จวนตระกูลหลี่
“ท่านแม่! มายืนทำอันใดอยู่ที่หน้าประตูจวนหรือขอรับ” แม่ทัพหนุ่มถามด้วยความไม่เข้าใจ เพราะเปิดประตูมาก็เห็นมารดาของตนยืนรอและมองมาที่เขาเขม็ง
“ตามแม่มาคุยในเรือน” เหลียนฮวาเอ่ยบอกผู้เป็นบุตรชายก่อนจะหันหลังเดินตรงไปที่เรือนรับรองแขก
แม่ทัพหนุ่มแม้จะไม่รู้ว่ามารดามีเรื่องอะไรคุยกับตน หากแต่เขาก็พอรับรู้ถึงบรรยากาศกราดเกรี้ยวจากร่างของมารดาได้ จึงได้เดินตามไปอย่างว่าง่าย
เมื่อมาถึงเรือนรับรองแขกของจวนแล้ว แม่ทัพหนุ่มก็เห็นว่าบิดากำลังนั่งรออยู่ โดยมีสตรีที่เขารังเกียจยิ่งกว่าสิ่งใดคอยรินน้ำชาให้ด้วย หลี่เหวินหลางไม่สนใจ เขาหันหน้าไปหาผู้เป็นมารดาแทนด้วยความอยากรู้เต็มทนว่าท่านมีเรื่องอะไรจะพูดกันแน่
“ไปไหนมา”
“ไปส่งเฟิ่งเอ๋อร์มาขอรับ” หลี่เหวินหลางตอบรับอย่างตรงไปตรงมา ไม่นึกกลัวสายตาของมารดาที่มองมาอย่างต่อว่าเลยสักนิด
“ดียิ่ง! ไปส่งสตรีอื่น ไม่สนใจภรรยาที่อยู่ในเรือน” เพียงแค่มารดาพูดออกมาแม่ทัพหนุ่มก็เข้าใจอะไร ๆ ได้ หลี่เหวินหลางหันหน้าส่งสายตาดุดันไปยังคนต้นเหตุที่ทำให้เขาถูกมารดาเรียกมาต่อว่า
ไป๋ฟางเซียนเห็นอีกฝ่ายมองมาด้วยสายตาโกรธเกรี้ยวจนแทบอยากจะฆ่านาง ก็รีบก้มหน้าหลบสายตาลงโดยไว ความสามารถด้านการแสดงในโลกเดิมถูกเรียกออกมาใช้ เพียงเสี้ยววินาที หยดน้ำตาใสก็รินไหลอาบแก้มนวล
“ไม่ต้องร้องลูกเซียนเอ๋อร์ แม่จะจัดการให้เจ้าเอง” เหลียนฮวาหันไปตอบบุตรสาวบุญธรรม ที่มีศักดิ์เป็นลูกสะใภ้ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ไม่ต้องไปมองน้องด้วยสายตาเช่นนั้นเลยพ่อตัวดี เป็นอย่างไรเล่า งามหน้านัก”
“ท่านแม่... ข้าไม่ได้ทำอะไรเสื่อมเสียนะขอรับ” เห็นมารดาพูดด้วยความโกรธก็รีบพูดแก้ไขความเข้าใจผิด
“ถ้าการที่เจ้าพาสตรีอื่นเข้ามาในจวน หยามหน้าภรรยาที่เจ้าไม่เคยคิดดูดำดูดีไม่เรียกว่าเสื่อมเสีย แล้วเช่นใดถึงจะเรียกว่าเสื่อมเสีย เจ้าลองบอกแม่มาสิ คิดบ้างหรือไม่ ว่าถ้าคนภายนอกรู้เข้า จวนของเราจะถูกนินทาลับหลังว่าอย่างไร” เหลียนฮวาพูดด้วยความไม่พอใจ ส่งสายตาต่อว่าบุตรชายคนเดียวอย่างไม่ปิดบัง
“ท่านแม่... เฟิ่งเอ๋อร์แค่มาเยี่ยมเพื่อนของนาง ข้าและนางมิได้ทำอันใดเกินเลยเลยนะขอรับ” หลี่เหวินหลางพยายามอธิบายอย่างใจเย็น
“แล้วมันเป็นเรื่องที่สมควรแล้วหรือ น้องเพิ่งจะหายป่วย เจ้าก็พานางมา ก่อนหน้านี้เจ้าก็ไปเยี่ยมหานางที่จวน ไม่สนใจเซียนเอ๋อร์ที่นอนป่วยเลยสักนิด”
