หนึ่งชั่วโมงต่อมา
"ทำไมน้องข้าวถึงไม่เข้าไปสัมภาษณ์งานล่ะ" เสียงพี่ปลาดาวถามขึ้น
หลังจากที่ฉันไปสอบถามเรื่องค่าใช้จ่ายของลุงสงบเรียบร้อยแล้วถึงกับเครียดหนักจนต้องหาเพื่อนระบายซึ่งมีเพียงแค่พี่ปลาดาวที่เป็นรุ่นพี่ในที่ทำงานเท่านั้นที่เราสนิทกันจนแลกเปลี่ยนทุกเรื่องให้กันฟังได้
"พอดีพ่อเลี้ยงข้าวเข้าโรงพยาบาลกะทันหันค่ะ" ฉันตอบทั้ง ๆ ที่สมองข้างหนึ่งกำลังเหม่อลอย
"อ้าว แล้วเป็นอะไรมากไหม" มือน้อย ๆ จับมือฉันไปกุมไว้เป็นการปลอบ
"ก็หนักอยู่เหมือนกัน" หนักทั้งคนเจ็บ และหนักที่ใจของข้าวฟ่างคนนี้
"สงสัยจะอาการหนักจริง ข้าวฟ่างผู้ร่าเริงสดใสถึงได้ดูหดหู่แบบนี้"
มือบางลูบลงบนผมฉันอย่างนุ่มนวล
"พี่ดาวคะ" ฉันมักจะเรียกเธอสั้น ๆ ว่า พี่ดาว
"ว่าไง" พี่ปลาดาวเลิกคิ้วขึ้นเหมือนเตรียมพร้อมรับฟัง
"พี่ดาวว่าคนที่เปิดบ่อนพนันได้นี่เส้นสายต้องใหญ่แค่ไหนคะ"
คนถูกถามทำหน้างง ๆ ว่าทำไมฉันถึงถามเรื่องนี้ออกไป
"ทำไมถึงสนใจเรื่องพวกนี้ล่ะ" ฉันเงียบไปพักหนึ่งก่อนพูดขึ้นอีกครั้ง
"ถ้าเจ้าของบ่อนไม่เกรงกลัวกฎหมายหรือแม้แต่ตำรวจ แสดงว่าพวกเขาต้องมีแบ็กหลังที่ใหญ่กว่านั้นใช่ไหมคะ"
ฉันเก็บรวบรวมสิ่งที่ผู้ชายคนนั้นพูดทิ้งท้ายเอาไว้มาถามผู้ใหญ่คนเดียวที่ฉันสามารถพึ่งพิงได้
"คนที่ทำเรื่องไม่ดี มอมเมาผู้คนแบบนั้นมันไม่สนกฎหมายบ้านเมืองหรอก พวกเราอย่าเข้าไปยุ่งกับสายอาชีพของคนพวกนั้นเลย น่ากลัวจะตาย"
สีหน้าท่าทางของพี่ปลาดาวทำใจฉันสั่นกลัวมากกว่าเก่า
"ข้าวขอถามอีกคำถามนะคะ"
"เป็นไรเราวันนี้ ดูไม่เป็นตัวของตัวเองเลยนะ" พี่ปลาดาวไม่ตอบคำถามฉัน แต่เธอเอาแต่มองหน้าฉันราวกำลังจับผิด
"ข้าวสบายดีค่ะ งั้นขอถามคำถามต่อไปเลยนะคะ" ฉันเว้นช่วงเพื่อเพิ่มความกล้า ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยถามสิ่งที่อยากได้คำตอบจากมุมมองคนอื่นที่สุด
"การที่เรารู้ว่าเรื่องบางเรื่องมันเสี่ยง แต่ยังจะทำเพราะสามารถช่วยเหลือผู้มีพระคุณได้ พี่ว่าคิดแบบนี้ผิดหรือถูกคะ"
"..." พี่ปลาดาวทำหน้าเหมือนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น
"มันก็มองได้สองอย่างนะ ถ้าเรื่องที่เสี่ยงทำเพื่อพ่อแม่ แต่ไม่อันตรายถึงชีวิตหรือไม่ได้ไปฆ่าใครตายพี่ก็ถือว่าเป็นหน้าที่ที่ดีของลูกที่ต้องทำ"
"แต่ถ้าเสี่ยงแล้วตัวเองติดคุกติดตะราง ได้ไม่คุ้มเสีย พี่ไม่แนะนำเพราะเรื่องช่วยเหลือหรือทดแทนบุญคุณคนอื่นพี่มองว่ามันน่าจะมีหลายทางให้เลือก"
"..." คำพูดพี่ปลาดาวน่าคิด
"ขอบคุณนะคะ" ฉันฝืนยิ้มหวานให้เธอ ก่อนจะกลับมานั่งเหม่อลอยอีกครั้ง
"ว่าแต่ ที่ถามนี่หมายถึงตัวข้าวเองกำลังจะไปทำอะไรเสี่ยง ๆ หรือเปล่าเนี่ย"
อา... ปิดพี่เขาไม่ได้จริง ๆ
"เปล่าค่ะ ข้าวยังต้องทำงานในวงการนางแบบต่อ ไม่กล้าเอาตัวเองไปเสี่ยงตายอะไรหรอกค่ะ"
"ดีแล้วมีอะไรให้ช่วยก็บอก ต่อให้เป็นเรื่องหนักหนาสาหัสถ้าช่วยได้พี่ก็จะช่วย"
ได้ฟังแล้วน้ำตาฉันแทบจะไหลออกมา
"ขอบคุณมากนะคะ ข้าวสบายใจขึ้นเยอะเลย" มือสองข้างพนมไหว้คนที่ให้คำปรึกษา หน้าที่ลูกที่ดีสินะ...
บ่นพึมพำในใจก่อนจะล้วงนามบัตรออกมาดูใต้โต๊ะกันอีกคนเห็น
'Anunt Casino' อ่านชื่อตัวอักษรสีทองโดดเด่นบนนามบัตร ท่องจำที่อยู่ให้ขึ้นใจ ก่อนจะคว้ามือถือมากดเบอร์โทรที่ลงไว้ในนามบัตรนั้นแล้วบันทึกไว้
ขอจัดการเรื่องพ่อเลี้ยงฉันให้ออกจากโรงพยาบาลก่อนแล้วกัน จะได้รู้ว่าเหลือเงินในบัญชีกี่บาทเพื่อไปขอต่อรองเขาได้
แต่พูดถึงเรื่องค่าใช้จ่ายที่โรงพยาบาลแล้วก็เครียด เท่าที่ถามมาก่อนหน้า แค่ค่าห้องก็คืนละหลักหมื่นแล้ว แถมพ่อเลี้ยงฉันต้องค้างอย่างน้อยห้าวันเพื่อถอดเฝือกใส่เฝือกอ่อนถึงจะกลับบ้านได้
เงินจ๋า ช่วยงอกออกมาเหมือนปาฏิหาริย์ให้ข้าวฟ่างคนนี้หน่อยได้ไหม
เงินในบัญชีแค่หลักแสนจะพอค่าใช้จ่ายของโรงพยาบาลหรือเปล่าก็ไม่รู้ เฮ้อ!
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา , Anunt Casino
ตอนนี้ฉันยืนอยู่ที่หน้าสถานที่ที่เรียกว่าอโคจรน่าจะไม่ผิด สองมือกำเข้าหากันแน่น สายตาจดจ้องไปยังป้ายชื่อสถานที่ที่เป็นตัวหนังสือแกะจากแผ่นอะคริลิกสีทอง Anunt Casino ถ้าอ่านไม่ผิดน่าจะเป็น 'อนันต์กาสิโน' สถานที่ที่ทำให้พ่อเลี้ยงฉันหอบหนี้ก้อนโตกลับไป
ผลัก!
"โอ๊ย!"
"โทษที ๆ"
มัวแต่ยืนเหม่อมองป้ายชื่อกาสิโนตรงหน้าอย่างเลื่อนลอย จนถูกใครก็ไม่รู้เดินมาชนจนฉันกระเด็นไปสองก้าว พอตั้งสติได้จึงเงยหน้าขึ้นมอง เป็นผู้หญิงหน้าตาน่ารักสูงราว ๆ ร้อยเจ็ดสิบผมสีส้มสว่างมัดรวบตึงเป็นหางม้า สวมเสื้อยืดตัวโคร่งสีขาวมีลายหัวกะโหลกสกรีนอยู่ด้านหน้า
"ไม่เป็นไรค่ะ" เมื่อกี้เธอขอโทษฉันไปแล้วถ้าไม่โต้ตอบกลับคงเสียมารยาทเกินไป "จะเข้าข้างในเหรอ" เธอคนเดิมที่ดูแมน ๆ ห้าว ๆ คล้ายทอมถามขึ้น
"คือ..." จะบอกว่าอยากเข้าไปก็ไม่เชิง
หมับ!
