"ใช่ ไม่ต้องตามมาหรอก ถ้าคุณลุงกับคุณพระกลับมาแล้วค่อยไปตามข้าละกัน" ปานฤทัยค่อย ๆ เดินไปทางห้องของตัวเอง เมื่อเข้ามาในห้องจึงปิดประตู เดินไปนั่งบนเตียง หยิบกระเป๋าสะพายของตนที่วางไว้ใต้โต๊ะหัวเตียงแล้วหยิบโทรศัพท์ออกมาเปิดเครื่อง
"บ้าจริง แบตเหลือแค่ห้าสิบเปอร์เซ็นต์เอง"
หญิงสาวนั่งดูภาพที่ตนเคยถ่ายกับมารดา พี่สาว และเพื่อนสนิทอีกหลายคน แต่ละภาพบอกเล่าเรื่องราวในช่วงนั้นได้ทุกอย่างราวกับไม่ได้ลบเลือนไปไหน เหตุการณ์ทุกเหตุการณ์เธอยังคงจดจำได้เป็นอย่างดี
อย่างภาพที่เธอสวมชุดม่อฮ่อมตัวเปียกชุ่มโชกอยู่หน้าคูเมืองในวันสงกรานต์ วันนั้นเป็นวันที่ทั้งเหนื่อยและสนุก เพราะเธอกับพี่สาวไปขายข้าว ไข่เจียวให้กับบรรดานักท่องเที่ยวที่มาเล่นน้ำกัน ได้เงินมาหลายพันบาทเลยทีเดียว
ถ้าเธอยังอยู่ที่นี่ต่อไป ต้องมีสักวันที่แบตโทรศัพท์จะหมดลงแน่ เมื่อถึงเวลานั้น ภาพและคลิปต่าง ๆ ที่เคยบันทึกเอาไว้ก็จะหายไปด้วย เธอคงทำอะไรไม่ได้นอกจากเก็บทุกอย่างเอาไว้ในความทรงจำ
จู่ ๆ น้ำหยดหนึ่งก็ตกลงมาบนโทรศัพท์ จึงทำให้ปานฤทัยเพิ่งรู้ตัวว่าตอนนี้ตนร้องไห้จนน้ำตาอาบแก้มไปแล้ว
ครั้นพอเห็นแบตโทรศัพท์เหลือแค่สี่สิบกว่าเปอร์เซ็นต์ ปานฤทัยจึงต้องปิดเครื่องเอาไว้อีกครั้งเพื่อประหยัดแบตให้มากที่สุด จากนั้นก็นอนเล่นอยู่บนเตียงจนกระทั่งเผลอหลับไป
ปานฤทัยฝันเห็นผู้ชายคนเดิมอีกครั้ง แม้จะไม่เห็นหน้าเขาเพราะมีหมอกบัง แต่เธอมั่นใจว่าเป็นคนเดียวกันกับฝันครั้งที่แล้ว และเช่นเคย เธอไม่มีความรู้สึกเกรงกลัวเขาอย่างที่ควรจะเป็น
เขาเดินเข้ามาใกล้ ยื่นมือมาตรงลำคอของเธอ เธออยากเบี่ยงตัวหลบแต่ทำไม่ได้ รู้สึกว่าร่างกายแข็งทื่อไปหมด จิตใต้สำนึกบอกว่าเขาไม่คิดทำร้าย แต่สัญชาตญาณในการระวังภัยจึงทำให้อดหวาดหวั่นไม่ได้
ผู้ชายคนนี้ไม่ได้บีบคอเธออย่างที่นึกกลัว แต่เขากลับจับตะกรุดที่ห้อยคอเธอดูอยู่ครู่หนึ่งแล้วปล่อยไว้ตามเดิม
"อยู่ที่นี่ไปก่อนหนา สักวันพี่จักมารับเอ็งไปอยู่ด้วย"
"ไปอยู่ที่ไหน อยู่ที่นี่ตลอดไม่ได้หรือ" สำหรับเธอแล้วการอาศัยอยู่ที่นี่ก็ค่อนข้างสุขสบาย คุณลุงก็ใจดี สิงห์คำก็ดูแลเธอได้ในระดับหนึ่ง
"ที่นี่มิใช่เรือนของเอ็ง แต่เอ็งพึ่งพาท่านพระยากับอ้ายสิงห์คำได้ เอ็งจงจำไว้ หากมิมีเรื่องเป็นตาย จงอย่าใช้พลังเป็นอันขาด"
ได้ยินเขาพูดอย่างนั้นเธอก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ เพราะนอกจากมารดากับพี่สาวแล้ว ไม่มีใครรู้เรื่องพลังจิตของเธอเลยสักคน...แต่สิงห์คำนั้นเธอไม่แน่ใจว่าเขารู้ด้วยหรือเปล่า
"คุณรู้ได้ยังไงว่าฉันมีพลังจิต"
เขาไม่ตอบ แต่กลับเดินถอยหลังไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งในที่สุดก็หายลับไปท่ามกลางหมอกที่ลงหนาจัดขึ้นทุกที
ปานฤทัยสะดุ้งตื่น หญิงสาวรีบลุกขึ้นนั่ง มองออกไปนอกหน้าต่างเห็นฟ้ายังสว่างอยู่จึงตวัดขาลงจากเตียงแล้วเดินออกจากห้อง เธอเดินไปที่ฮ้านน้ำ[1]เพื่อหาน้ำดื่มกลั้วคอ จากนั้นเดินกลับมาที่ชานเรือน นั่งเอนกายบนหมอนสามเหลี่ยมเพื่อรอเจ้าของบ้านกลับจากราชการ ขณะนั่งรอก็นึกถึงความฝันเมื่อครู่ไปด้วย
ผู้ชายคนนั้นเป็นใครกัน เขารู้ได้อย่างไรว่าเธอมีพลังจิต หรือเขาจะเป็นคนในจินตนาการที่เธอสร้างขึ้นมาเองเพราะคิดถึงบ้านมากเกินไป
"ไม่ใช่ เราฝันถึงเขาก่อนจะมาที่นี่อีกนี่นา"
แล้วเขาเป็นใครกัน...ถ้าเธอเล่าเรื่องแบบนี้ให้พี่สาวอย่างปานชีวาฟัง อีกฝ่ายจะต้องบอกว่าผู้ชายคนนั้นคือเนื้อคู่ของเธอแน่นอน
เวลานั้นเอง ก๋องเดินขึ้นเรือนมาแล้วนั่งอยู่ตรงด้านล่างของเติ๋น เอ่ยว่า
"แม่หญิงขอรับ คุณพระให้กระผมมาแจ้งว่าเย็นนี้จักมิกลับมากินข้าวที่เรือน ในคุ้มเจ้าหลวงมีเลี้ยงขันโตก น่าจักกลับตอนพลบค่ำ ให้แม่หญิงมิต้องรอขอรับ"
"อ้าว งั้นข้าก็ต้องกินคนเดียวน่ะสิ นึกว่าจะได้กินด้วยกันเสียอีก"
พูดออกไปแล้วก็อดหน้าร้อนผ่าวไม่ได้ เธอพูดราวกับว่าตนกับสิงห์คำเป็นสามีภรรยากันอย่างไรอย่างนั้น หนำซ้ำเจ้าก๋องนี่ก็ดันพูดแต่ชื่อคุณพระคนเดียว ไม่พูดถึงคุณลุงด้วย เวลาฟังแล้วรู้สึกจั๊กจี้หัวใจอย่างบอกไม่ถูก เพราะเหมือนสามีให้คนมาบอกภรรยาว่าไม่ต้องรอกินข้าว
"แม่หญิงจักให้บ่าวยกสำรับมาเลยไหมขอรับ"
"อืม ยกมาเลยเถอะ หิวแล้ว"
ปานฤทัยนั่งกินข้าวเย็นไปเงียบ ๆ คนเดียวโดยมีฮอมกับผ้ายนั่งรอให้เรียกใช้ ใจอยากชวนสองคนนี้มากินด้วยกัน แต่เพราะรู้ว่าที่นี่เคร่งครัดเรื่องนายกับบ่าวมาก จึงไม่อยากหาเรื่องให้ทั้งสองคนต้องถูกทำโทษ
หลังจากกินเสร็จ ปานฤทัยหยิบผ้านุ่งเพื่อไปอาบน้ำ เธอรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวแปลก ๆ ราวกับจะเป็นไข้ ทั้งยังรู้สึกอ่อนเพลียจนไม่มีอารมณ์จะมานั่งเล่นอยู่ที่ชานเรือนเหมือนเมื่อวาน ดังนั้นหลังจากอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อย หญิงสาวจึงเข้าห้องของตัวเองทันที
ขณะกำลังจะเคลิ้มหลับ ปานฤทัยได้ยินเสียงข้างห้องปิดประตู หญิงสาวรีบลุกขึ้นเดินไปทรุดตัวนั่งชิดผนังที่เดิมแล้วเคาะเบา ๆ สามที วันนี้ไม่ต้องรอนานเหมือนเมื่อวาน เพราะแค่เธอเคาะไปสิงห์คำก็รีบตอบกลับมา
"ว่ากระไร"
"คุณพระเพิ่งกลับหรือเจ้าคะ"
"อืม เอ็งยังมินอนดอกรึ"
"ก็กำลังจะหลับเจ้าค่ะ แต่ได้ยินเสียงห้องคุณพระ ก็เลยมาคุยด้วยก่อน"
"ข้าทำเสียงดังให้เอ็งตื่นรึ"
"ไม่ใช่ค่ะ ฉันยังไม่หลับสักหน่อย คุณพระเจ้าคะ วันนี้ที่คุณน้าคนนั้นเขาบอกให้ปลูกเรือนแยกฉันให้ไปอยู่คนเดียวนั่นน่ะ คุณพระจะทำจริงหรือเจ้าคะ"
"ใครบอกเอ็งว่าข้าจักปลูกเรือนแยกให้เอ็งอยู่"
"ก็คุณพระบอกว่าจะจัดการเรื่องนี้เอง" เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนพูดเสียงแผ่วว่า
"ข้ามิได้หมายความถึงเรื่องปลูกเรือนแยก เอ็งมิต้องกังวลไป"
"แล้วไป ฉันนึกว่าคุณพระจะให้ฉันไปอยู่คนเดียวเสียอีก ฉันยิ่งกลัวผีอยู่"
"ข้าบอกแล้วอย่างไรว่าอยู่ที่นี่ มิต้องกลัวผีสางหน้าไหนทั้งนั้น"
เธอเบ้หน้าใส่เขาข้ามผนัง คนมันกลัวนี่นา ต่อให้เขาพูดแบบนี้เธอก็ยังกลัวอยู่ดี
พลันนั้นเธอนึกเรื่องความฝันขึ้นมาได้ ในเมื่อเขาเป็นคนใช้อาคม จึงอยากจะลองถามความเห็นจากเขาดู
"จริงสิคุณพระ เมื่อตอนบ่ายฉันเผลอหลับไปแล้วฝันถึงผู้ชายคนหนึ่งละ เขาแต่งตัวและมีรอยสักเหมือนคุณพระเลย แต่ฉันไม่เห็นหน้าเขาหรอกนะเพราะมันมีหมอกขาว ๆ บังเอาไว้ เขาใส่เสื้อกั๊กสีแดงเหมือนพวกเสื้อลงอาคม เขาบอกด้วยว่าให้ฉันอยู่ที่นี่ไปก่อน แล้ววันหน้าเขาจะพาฉันไปอยู่ด้วย คุณพระคิดว่าเขาเป็นใคร ดูเหมือนเขาจะรู้จักฉันนะ"
"เอ็งว่ากระไรหนา มันจักพาเอ็งไปอยู่ด้วยกระนั้นรึ"
"ใช่เจ้าค่ะ" ปานฤทัยลอบกลอกตา เธอพูดตั้งหลายประโยค แต่สิงห์คำกลับจับใจความได้แค่ประโยคเดียว!
[1] ฮ้านน้ำ หรือร้านน้ำ คือ หิ้งหรือชั้นสำหรับวางหม้อน้ำดื่ม มีที่แขวนกระบวยหิ้งน้ำซึ่งใช้ตักน้ำดื่ม กระบวยมักทำจากกะลามะพร้าว ด้ามจับเป็นไม้สัก