“ข้าไม่ได้รักนางไยข้าต้องสนใจนางด้วย”
“เหวินหลาง!” เหลียนฮวาเห็นบุตรชายเถียงตนก็ไม่พอใจมาก นางจึงเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงดัง
“ท่านแม่เจ้าคะ ค่อยพูดค่อยจาเถิดเจ้าค่ะ ข้า... มิได้เป็นอันใด” ไป๋ฟางเซียนร้องห้าม ก่อนพูดเสียงเบาในประโยคสุดท้าย ทว่าถึงจะเบา บุคคลที่นั่งอยู่ทั้งสามกลับได้ยินชัดเจน
แม่ทัพหนุ่มปรายสายตามองนางอย่างโกรธเกรี้ยว สองมือกำเข้าหากันแน่น ยิ่งเห็นนางมองมาด้วยสายตาท้าทายเช่นนั้น เขาก็ยิ่งรู้สึกโกรธ
“เสแสร้งยิ่งนัก!” หลี่เหวินหลางต่อว่านาง เรียกสายตาไม่พอใจทั้งบิดาและมารดา แต่เขาไม่สนใจ และไม่คิดจะขอโทษเช่นเดียวกัน
“ท่านเกลียดข้ามากหรือเจ้าคะ ถึงได้ต่อว่าข้าเช่นนี้” ไป๋ฟางเซียนบีบน้ำตาก่อนจะพูดออกมา ทำให้เวลาเอื้อนเอ่ย หยดน้ำตาก็จะร่วงหล่นดูน่าสงสารอย่างมาก
“ข้าไปทำอันใดให้ท่านกันเจ้าคะท่านพี่ ท่านพาเฟิ่งจิ่วมาหยามข้า ต่อว่าข้าต่อหน้านาง ข้ารู้ว่าท่านไม่ได้รักข้า แต่ช่วยดีกับข้าได้หรือไม่ ฮึก!”
“เจ้า!” แม่ทัพหนุ่มพยายามควบคุมตนเองไม่ให้กระโจนไปบีบคอคนตัวเล็กให้ตายคามือ
“ขอเวลาให้ข้าสักเล็กน้อยไม่ได้หรือเจ้าคะ ข้ารู้ว่าท่านรักชอบกับเฟิ่งจิ่ว แต่ขอเวลาข้าสักนิด เราเพิ่งแต่งงานกันได้เพียงแค่เดือนเดียวเองนะเจ้าคะ ถ้าท่านรับนางมาเป็นภรรยาเพิ่มอีกคน ผู้อื่นจะมองข้าเช่นไร”
“ฮึก! ท่านพ่อท่านแม่เจ้าคะ ข้าขอตัวกลับเรือนก่อนนะเจ้าคะ ฮึก!” ไป๋ฟางเซียนพูดพร้อมยกมือบางปาดน้ำตาออกจากใบหน้างาม พยายามอดกลั้นไม่ให้ตัวเองร้องไห้ สายตาหวานเศร้าสร้อยจนหลี่เหวินชิงและเหลียนฮวาถึงกับใจกระตุก เพราะสงสารบุตรสาวบุญธรรมที่ตนรักเหมือนลูกในไส้
“นั่นเจ้าจะไปไหน” เหลียนฮวาเอ่ยถามบุตรชายเมื่อเห็นว่าเขากำลังจะลุกเดินออกจากเรือนรับรองไป
“ข้าจะไปคุยกับนางให้รู้เรื่องขอรับ เรื่องที่นางพูดหาใช่เรื่องจริง นางกำลังเสแสร้งนะขอรับท่านพ่อท่านแม่”
“ไม่ต้อง เราต้องคุยกันให้รู้เรื่อง”
“แต่ว่า”
“อยู่คุยกันก่อนค่อยไป” เมื่อเสียงประมุขจวนดังขึ้น แม่ทัพหนุ่มจึงต้องจำใจนั่งลงตามเดิม เพื่อพูดคุยกับบุพการีต่อไป
หลี่เหวินหลางมองไปยังทิศทางที่ร่างของไป๋ฟางเซียนเดินจากไปด้วยสายตามาดร้าย ตั้งแต่ฟื้นมานางก็เปลี่ยนไป สิ่งที่ไม่เปลี่ยนคือความร้ายกาจของนาง ทั้งยังดูร้ายกาจเพิ่มขึ้นอีกด้วย เห็นทีนับจากนี้ต่อไป เขาต้องระวังตัวให้มาก
ส่วนเรื่องที่นางทำให้เขาถูกบุพการีต่อว่าในวันนี้ เขาเอาคืนแน่!