"อ๊ะ! คุณ..." จู่ ๆ ผู้หญิงคนเดิมก็เดินมากอดคอฉันราวกับเราสนิทสนมกัน ก่อนจะออกแรงกึ่งบังคับให้ฉันเดินเข้าไปในกาสิโนตรงหน้า
"สวัสดีครับเจ๊" เสียงพนักงานที่เฝ้าประตูทักทาย คงเป็นคำทักทายเธออีกคนที่ไม่ใช่ฉันล้านเปอร์เซ็นต์เพราะฉันเพิ่งมาเยือนที่แห่งนี้ครั้งนี้ครั้งแรก
"แหม วันนี้พาสาวสวยมาอีกแล้วนะครับน้องเอม" เสียงค่อนข้างทะเล้นเอ่ยขึ้นหลังจากที่เราสองคนผ่านด่านแรกมาแล้ว
"สวยป้ะ?" คนถูกทักถามกลับ แถมยังมีหน้ามาฉีกยิ้มขยิบตาหวานใส่ฉันอีก
ข้าวฟ่างขนลุก...
ถึงจะไม่รังเกียจรักร่วมเพศ แต่ฉันก็ไม่ได้มีรสนิยมแบบนั้นมันเลยกระอักกระอ่วนใจหน่อย ๆ "สวยครับ แต่คนนี้มีเจ้าของแล้ว"
เสียงแหบพร่าที่คุ้นหูเอ่ยขึ้น ฉันรีบหันขวับไปทางต้นเสียงนั้น
เป็นเขาจริง ๆ ด้วย..
ผู้ชายที่เข้าไปข่มขู่พ่อเลี้ยงฉันที่โรงพยาบาลเมื่อสัปดาห์ก่อนไงล่ะ
"หมายความว่าไงวะไอ้ไจ๋" ผู้ชายที่ทักคนข้าง ๆ ฉันในตอนแรกกันไปถามอีกคนที่เพิ่งเดินมา "นี่คุณข้าวฟ่าง ว่าที่เด็กเฮีย"
ตาฉันเบิกกว้างทันทีที่ชื่อตัวเองหลุดออกมาจากปากผู้ชายที่เคยเจอกันแค่ครั้งเดียว เขารู้ชื่อเล่นฉัน...
ถ้าจำไม่ผิด ตอนที่อยู่โรงพยาบาลแม่กับลุงสงบเรียกฉันแค่ 'ข้าว' คำเดียว ไม่ใช่หรือไง แล้วผู้ชายคนนี้รู้ได้ยังไงว่าชื่อเล่นเต็ม ๆ ฉันคือข้าวฟ่าง
"อะไรวะ ทำไมคนสวย ๆ ไอ้เฮียถึงเก็บเรียบไปหมด"
มือเรียวบางที่กอดคอฉันไม่ยอมปล่อยตั้งแต่เจอกันคลายออกทันที น้ำเสียงเธอดูเซ็ง ๆ ไม่ชอบใจยังไงไม่รู้
"ถ้าคุณเอมไม่รังเกียจ รอรับความเมตตาต่อจากเฮียผมก็ได้นะครับ"
"โอ๊ย ไม่เอาอะ เด็กไอ้เฮียแต่ละคนกลับมาสภาพเดิมที่ไหน ไม่ช้ำก็เละ"
กึก! ได้ยินคำบอกเล่านั้นจบขนฉันลุกซู่ ข้างในใจหวาดหวั่นจนอยากจะก้าวหนีจากพื้นที่ตรงนี้เสียตอนนี้เลย
"คุณเอมก็พูดเกินไป ดูสิครับ คุณข้าวฟ่างหน้าซีดหมดแล้ว" คนที่ชื่อไจ๋แซวจนใบหน้าฉันยิ้มขำ "แล้วนี่ไอ้เฮียอยู่ไหนอะ" ผู้หญิงที่มาพร้อมฉันถามขึ้น
ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าเจ้าของกาสิโนแห่งนี้จะหน้าตาเป็นแบบไหน
เป็นคนแก่เหมือนเจ้าพ่อมาเฟียในหนัง หรือว่าหน้าตาดุ มีแผลเต็มไปหมดจนดูน่ากลัว "เฮียอยู่ดาดฟ้า กำลังรับลมเย็น ๆ ครับ"
รับลมเย็น ๆ ตอนสิบโมงเช้าบนดาดฟ้าเนี่ยนะ เขายังเป็นมนุษย์เดินดินอยู่หรือเปล่า แค่ฉันเดินตากแดดไม่กี่นาทีก็ผิวแทบไหม้เกรียมอยู่แล้ว
อา... แต่ถ้าเป็นคนมีอายุที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะแล้วก็อาจจะทนทานต่อแดดเมืองไทย "ไป คนสวย เดี๋ยวเจ๊พาขึ้นไปหาไอ้เฮียเอง"