หลังจากแจกแจงและสั่งงานทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาเดินสำรวจตลาด ไป๋ฟางเซียนและจื่อถิงออกจากร้านเฟยเจินทันที ตอนนี้นางอยากใช้เงินตำลึงที่อยู่ในถุงอย่างมาก เป็นธรรมดาของสตรี เพราะสตรีไม่ว่ายุคสมัยใดล้วนชื่นชอบการจับจ่ายซื้อของทั้งสิ้น
ไป๋ฟางเซียนเดินเข้าร้านนั้นออกร้านนี้อย่างมีความสุข มือขวายังถือถังหูลู่ข้างทางที่ซื้อมากินไปด้วย ในมือของจื่อถิงก็มีเช่นเดียวกัน รสชาติถังหูลู่ที่นางไม่เคยกินของจีนโบราณนี่มันหวานมากและอร่อยยิ่ง แต่ถ้าให้กินทุกวันคงไม่ไหวอ้วนกันพอดี
“ไปไหนต่อเจ้าคะคุณหนู นี่ยามอู่[1] จวนจะยามเว่ย[2] แล้วนะเจ้าคะคุณหนูยังไม่ได้กินข้าวเลย ไปกินข้าวที่โรงเตี๊ยมก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ” จื่อถิงถามและเสนอขึ้นด้วยความเป็นห่วงคุณหนูของตน
“ข้าว่าไปร้านเครื่องประดับกันก่อน ส่วนข้าวค่อยไปกินยามเว่ยนะแล้วยามเซิน[3] ค่อยกลับจวนกัน”
เมื่อรู้ที่หมายจื่อถิงจึงพาไป๋ฟางเซียนไปยังร้านเครื่องประดับที่ใหญ่ที่สุดทันที แม้จะไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของนายสาว ทว่าก็ไม่ได้เอ่ยขัด เพราะถือว่าวันนี้คุณหนูทำงานใช้สมองขบคิดไปมากแล้ว ให้นางผ่อนคลายบ้างย่อมดีที่สุด
พอไปถึงร้านเครื่องประดับแล้วไป๋ฟางเซียนตื่นตาตื่นใจอย่างมาก แม้ว่ามันจะไม่ได้หรูหราเช่นโลกเดิม แต่สำหรับยุคจีนโบราณเครื่องประดับพวกนี้ก็หรูหรามากแล้ว และเช่นเดียวกันหากต้องการหรูหรามากกว่านี้สินค้าย่อมต้องถูกเก็บรักษาอย่างดีซึ่งราคาค่างวดของมันคงแพงตามไปด้วย
ไป๋ฟางเซียนค่อย ๆ เดินดูเครื่องประดับที่วางอยู่อย่างช้า ๆ กระทั่งสายตาของนางไปสะดุดกับปิ่นปักผมเงินชิ้นหนึ่ง หัวปิ่นถูกประดับด้วยดอกไม้สีขาวมีไข่มุกสีชมพูอยู่ตรงกลาง โดยรอบประดับด้วยหินสีชิ้นเล็ก ๆ ไป๋ฟางเซียนชอบมาก ดูเรียบแต่หรูหราสะดุดตานางยิ่ง มือเรียวบางหยิบปิ่นชิ้นนั้นมาแล้วเรียกจื่อถิงเข้ามาใกล้ จากนั้นปักปิ่นชิ้นดังกล่าวลงบนกลุ่มผมของสาวใช้คนสนิททันที
“คุณหนู... มันมากเกินไปเจ้าค่ะ”
“มากเกินไปอันใดเล่า ข้าแค่อยากซื้อให้เจ้า เจ้าก็รับไว้เถอะ แค่นี้เองเงินในถุงข้าไม่หมดหรอก”
คำตอบของเจ้านายสาวทำให้จื่อถิงซึ้งใจยิ่ง น้ำตาแห่งความดีใจเอ่อคลอไปทั่วดวงตาสวย พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ให้มันไหลออกมา มองคุณหนูของตนด้วยความเทิดทูน คุณหนูช่างดีจริง ๆ จื่อถิงสาบานกับตนเองซึ่งไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไร ว่าตัวนางจะไม่มีวันทำให้คุณหนูเสียใจเด็ดขาด รวมถึงจะดูแลคุณหนูอย่างดีให้สมกับที่นางได้รับความเมตตาด้วย
ไป๋ฟางเซียนไม่รู้ถึงความคิดของจื่อถิง แต่ถึงรู้นางคงไม่สนใจ สำหรับนางแล้ว หากดีกับนาง นางย่อมดีตอบและตอบแทน การซื้อปิ่นปักผมให้แค่ด้ามเดียวมันไม่ได้มากมายอะไรเลยสำหรับนาง
สองนายสาวเดินดูของในร้านและเลือกหากันอย่างสนุกสนาน เมื่อซื้อจนพอใจแล้วพลันหิวข้าวจึงพากันไปจ่ายเงิน เสร็จแล้วก็เดินออกจากร้าน ทว่าจังหวะที่นางเดินพ้นประตูร้านก็ชนเข้ากับบุรุษผู้หนึ่งเข้า
“โอ๊ย!”
“เป็นอะไรหรือไม่ ขอโทษเจ้าด้วยข้าไม่ทันระวัง” เสียงทุ้มรีบเอ่ยขอโทษพร้อมมองสำรวจสตรีตรงหน้าที่ถูกสาวใช้ประคองอย่างห่วงใย
ไป๋ฟางเซียนตวัดสายตากลมโตมองคนที่ชนนางอย่างจังด้วยอารมณ์กรุ่น ๆ ดีที่นางไม่ล้ม พอเห็นหน้าคนตรงหน้าก็เบิกตากว้าง
‘อะ... อี้ป๋อ’ นางพูดกับตนเองในใจ นี่มันอี้ป๋อตัวเป็น ๆ ไอดอลชายที่นางชื่นชอบ ไป๋ฟางเซียนระบายยิ้มเต็มใบหน้ามองอีกฝ่ายอย่างตื่นเต้น
“แม่นางเป็นอะไรหรือเปล่า”
“แม่นางเป็นอันใดหรือไม่” เห็นอีกฝ่ายไม่ตอบทั้งยังมองตนแปลก ๆ จึงได้เอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง
“อ๊ะ! เปล่า ๆ ข้าไม่เป็นอันใด” ไป๋ฟางเซียนสะบัดหัวไล่ความคิดอันยุ่งเหยิงออกไปพร้อมตอบกลับด้วยรอยยิ้ม และก็ได้รอยยิ้มจากคนหน้าเหมือนอี้ป๋อในโลกเดิมของตนตอบ นี่ทำให้นางตาพร่าอยากจับคนตรงหน้ามาฟัดให้รู้แล้วรู้รอด ทว่าต้องอดใจไว้เมื่อคนตรงหน้าไม่ใช่อี้ป๋อและยุคในโลกนี้ก็ไม่ได้เปิดกว้างเรื่องของความใกล้ชิดระหว่างชายหญิง ดวงตาระยิบระยับในตอนแรกกลับเศร้าสลดลงในพริบตา ทำเอาคนที่มองอยู่ตลอดรู้สึกแปลกใจไม่น้อย สตรีผู้นี้เปลี่ยนอารมณ์เร็วเสียจริง
“ขอโทษเจ้าด้วยที่เดินชน เป็นข้าที่ไม่ระวังให้ดีเกือบทำเจ้าเจ็บตัวแล้ว ข้าชื่อหยางตงเยว่ เจ้าเรียกข้าว่าตงเยว่ก็ได้ ดูท่าอายุของข้ากับเจ้าคงไม่ห่างกันมากนัก”
“อืม ข้าก็ขอโทษเจ้าด้วยที่ไม่ระวัง ข้าชื่อไป๋ฟางเซียน เจ้าเรียกข้าว่าฟางเซียน หรือเซียนเซียนก็ได้ ยินดีที่ได้รู้จัก” ไป๋ฟางเซียนบอกอีกