ้าสาวเข้าอีก ทั้งที่ตอนลองสวมวันนั้นมันพอดีอยู่แล้ว
“ขอบคุณค่ะ” ไพลินยิ้มตอบให้กับช่างแต่งหน้าทั้งสอง ในที่สุดเธอก็ได้สวมชุดแต่งงาน ถึงจะไม่รู้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
เฮ้อ! โผล่มาไม่กี่วันก็ดันมีผัวซะแล้ว แถมความตาบอดมาให้เธออีกต่างหาก ไพลินนึกค่อนขอดในใจ สิ่งที่อธิษฐานไว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คงปั้นมาให้ไม่ได้ เพราะเขาน่าจะหล่อเกินไป
ใกล้จะถึงเวลาไหว้ขอขมาพ่อกับแม่ พาขวัญจึงเดินมาตามลูกสาวอีกครั้ง เมื่อเห็นฝีมือการแต่งหน้าเจ้าสาวพาขวัญก็อดปลื้มลูกสาวไม่ได้ สองสัปดาห์ที่ผ่านมาไพลินเริ่มกินข้าวได้มากขึ้น ตอนนี้ร่างกายเธอจึงไม่ได้ผอมมากเท่ากับวันแรกที่เธอฟื้นขึ้นมา เธอจึงสวมชุดเจ้าสาวได้สวยงามกว่าที่คิดไว้
“ลูกสาวแม่สวยจัง” พาขวัญเดินเข้ามาใกล้เพื่อชื่นชมความงามของลูก หากลูกสาวของเธอเจริญอาหารเหมือนตอนนี้อีกไม่นานเธอจะเป็นสาวสวยคนหนึ่งในหมู่บ้านนี้เชียวล่ะ “ลงไปข้างล่างกันเถอะ” ว่าพลางยิ้มให้ลูกเต็มใบหน้า
“ค่ะแม่”