ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตู พิชญาภาลุกจากเตียง เดินมาเปิด เห็นสาวใช้ยืนอยู่
“คุณพีชคะ คุณท่านให้มาตามไปทานอาหารค่ะ”
“รู้แล้วค่ะ เดี๋ยวพีชลงไป” เธอตอบรับเสียงแผ่ว
พิชญาภาเปิดประตู ออกจากห้อง ก้าวลงบันได้อย่างเชื่องช้า มาถึงห้องอาหารเห็นบิดา กับพี่ชายรออยู่ น่าแปลกปกติพี่ไม่ค่อยอยู่บ้าน อาศัยอยู่ที่คอนโดเสียส่วนมาก ทำไมวันนี้ถึงยังไม่ไปอีก เธอหย่อนกายลงบนเก้าอี้ ข้างบิดา พิภพตักอาหารใส่จาน
“กินเยอะ ๆ นะพีช วันนี้พ่อให้แม่ครัวทำของโปรดให้พีชเลย”
“ขอบคุณค่ะพ่อ”
ตักอาหารใส่ปาก สายตาพี่ชายมองมา ผิวแก้มยังระบมอยู่เลย ปกติเธอกับพี่ไม่ค่อยคุยกัน เพราะไม่เคยทำตัวสร้างปัญหาให้เลยสักครั้ง แต่คราวนี้ดูเหมือนพี่กรจะโกรธมาก แต่ให้บอกความจริงคงไม่ได้ เธอยังต้องสืบเรื่องพี่กับคุณอินอีก
“พ่อให้พีชไปทำงานได้แล้วมั้ง” เขาเปรยออกมา ละสายตาจากจอมือถือ แล้วมองน้องสาว
คนเป็นพ่อหันมามองลูก “พีชอยากไปทำงานหรือเปล่าล่ะลูก”
“พ่อไม่ควรถามแบบนี้ เรียนจบมาเกือบหกเดือนแล้ว ควรทำงานทำการ ไม่ใช่งอมืองอเท้าอยู่ที่บ้าน คิดจะไปไหนก็ไม่เคยบอกกล่าว!”
ริมฝีปากบางเม้มแน่น ช้อนสายตามองพี่ชาย
“ได้ค่ะพ่อ พีชจะไปทำงาน”
คนเป็นพ่อคลี่ยิ้ม “จริงเหรอลูก”
“จริงค่ะ เพราะถ้าพีชไม่ทำ คนบางคนจะหาว่างอมืองอเท้า!”
“คิดได้แบบนั้นก็ดี มีงานทำแล้ว คงไม่ไปเที่ยวร่อนไปไหน ไม่กลับบ้านเป็นอาทิตย์อีก!”
คนถูกตำหนิ พยายามข่มอารมณ์เอาไว้ เธอไม่อยากต่อล้อต่อเถียงพี่ให้มากกว่านี้ เพราะมันมีแต่จะสร้างรอยร้าวระหว่างกันมากขึ้น
“แล้วจะให้พีชทำงานตำแหน่งอะไรล่ะลูก”
“แล้วแต่พ่อเลยครับ พ่อลองหาให้น้องดูสิ”
“ไปเป็นเลขาพี่กรไหม” คนเป็นพ่อเอ่ยถาม
“ไม่ค่ะพ่อ!” เธอรีบปฏิเสธทันที
พลากรเหลือบมอง “ผมว่าอย่าดีกว่าครับ ขืนเป็นเลขาผม คงทำงานพังไม่เป็นท่า”
“กร! ทำไมชอบพูดจาใส่น้องแบบนี้!”
“เพราะผมไม่ตามใจเหมือนพ่อไงครับ ตามใจมากเคยตัว” เขาระบายลมหายใจ “ไม่คิดถึงคนอื่น!”
“พี่กร เลิกต่อว่ากระแนะกระแหนกันสักทีได้ไหม!”
เขาหัวเราะในลำคอ “แล้วอยากให้พี่เชิดชูสิ่งที่ตัวเองทำหรือไงกัน!”
“พีชบอกแล้วไง ว่าพีชมีปัญหาของพีช ทำไมพี่ต้องพูดจาแบบนี้ด้วย!”
ปัง!
มือหนาทุบลงบนโต๊ะ แล้วลุกยืน พิภพมองบุตรชาย
“หยุดนะกร ไปทำงานได้แล้ว!”
ชายหนุ่มขบกราม หุนหันสาวเท้าออกจากห้องอาหารไป พิชญาภาหอบหายใจ แววตาไม่พอใจ มือบางข้างตัวกำแน่น พิภพแตะไหล่บุตรสาว สีหน้ากังวล
“อย่าไปสนใจพี่กรเลยลูก ปกติพี่เขาก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว”
“ค่ะพ่อ พีชแค่ไม่พอใจที่พี่กรพูดไม่ดีกับพีชแค่นั้น!”
คนเป็นพ่อถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทำไมลูกสองคนถึงไม่ลงรอยกันนะ ทำไม ไม่เข้าใจเลย ตอนเด็กติดกันอย่างกับอะไร
“เรื่องงานลูกจะเอายังไง” เขาถามบุตรสาวเสียงแผ่วเบา
“พ่อจะให้พีชทำแผนกอะไรคะ”
“ผู้จัดการฝ่ายการเงินดีไหม พีชเรียนด้านนี้มา”
“ก็ได้ค่ะพ่อ” เธอยอมรับคำบิดา เพราะไม่อยากให้พี่ชายมาดูถูกดูแคลนกันอีก
เช้าวันใหม่ พิชญาภาสวมชุดทำงาน ลงมาจากชั้นบน ตรงมาถึงห้องอาหาร เห็นบิดากำลังทานอาหารเช้าอยู่ เมื่อเห็นหน้าลูกสาว พิภพยิ้มกว้าง
“วันนี้พ่อจะพาพีชไปแนะนำกับแผนกนะลูก”
“ค่ะพ่อ” เธอรับคำ ต่อให้อยากห้าม แต่คงไม่มีประโยชน์
สองร่างเดินเคียง มายังรถ ซึ่งจอดรอรับอยู่หน้าบ้าน พ่อลูกนั่งเบาะหลังด้วยกัน โดยมีพลขับอย่างนิพลทำหน้าที่ดูแล รถเคลื่อนจอดตรงลานกว้าง เธอลงจากรถพร้อมบิดา สายตาหลายคู่จับจ้องมา พิชญาภากลืนน้ำลายลงคอ เพราะไม่อยากถูกคนอื่นมองว่าเธอเป็นเด็กฝาก แต่มันก็คือเรื่องจริง ซึ่งไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากยอมรับมัน
พิภพพาบุตรสาวมายังแผนกการเงิน นิคมรีบมาต้อนรับทันที หลังจากได้รับแจ้งในเรื่องการมา เขายกมือไหว้ประธานบริษัท
“สวัสดีครับคุณพิภพ”
พิภพรับไหว้ นิคมมองดูหญิงสาว ยืนเคียงข้างเจ้านาย หน้าตาเธอสะสวย ผิวพรรณขาวเนียน ท่าทางเรียบร้อย อย่างที่เคยได้ยินมาจริง ๆ
“นี่พีชลูกสาวผม พอดีผมอยากให้พีชดูแลเรื่องการเงิน บัญชีของบริษัท ยังไงฝากคุณสอนงานด้วยนะนิคม”
“ได้ครับ” เขารับคำ
คนเป็นพ่อมองลูก “พ่อไปก่อนนะพีช อยู่ที่ตั้งใจฝึกงานให้ดีล่ะ”
“ค่ะพ่อ”
คล้อยหลังบิดา นิคมผายมือเชื้อเชิญ ให้ก้าวเข้าด้านในห้อง ร่างบางหย่อนกายลงตรงโซฟา ไม่นานนักนิคมนำเอกสาร และแฟ้มมาวางไว้ เพื่อสอนงาน
“ลองศึกษาแฟ้มพวกนี้ก่อนนะครับ” เขาหันคอมพิวเตอร์มาให้ “นี่คือข้อมูลบัญชีของบริษัทเราตั้งแต่ปีห้าหกครับ”
เธอพยักหน้าช้า ๆ “ค่ะคุณนิคม”
“ผมขอตัวไปทำงานก่อนนะครับ มีอะไรสงสัยสอบถามผมได้ตลอด”
“ค่ะ”
พิชญาภาตั้งใจศึกษา เพราะไม่อยากถูกพี่ชายดูถูกอีก ตลอดเวลาที่ผ่านมา เธอไม่มีอะไรสู้พี่ได้เลย ทั้งเรื่องการเรียน เรื่องสังคม แม้กระทั่งการทำงาน พี่ชายมักทำอะไรได้ดีเสมอ แต่กระนั้น กลับไม่นึกว่าพี่นั้น จะทำเรื่องเลวร้ายเอาไว้ จนทำให้เธอต้องรับเคราะห์แทนเช่นนี้
เสียงมือถือดังขึ้น พิชญาภาชะงัก หยิบมันออกมาดูเบอร์หน้าจอ ไม่คุ้นชินเลย ตัดสินใจกดรับสาย
“สวัสดีค่ะ”
ปลายสายเงียบครู่หนึ่ง “เป็นยังไง สบายดีไหม”
น้ำเสียงคุ้นเคยทำเอาขนในกายลุกชัน พิชญาภาหน้าซีดเผือด ไม่คิดว่าเขาจะโทรหา ตอนแรกเห็นเงียบหาย หัวใจคนตัวเล็กเต้นระรัว
“ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับคุณหรอกนะคะ” เธอรีบปฏิเสธ อยากจบเรื่องราวทั้งหมดเสียตอนนี้ จนกว่าเธอจะสืบเรื่องพี่ชาย ว่าจริงหรือไม่
นิคมเหลือบมอง สีหน้าสงสัย เธอเลยลุกยืน
“ฉันขอตัวสักครู่นะคะ” เธอรีบบอก แล้วเดินออกจากห้องไป
สาวเท้ามาหยุดยืนตรงบันไดหนีไฟ หอบหายใจด้วยความตระหนก
“เราเคยตกลงกันไม่ใช่หรือไง ตอนนี้คุณเอง ก็กำลังหาความจริงจากพี่ชายไม่ใช่หรือไง ผมต้องการให้คุณช่วยผม!”
ริมฝีปากบางเม้มสนิท “ฉันต้องการรู้ความจริง แต่ฉันไม่ต้องการร่วมมือกับคุณ ยังไงเขาก็คือพี่ชายของฉัน!”
อรัญกรณ์ขบกรามแน่น ระยะเวลาหนึ่งอาทิตย์ คงมีเวลาให้เธอได้ใคร่ครวญ ถึงได้แสดงท่าทีราวกับเขาไม่มีความหมาย ทั้งที่ก่อนหน้า ทำเหมือนว่าเข้าใจทุกอย่างแต่โดยดี
“คุณต้องการแบบที่พูดจริง ๆ ใช่ไหม” เขาถามย้ำน้ำเสียงหนักแน่น
คนฟังนิ่งงัน สีหน้าเครียดขึ้นทันที
“ฉันต้องการอิสระ เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเรา ถือว่าครอบครัวฉันได้ชดใช้ให้คุณไปบ้างแล้ว” คนพูดกล้ำกลืนน้ำตา “ฉัน... ไม่อยากให้เรามีอะไรติดค้างกัน การที่เรามีความสัมพันธ์แบบนั้น ไม่ได้หมายความว่าฉันจะต้องยอมคุณเสมอไป”
ดวงตาเรียวหรี่ลง กระตุกยิ้มมุมปาก ดูเหมือนแมวน้อย จะกลายเป็นเสือไปเสียแล้ว
“งั้นเหรอ?” เขาหัวเราะในลำคอ “อยากให้ผมใช้ไม้แข็งใช่ไหมพีช คุณถึงพอใจ”
“หมายความว่ายังไง?”
“อยากให้พ่อคุณรู้เรื่องของเราไหมล่ะ”
ขนในกายลุกชัน มือบางสั่นเทา ทำไมต้องทำแบบนี้ ข่มขู่เธอเพื่อให้ทำตามความต้องการงั้นเหรอ ทั้งที่เขาคือคนผิด ลักพาตัวเธอไป ทำเรื่องเลวร้ายขนาดนั้น
“ฉันไม่คิดว่าคุณจะเลวร้ายขนาดนี้ ทั้ง ๆ ที่คุณเข้าใจความเจ็บปวดของน้องสาวคุณ แต่คุณกลับไม่เข้าใจความเจ็บปวดที่ฉันได้รับ จากสิ่งที่คุณกระทำ!”