“ข้าอยากจะรู้จริง ๆ ว่าหากนางฟางเซียนกลับถึงจวนแล้วจะทำหน้าเช่นใด แล้วพี่เหวินจะทำสิ่งใดกับมันบ้าง หึ!”
โจวเฟิ่งจิ่วพูดด้วยแววตามาดร้ายและมีความสุขในคราวเดียวกัน ในขณะที่มือก็ม้วนผมยาวสลวยของตนเองเล่นไปมา
“จะเป็นอย่างไรเล่าเจ้าคะคุณหนู ก็ต้องถูกท่านแม่ทัพต่อว่าอยู่แล้วเจ้าค่ะ” ลี่หวา สาวใช้คนสนิทพูดเอาใจเจ้านายของตนพร้อมมองหน้าอย่างสื่อความหมาย
“นั่นสินะ มันจะต้องถูกพี่เหวินต่อว่าอยู่แล้ว เดิมทีพี่เหวินก็เกลียดชังมันเสียยิ่งกว่าอะไร นี่มันออกจากจวนไปเดินหัวร่อต่อกระซิกกับบุรุษอื่นที่ไม่ใช่สามีตนเองให้ชาวบ้านเห็น อย่างไรก็ต้องถูกต่อว่าเป็นธรรมดา แทนที่จะเจียมตัวให้พี่เหวินสงสาร กลับทำให้พี่เหวินรังเกียจและเกลียดมากยิ่งขึ้น ข้าละสงสารท่านแม่ของพี่เหวินเสียจริงที่เลี้ยงดูนางมาเสียข้าวสุกเช่นนี้ นางช่างไม่รู้ความ ไม่รู้หรือไรว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ”
“จริงเจ้าค่ะคุณหนู ทั้งที่ตัวเองแต่งงานแล้วแท้ ๆ ยังมีหน้าสนิทสนมกับชายอื่นอีก น่าละอายนักเจ้าค่ะ”
โจวเฟิ่งจิ่วปรายตามองลี่หวาสาวใช้คนสนิทอย่างพอใจกับคำพูดของนาง ก่อนจะตกรางวัลด้วยเงินตำลึงสองเหรียญ จากนั้นทั้งสองนายบ่าวก็หัวเราะคิกคักกันอย่างมีความสุข
“เจ้าอย่าลืมไปปล่อยข่าวเล่า ว่าพี่เหวินทะเลาะกับมันจนถึงขั้นคิดหย่าขาด แต่ก็หย่าไม่ได้เพราะเห็นแก่หน้าบิดามารดาตน แล้วอย่าลืมสาธยายความชั่วช้าของไป๋ฟางเซียนสหายรักข้าให้ชาวบ้านก่นด่าเล่า... เอาเป็นว่ามันไม่ให้เกียรติพี่เหวิน และคิดคบหากับบุรุษอื่นจนเกินงามก็แล้วกัน”
“เจ้าค่ะคุณหนู ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
“อย่าให้ใครจับได้ว่าเป็นฝีมือเรา ข้าไม่อยากให้ภาพลักษณ์อันสวยงามของข้าต้องแปดเปื้อนเพราะนางจิ้งจอกนั่น”
“เจ้าค่ะคุณหนู” ลี่หวารับคำเสร็จก็ออกไปจัดการงานที่ได้รับมอบหมายทันที ไม่ได้ปล่อยข่าวในวันนี้เสียทีเดียว แต่ไปเพื่อว่าจ้างหาคนปล่อยข่าวต่างหาก
ด้านโจวเฟิ่งจิ่วหลังสาวใช้คนสนิทจากไปแล้วก็กระตุกยิ้มร้ายหัวเราะอย่างพึงพอใจ สายตาของนางมีแต่ความเกลียดชังฉายชัดไม่ปิดบัง เมื่อนึกถึงเจ้าของชื่อในหัวข้อสนทนาเมื่อครู่
“เจ้าจะโทษข้าไม่ได้นะสหายรัก ในเมื่อเจ้ากล้าต่อว่าข้า แย่งคนที่ข้ารักไป ข้าก็จะทำลายเจ้าแบบนี้แหละ เจ้าจะได้รู้ว่าไม่ควรมาปากดีกับข้า... คิดให้ข้าเป็นฮูหยินรองหรือ อนุหรือ ช่างน่าขัน คนอย่างโจวเฟิ่งจิ่วต้องเป็นฮูหยินเอกเท่านั้น หากจะมีใครเป็นอนุ คนคนนั้นย่อมต้องเป็นเจ้า! เป็นเจ้าไป๋ฟางเซียน ทำไมเจ้าไม่ตาย ๆ ไปเสียตั้งแต่ครั้งนั้น จะอยู่เป็นหนามตำใจของข้าทำไม!”
ลมหายใจของโจวเฟิ่งจิ่วเริ่มแรงขึ้นจนหน้าอกกระเพื่อมเพราะรู้สึกโกรธที่มีคนดูถูกเหยียดหยามตน นางเป็นถึงบุตรีฮูหยินอีกของจวนตระกูลโจว มีบิดาเป็นถึงเสนาบดีกรมคลังที่หลายฝ่ายต้องไว้หน้า ตระกูลของนางเป็นตระกูลใหญ่ซึ่งสำคัญต่อราชสำนัก แล้วไป๋ฟางเซียนเป็นใคร นางเป็นผู้ใดถึงได้บังอาจมาดูถูกตน เป็นแค่บุตรบุญธรรมของหัวหน้าตระกูลหลี่แล้วจะมาหยิ่งผยองต่อนางได้หรือ แค่นางลดตัวคบหาด้วยนับเป็นสหายคนหนึ่งก็บุญเท่าไรแล้ว! ไป๋ฟางเซียนควรต้องดีใจและขอบคุณนางด้วยซ้ำที่คบหาด้วย นี่อะไร นอกจากไม่สำนึกแล้วยังยกตนมาเทียบเท่าเสมอนางอีก เมื่อเป็นเช่นนี้จะไม่ให้นางโกรธได้อย่างไร!
แต่ไหนแต่ไรก็มีแต่คนตามใจและเห็นด้วยกับคำพูดนางทุกครั้ง ทว่ามีเพียงมันคนเดียวเท่านั้นที่ขัดนางอยู่ร่ำไป จนหลายครั้งที่นางแทบสติหลุดต่อว่าให้เสียภาพลักษณ์ดอกบัวขาว ดีที่นางมีลี่หวาคอยเตือนสติ ไม่งั้นคนทั้งเมืองหลวงคงได้รังเกียจนางไปแล้ว
ยิ่งคิดนางก็ยิ่งโกรธ สองมือของโจวเฟิ่งจิ่วกำเข้าหากันแน่น เล็บจิกลงบนเนื้อบางจนเลือดแทบซิบ แต่นางไม่สนใจ ยังคงพยายามระงับความโกรธเกลียดของตนเองด้วยการทำร้ายตนเองเช่นนั้น สายตาของนางวาวโรจน์เต็มไปด้วยความเกลียดชัง ความดำมืดในจิตใจเริ่มสะท้อนออกมา ก่อนที่สายตาของนางจะเปลี่ยนเป็นสุขสมเมื่อนึกถึงเรื่องที่นางเพิ่งทำลงไป มุมปากสวยกระตุกยิ้มร้ายแล้วพูดว่า
“ใครขวางทางรักข้า ข้าจะไม่มีวันปล่อยมันไว้ เหตุการณ์ต่อจากนี้ไป ข้าก็หวังว่าเจ้าจะฉลาดพอว่าควรตัดสินใจและกระทำตนเช่นไร แต่ถ้าไม่! เจ้าก็อย่าคิดโทษข้าเลยสหายรัก หากจะโทษใครสักคน ก็โทษตัวเจ้าเองเถิดที่ไม่ยอมเจียมตนตั้งแต่แรก”