"ผีลมคือผีแค้นที่ไม่ยอมไปเกิดเจ้าค่ะ มันจักลอยไปลอยมา หาร่างสิงสู่"
"ใช่เจ้าค่ะ คงเห็นว่าแม่หญิงเป็นคนต่างถิ่น มันถึงได้มาเอาร่าง ดีนักที่คุณพระอยู่ด้วย" บ่าวอีกคนพูดขึ้น ก่อนจะยิ้มเอียงอายแล้วพูดอีกว่า
"คุณพระอุ้มแม่หญิงด้วยหรือเจ้าคะ"
ปานฤทัยได้ยินอย่างนั้นจึงรีบไขความกระจ่าง "ก็ขาฉันเจ็บ นี่ไงดูสิ"
เธอเลิกขากางเกงขึ้นให้ทั้งคู่ดู แต่ทั้งสองคนส่ายหน้าไปมา แล้วพูดด้วยท่าทางชม้อยชม้ายเอียงอายกว่าเมื่อครู่
"ตามธรรมเนียมต้องให้บ่าวพาขึ้นมาเจ้าค่ะ"
"แต่คุณพระพาขึ้นมาก็ไวดีนะ ฉันเจ็บขาเดินไม่คล่อง ขืนมัวแต่ชักช้าเดี๋ยวผีลมอะไรนั่นก็มาเข้าร่างฉันหรอก"
"มิได้เจ้าค่ะ ตามธรรมเนียมแล้วหญิงชายห้ามแตะเนื้อต้องตัวกัน ต้องเป็นพ่อหรือพี่น้องเท่านั้นจึงทำได้"
"ถ้ามิใช่พ่อ มิใช่พี่น้อง ก็ต้องเป็นผัวเจ้าค่ะ!"
"หา!" ปานฤทัยอึ้งไปทันทีที่ได้ยิน เมื่อครู่ยอมรับว่ามัวแต่ตกใจกับเหตุการณ์ระทึกขวัญ เพราะแค่ได้ยินคำว่าผี เธอก็ขวัญกระเจิงแล้ว อีกทั้งเรื่องชายหญิงแตะเนื้อต้องตัวกันในยุคของเธอถือเป็นเรื่องปกติมาก จึงไม่ทันได้คิดอะไรกับเรื่องเหล่านี้เท่าไรนัก...ก็แค่อุ้มมาส่งที่ห้องเอง
"แหม...เหตุการณ์จำเป็นน่า ไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่ฉันจะลงไปอาบน้ำไม่ได้แล้วใช่ไหม" ปานฤทัยต้องรีบเปลี่ยนเรื่อง มิเช่นนั้นสองบ่าวนี่ก็คงนั่งทำตาวิบวับไม่หยุด
"มิได้เจ้าค่ะ เผื่อมันย้อนกลับมาอีก ถ้าแม่หญิงอยากอาบน้ำ บ่าวจะเอาน้ำขึ้นมาให้เช็ดตัวดีไหมเจ้าคะ"
"ดีสิ ดีมากเลย เออใช่ แล้วทำไมผีลมถึงไม่สิงร่างพวกเธอบ้างล่ะ" เธอชี้ไปที่คนทั้งสอง
"ชาวเชียงสาทุกคนจักมีอาคมคุ้มกายตั้งแต่เกิดเจ้าค่ะ พระท่านจักลงไว้ให้ที่หน้าผากตอนเกิด"
ปานฤทัยพยักหน้าช้า ๆ อย่างเข้าใจ แต่อดแปลกใจไม่ได้เช่นกันเพราะเมื่อครู่เธอไม่ถูกผีลมเข้าสิง รู้แต่ว่าร่างกายถูกปะทะอย่างรุนแรงจนเกือบจะล้มลงเท่านั้น
อาจเป็นเพราะสิงห์คำอยู่ด้วยกระมัง และเขาคงสังเกตเห็นแล้วว่ามี ผีลมมา จึงได้ทำการสกัดเอาไว้ก่อน เธอจึงรอดพ้นจากการถูกสิงร่างมาได้อย่างหวุดหวิด
บ้าชะมัด ที่นี่มีแต่เรื่องแปลกประหลาดเต็มไปหมด เธออยากกลับบ้านใจจะขาดอยู่แล้ว จะทำอย่างไรดี เธอไม่อยากอยู่ที่นี่เลย
สิงห์คำวิ่งตามก๋องมาจนถึงลานโล่งในป่า เห็นก๋องมองไปรอบตัวทั้งยังเงยหน้ามองไปตามยอดไม้ ก่อนก้มหน้าพูดกับผู้เป็นนายเสียงเครียด
"มันหนีไปได้ขอรับคุณพระ กระผมมาทันแค่เห็นมันพุ่งไปทางนั้น จึงลองเป่ามนตร์เรียกหาแต่ไร้วี่แวว"
สิงห์คำพยักหน้าเล็กน้อย ก้มลงหยิบเศษใบไม้แห้งบนพื้นมากำหนึ่ง นำขึ้นมาใกล้ปาก บริกรรมคาถาบทหนึ่งแล้วซัดสาดไปเบื้องหน้า เศษใบไม้ที่ว่าพลันแปรสภาพเป็นดวงไฟเล็ก ๆ พุ่งเข้าไปในป่ารอบทิศที่คนทั้งคู่ยืนอยู่
สิงห์คำยืนหลับตานิ่ง ปล่อยจิตให้วิ่งไปตามดวงไฟเหล่านั้นจนกระทั่งเจอกลุ่มควันสีดำกลุ่มหนึ่งลอยหนีอยู่มิห่าง เขาชักดาบออกมาร่ายมนตร์ใส่ หมายฟันมันให้ดับสิ้น แต่กลับมีแรงกระแทกไร้ที่มาพุ่งเข้าใส่กลางอกจนต้องเซถอยหลังไปหลายก้าว ส่วนผีลมตัวนั้นหนีหายไปเสียแล้ว
เขาลืมตาขึ้นช้า ๆ "ไอ้ผีลมตัวนี้มันมีคนชุบเลี้ยง"
"จริงหรือขอรับ แล้วเหตุใดถึงมาสิงร่างแม่หญิง" ก๋องถามด้วยความสงสัย เพราะหากผีลมมีผู้ชุบเลี้ยงอยู่ มักไม่เข้าสิงร่างผู้คนทั่วไปเพราะต้องอยู่รับใช้ผู้เป็นนาย เว้นเสียแต่ว่าผู้เป็นนายนั้นสั่งให้ทำ
สิงห์คำส่ายหน้าช้า ๆ "ข้าหารู้ไม่"
เขาหันไปพยักหน้าให้บ่าวคนสนิทแล้วเดินกลับเรือน ครุ่นคิดในหัวว่าเหตุใดจึงมีคนคิดร้ายต่อสตรีผู้นั้น ทั้งที่เขาเพิ่งพาหล่อนมาที่เรือนวันนี้วันแรก
แต่แล้วสิงห์คำพลันหยุดเดินเมื่อนึกเรื่องบางเรื่องขึ้นได้...เหตุใดผีลมตัวนั้นถึงทำอันใดแม่ฤทัยมิได้เล่า! หล่อนมิใช่ชาวเชียงสานครมิใช่หรือ
ปานฤทัยเช็ดตัวเสร็จเรียบร้อย บ่าวทั้งสองคนจึงช่วยผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียใหม่ให้เป็นอย่างชาวเชียงสานคร ด้านล่างนุ่งผ้าซิ่น ด้านบนเป็นผ้าแถบพันรอบอกแล้วเหน็บปลายไว้ด้านหนึ่ง ผมที่ผูกเป็นหางม้าเอาไว้ เกล้าเป็นมวยสูงแล้วใช้ผ้ารัดจนแน่น ใบหน้าผัดแป้งจนหอมกรุ่น
"งามนักเจ้าค่ะแม่หญิง" บ่าวคนหนึ่งเอ่ยปากชมด้วยสีหน้าปลาบปลื้ม อีกคนก็รีบพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
"จริงเจ้าค่ะ งามกว่าชุดประหลาดนั่นนัก"
ปานฤทัยมองตัวเองในกระจกก่อนจะหันไปมองคนปากหวานทั้งสองคนแล้วพูดว่า
"จริงหรือ อย่างข้านี่เรียกว่าคนงามใช่ไหม" เธอคิดว่าควรจะปรับเปลี่ยนการเรียกแทนตัวให้เข้ากับสถานที่ จึงแทนตัวเองว่าข้ากับพวกบ่าวไพร่
"จริงเจ้าค่ะ หากมีหนุ่มเรือนอื่นมาเห็นแม่หญิง คงได้ตามมาเกี้ยวถึงเรือนเป็นแน่แท้"
ได้ยินเช่นนั้นปานฤทัยจึงหัวเราะคิกคัก เธอมองตัวเองในกระจกแล้วหันไปทางซ้ายทีขวาทีอีกครั้งก่อนพึมพำเบา ๆ ว่า
"ฉันก็ไม่ได้อยากจะชมตัวเองหรอกนะ แต่เรื่องเกิดมาหน้าตาดีนี่มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริง ๆ ไปเที่ยวไหนทีก็มีหนุ่ม ๆ มาขอเบอร์หรือขอแลกไลน์ตลอดเลย เฮ้อ"
"แม่หญิงว่ากระไรหนาเจ้าคะ"
"เปล่า ไม่มีอะไร ว่าแต่เธอสองคนชื่ออะไรหรือ" หญิงสาวชี้ไปที่บ่าวทั้งสองคน
"บ่าวชื่อแปงเจ้าค่ะ ส่วนนางคนนี้ชื่อมุ้ย"
"แปงกับมุ้ย สองคนที่สลบไปนั่นชื่อฮอมกับผ้าย จริงสิ ป่านนี้จะฟื้นรึยังก็ไม่รู้ แล้วคุณพระจะจับผีได้ไหมเนี่ย" เธออยากรู้เรื่องนี้ที่สุด เพราะหากยังจับไม่ได้ คืนต่อไปเธอก็ต้องระแวงอีกน่ะสิ
คืนต่อไปงั้นหรือ...เธอพูดเหมือนตัวเองจะไม่ได้กลับไปในยุคปัจจุบันอีกแล้ว
"ได้แน่เจ้าค่ะ อาคมของคุณพระแกร่งกล้านัก รูปก็งาม แม่หญิงเรือนอื่นหลงใหลนักเจ้าค่ะ" แปงยกมือขึ้นป้องปากพูดเบา ๆ อีกคนก็พยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นด้วย ทำเอาปานฤทัยอดขำไม่ได้
บ่าวสองคนนี้ท่าทางช่างเมาท์ดีแฮะ
"ถ้าจับได้ข้าก็เบาใจ ข้ากลัวเจอแบบวันนี้อีก แล้วนี่คุณลุงจะรู้รึเปล่าว่ามีผีลมมา" ตอนที่เกิดเรื่อง โหวกเหวกโวยวายกันออกปานนั้น อินตาน่าจะรู้เรื่องแล้วกระมัง
"ท่านพระยานั่งอยู่ที่เติ๋น[1]เจ้าค่ะ" มุ้ยบุ้ยหน้าไปทางโถงกลางเรือน
"เติ๋น? อ๋อ ที่นั่งกินข้าวกันเมื่อตอนเย็นใช่ไหม"
[1] เติ๋นคือ ชานเรือนส่วนใน พื้นยกสูงกว่าชานบ้าน เป็นพื้นที่สารพัดประโยชน์เพื่อให้สมาชิกในครอบครัวมานั่งทำกิจกรรมร่วมกัน