ข้าจะแต่ง

2009 Words
ทารกที่ 3 ข้าจะแต่ง ภายในห้อง การเจรจาของนางเมิ่งซือจบลง เซียวเฟิงที่มึนงงพ่ายแพ้ย่อยยับ เพียงแต่พอคิดว่าต้องรับน้องสาวผู้นั้นเป็นภรรยา เขาก็ไม่รู้สึกว่าตนเสียเปรียบเท่าใด ยังไงตัวเองก็ไม่มีที่ไป ถือว่าตอบแทนบุญคุณที่อีกฝ่ายช่วยชีวิตก็แล้วกัน เซียวเฟิงฟังคำถามมากมายจนหัวหมุน ทั้งยังพยายามนึกถึงความทรงจำ แต่นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก ได้แต่นอนเงยหน้ามองหลังคาไม้ เพราะถูกผู้อาวุโสทั้งสองไล่ให้มานอนในห้องครัว บ้านของเมิ่งจื่อปลูกเป็นกระท่อมไม้ติดกันสามหลัง ห้องครัวแยกออกมาด้านข้าง ส่วนหลังยังมีเล้าหมูและไก่ เลยไปอีกหน่อยเป็นแปลงผักเล็กๆ ที่นางกับมารดาช่วยกันทำสองคน กระท่อมตรงกลางเป็นของบิดามารดา ฝั่งขวาเป็นของน้องชาย ฝั่งซ้ายจึงเป็นของนางเอง เวลาเดินไปเรื่อยๆ เมิ่งจื่อร่าเริงน่ารักกระโดดโลดเต้นไปทั่ว นางราวกับลืมไปแล้วว่าเมื่อคืนเพิ่งคิดตาย กับกลายมาเป็นหญิงสาวที่ยิ้มร่า หยอกเย้ากับน้องชายอยู่บนเนินเขาหลังบ้านตนเอง “เหอ! ก็นึกว่าใคร ที่แท้เป็นนางแพศยาเมิ่ง!” ห่างไปไม่ไกลมีกลุ่มหญิงสาวสี่คน พวกนางผอมสูงต่างกัน กล่าวถากถางเมิ่งจื่อตั้งแต่นางยังไม่เห็นตัว เมิ่งจื่อหันขวับ หากแต่พอเห็นผู้มา รอยยิ้มเมื่อครู่ของนางก็หายไปทันที คนซ้ายเป็นซ่งจูเอ๋อ ส่วนที่เหลือเป็นสหายของนางที่ชอบรังแกเมิ่งจื่อประจำ “จื่ออี พวกเราไปเถอะ” สาวน้อยรีบชวนน้องชายหลบหนีทันที! “เป็นไร คิดหนีหรือ? เมื่อเช้าข้าเห็นผู้ชายในบ้านเจ้า เพิ่งถอนหมั้นไม่กี่วัน เจ้าก็เปลี่ยนผู้ชายอีกแล้ว สมกับเป็นนางร่านจริงๆ ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า!” พอซ่งจูเอ๋อหัวเราะ สหายที่เหลือก็เฮลั่น วันนี้พวกนางถูกจูเอ๋อวิ่งไปหาที่บ้านแต่เช้า ทั้งยังเล่าให้ฟังอย่างตื่นเต้น ว่าหลังบ้านเมิ่งจื่อมีผู้ชายแปลกหน้าอาบน้ำ เพราะอยู่ค่อนข้างไกลจึงมองไม่เห็นหน้า แต่ก็ดูออกว่ามิใช่บิดาของนาง สิบกว่าวาหลังพุ่มไม้ เนื่องจากกลัดกลุ้มเซียวเฟิงจึงออกจากห้องครัวมาเดินเล่น เขากับคิดไม่ถึงว่าจะพบเข้ากับเหตุการณ์นี้ เมิ่งจื่อเองก็คิดไม่ถึง คำว่าร่านรุนแรงมาก แม้นางจะยังเล็กไม่รู้ความ แต่คำด่านี้ก็ถือว่าหนักเกินไป สุดท้ายสาวน้อยโยนกิ่งไม้ในมือทิ้ง ยกสองมือขึ้นปิดหน้า ร้องไห้โฮวิ่งหนี แม้แต่น้องชายที่อยู่ข้างหลังนางก็ไม่สนใจ จื่ออีกำหมัดน้อยๆ ของตนแน่น แต่เขาไม่กล้าอาละวาดใส่พวกใจร้ายเหล่านี้ ดังนั้นจึงทำได้แค่หันหลังวิ่งติดตามพี่สาวไป เงาดำสั่นไหว เซียวเฟิงยืนมองหญิงสาวทั้งสี่หัวเราะคิกคัก นินทาเมิ่งจื่ออีกหลายเรื่อง สนุกสนานอยู่บนเนินเขา สะใจที่ได้กลั่นแกล้งนางแพศยาน้อย! เมิ่งจื่อหารู้ไม่ เหตุผลที่นางถูกรังเกียจจากหญิงสาวในหมู่บ้าน เพราะตั้งแต่เด็กทุกคนอิจฉานาง บิดามารดานางทะนุถนอมนางยิ่ง ทั้งยังได้ชุดใหม่ใส่ทุกปี นี่เป็นหมู่บ้านยากจน ปกติลูกสาวไม่เป็นที่ใส่ใจของครอบครัว แต่เมิ่งจื่อกับต่างออกไป มีของดีอะไรบิดามารดาก็หามาให้ กลายเป็นที่อิจฉาของทุกคน อย่าว่าแต่พอนางเริ่มแตกเนื้อสาว ใบหน้ารูปร่างก็ยิ่งกลายเป็นที่อิจฉา ทั้งๆ ที่เกิดมายากจนเหมือนกันแท้ๆ เมิ่งจื่อมิได้ถูกมอบหมายให้ทำงานหนักเหมือนคนอื่น ไร่นาก็ไม่มี อย่างมากก็เพียงช่วยบิดาแล่เนื้อสัตว์ป่าที่หามาได้เท่านั้น ไม่ต้องทำไร่ทำสวนมากมายเหมือนหญิงสาวคนอื่นในหมู่บ้าน แต่แล้วก็มาถึงจุดแตกหัก เมื่อก่อนทุกคนยังแค่กลั่นแกล้งเล็กน้อย แต่หลังจากหมั้นกับคุณชายเสิ่น ความอิจฉาก็พุ่งขึ้นถึงขีดสุด นั่นคือบัณฑิตนะ! เป็นบัณฑิตชิวไฉอายุน้อย อนาคตต้องได้เป็นขุนนางแน่นอน! บ้านตระกูลเสิ่นอยู่ในตัวอำเภอ ห่างจากหมู่บ้านของเมิ่งจื่อเกือบสามสิบลี้ แต่ระหว่างหมั้นหมาย เขากับแวะเวียนมาหาเมิ่งจื่อแทบทุกวัน เพียงเท่านี้ก็ทำให้หญิงสาวในหมู่บ้าน อิจฉานางแทบตายแล้ว ครอบครัวที่ไม่มีบุตรสาว ต่างบอกว่าตระกูลเมิ่งโชคดี แต่ผู้ที่มีบุตรสาวอยู่ในวัยไล่เลี่ย ต่างก็พากันนินทาไปทั่ว สงสัยว่าตระกูลเมิ่งใช้เล่ห์เหลี่ยมใด ไฉนคว้าจับเอาคุณชายที่มีความรู้ความสามารถมาได้ เพียงแต่เรื่องนี้มีที่มาที่ไป... สองปีก่อน ขณะเมิ่งไท่อี้ขึ้นเขาล่าสัตว์ เขาบังเอิญพบเสือตัวใหญ่ตัวหนึ่ง ประจวบกับเจ้าตัวดุร้ายกำลังจู่โจมใส่สองพ่อลูก ด้วยธนูน้ำหนักสามต้าน และความบังเอิญยิ่งนัก นายพรานปลายแถวเช่นเขากับปล่อยลูกเกาทัณฑ์ได้แม่นยำยิ่ง ยิงออกไปดอกเดียวก็ปักเข้าใส่ตำแหน่งหัวใจ! นี่เป็นศรช่วยชีวิต หากช้าเพียงเสี้ยวพริบตา คุณชายเสิ่นและบิดาคงสิ้นชีพแล้ว หลังจากนั้นไม่กี่วัน นายท่านเสิ่นก็ตามมาขอบคุณถึงที่บ้าน และบังเอิญเห็นเมิ่งจื่อที่จิ้มลิ้มน่ารัก จึงได้เรียบเรียงเคียงถาม สุดท้ายคุยไปคุยมา เสิ่นผู้พ่อก็เรียกพี่เรียกน้องกับเมิ่งไท่อี้ จึงเป็นเหตุให้ไม่กี่เดือนหลังจากนั้น ตระกูลเสิ่นก็ส่งของหมั้นหมาย กำหนดวันแต่งงานให้เมิ่งจื่อทันทีหลังจากเข้าพิธีปักปิ่น เรื่องราวก็เป็นเช่นนี้เอง ในมุมมองคนนอก ตระกูลเมิ่งถือว่าอาจเอื้อมขึ้นสูง เมิ่งจื่อราวกับอีกากลายเป็นหงส์ แม้ตระกูลเสิ่นจะมิได้ร่ำรวยนัก แต่ใครๆ ก็มองออกว่าอนาคตเขาต้องไปได้ไกลมาก การแต่งครั้งนี้เสิ่นจงก็ได้ชื่อเสียงเพิ่มขึ้น กลายเป็นคุณชายผู้ยึดถือคุณธรรมน้ำใจ ไม่รังเกียจที่จะรับหญิงชาวบ้านยากจนมาเป็นคู่ทุกข์คู่ยาก ด้วยเหตุนี้ หลังถอนหมั้น ทุกคนต่างก็ลงความเห็นว่า เป็นตัวของฝ่ายหญิงแน่ๆ ที่มีปัญหา แต่มิทราบว่ามีปัญหาอยู่ตรงที่ใด? ในยุคสมัยที่บุรุษเป็นใหญ่ มีเพียงฝ่ายชายเท่านั้นที่ถอนหมั้นหรือหย่าร้างได้ ความผิดที่ใช้หย่าก็มีเพียงไม่กี่ข้อเท่านั้น ชาวบ้านหลิวชิ่งจึงพากันเดาไปต่างๆ นาๆ “ไม่รักนวลสงวนตัว!” ไม่กี่วันให้หลัง ข่าวลือนี้ก็กระจายไปทั่วหมู่บ้าน! เรื่องที่เมิ่งจื่อจูบกับเสิ่นจงถูกเปิดโปง ไม่นานแม่สื่อก็เดินเข้าออกประตูบ้านนางวุ่น เพื่อติดต่อให้สาวน้อยแต่งออกให้กับพวกกเฬวรากในหมู่บ้าน... ค่าตัวของเมิ่งจื่อเหลือเพียงแป้งหนึ่งกระสอบ บุรุษเกียจคร้านที่หาเมียไม่ได้ต่างก็หมายปองในตัวนาง แม่สื่อก็รับเงินเพียงไม่กี่ร้อยเหวิน จัดการเป็นธุระติดต่อทาบทามนางจากบิดา เรื่องนี้ก็ทำให้เมิ่งผู้พ่อแทบอกแตกตาย! *** บนเนินเขา สาวชาวบ้านสี่คนยังหัวเราะคิกคัก ไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย ว่าข้างพุ่มไม้มีบุรุษผู้หนึ่งแอบฟังอยู่ “จ๋อม!” เสียงก้อนหินถูกขว้างปาลงน้ำ เมิ่งจื่อนั่ง กอดเข่าอยู่บนชะง่อนหิน นี่เป็นจุดเดียวกับที่นางคิดสั้นคราก่อน แต่ครั้งนี้เปลี่ยนไปแล้ว นางไม่คิดตายอีก เพียงแต่เจ็บปวดใจที่ถูกรังแก ทั้งๆ ที่มิใช่ความจริง แต่นางกับเถียงไม่ออก เมิ่งจื่อไม่เคยสู่คนมาก่อน พอถูกด่าทอก็ตอบโต้ไม่เป็น แม้แต่คำพูดจะอธิบายยังคิดไม่ทัน เซียวเฟิงซุ่มฟังคำติฉินนินทาจนพอใจ เขาก็ใช้เวลาครู่ใหญ่เดินกลับบ้านสกุลเมิ่ง เวลานั้นก็เป็นจังหวะเดียวกับพี่สาวน้องชายกลับเข้าบ้านพอดี หากแต่ทั้งสองฝ่ายราวกับมิได้สนใจกัน ตอนเดินผ่านประตูรั้วบ้าน แม้แต่หน้าเมิ่งจื่อก็ยังมิเงยขึ้นมอง “เจ้าหนุ่ม ไปช่วยข้าวางกับดักหน่อยสิ” ตะวันคล้อยบ่าย เมิ่งผู้พ่อเห็นผู้มาใหม่ก็เอ่ยปากใช้งาน เซียวเฟิงก็ถามว่าต้องทำยังไงบ้าง เพราะเขาจำมิได้ว่าตนเคยวางกับดักมาก่อน เมิ่งไท่อี้เดินเข้าไปตบไหล่บอกว่า “มา มา เดียวข้าสอนเจ้าเอง” จากนั้นชายเคราครึ้มพาชายหนุ่มแปลกหน้าไปหยิบจับเครื่องมือในห้องเก็บของ แล้วเดินออกจากบ้านหัวเราะฮ่า ฮ่า ฮ่า ตะโกนเป็นภาษาท้องถิ่นว่า บุรุษที่แท้จริงต้องจับหมูป่าได้วันละสิบตัว ตลอดทางขึ้นเขา เมิ่งผู้พ่อคุยโม้อย่างสนุกสนาน โอ้อวดว่าสมัยหนุ่มๆ เขาจับหมูป่าวันเดียวได้ถึงสิบตัว! เซียวเฟิงที่โง่งมกับหลงเชื่อ ตอบรับท่านลุงหน้าโหดว่า “สุดยอดไปเลยขอรับ” “…” ภายในกระท่อมของเมิ่งจื่อ เพียงเปิดประตูเข้ามาก็จะพบเตียงนอนอยู่ด้านซ้าย โต๊ะตัวน้อยอยู่ด้านขวา ข้าวของนางมีไม่มาก ทั้งห้องหับยังคับแคบ แต่ก็มากพอให้นางใช้ชีวิตอยู่คนเดียว สาวน้อยเช่นนางเองก็ชอบ นับตั้งแต่ท่านพ่อปลูกกระท่อมหลังนี้ให้ นางก็ตกแต่งด้วยของใช้เล็กๆ น้อยๆ ที่หาได้ ใช้เศษผ้ามาตัดเย็บผ้าม่าน ย้อมด้วยสีชมพูหวานแหวว นางเมิ่งซือพบเห็นบุตรสาวกลับเข้าเรือน จึงติดตามเปิดประตูโดยไม่เคาะ ภาพที่เห็นทำให้นางสงสารลูกสาวมาก เมิ่งจื่อสะอื้นกระซิกกระซิกบนเตียง มองแต่ไกลก็รู้แล้วว่านางร้องไห้ “จื่อจื่อ แม่มีบางอย่างต้องพูดกับเจ้า” เมื่อเข้ามาในห้อง นางเมิ่งซือก็นั่งลงที่ข้างกายบุตรสาว กล่าวปลอบโยนนางอยู่นานสองนาน จนเมิ่งจื่อสงบลงนางค่อยเข้าเรื่อง บอกว่าหาคนที่เหมาะสมแต่งกับนางได้แล้ว ต่อไปก็ไม่ต้องถูกแม่สื่อนำไปเร่ขายอีก หัวใจเมิ่งจื่อตกวูบ นางไม่ฟังต่อแม้กระทั่งต้องแต่งกับใคร คิดในใจว่าเรื่องเลวร้ายพวกนี้ต้องจบได้แล้ว นางยอมแต่งก็ได้ ต่อให้แต่งกับหมานางก็ยินยอม! “แต่ง! แค่แต่งงานก็จบแล้วใช่หรือไม่ ฮือ! ฮือ!” เมิ่งจื่อฟุบหน้ากับผ่าห่มอีกครั้ง ร้องไห้โฮออกมา สิบกว่าวันมานี้นางถูกเร่ขายไปทั่ว แม่สื่อนำนางไปเสนอกับคนทั้งอำเภอ รับเงินค่าติดตามถามไถ่ แม้จะปฏิเสธไปทุกครั้ง แต่อนาคตข้างหน้าผู้ชายดีๆ ที่ไหนจะมาสู่ขอนาง ชื่อเสียงย่อยยับป่นปี้ แต่งกับใครก็คงจะเหมือนกัน หญิงชาวบ้านอายุสิบห้าสิบหกก็เป็นมารดาคนแล้ว เมิ่งจื่อไหนเลยไม่แต่งสามีได้ นางเมิ่งซือกล่าวปลอบอีก บอกว่า จำได้หรือไม่ แม่เองก็ได้แต่งกับพ่อเจ้าเพราะสถานการณ์บีบบังคับ ต่อมาก็มีเจ้ากับน้องสองคนออกมา มิใช่รักใคร่กลมเกลียวกันดีหรือ สมัยก่อนเกิดศึกสงคราม นางเมิ่งซือเป็นลูกอนุของขุนนางเล็กๆ ผู้หนึ่ง ที่เป่ยจิงทิศเหนือ ท่านพ่อนางพาครอบครัวหลบหนี แต่พอเดินทางมาถึงส่านซีทรัพย์สินก็หมดสิ้น สุดท้ายขายนางให้กับนายพรานผู้หนึ่ง แลกกับข้าวสารเพียงสิบชั่งเท่านั้น นายพรานผู้นั้นย่อมเป็นพ่อสามีนางเอง เมิ่งไท่อี้ในวัยสิบห้ายินดียิ่ง เขากระโดดโลดเต้นโห่ร้องว่าตนจะมีภรรยาแล้ว ถึงแม้ต้องรออีกหลายปีถึงจะใช้งานได้ก็ตามที “…” ***
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD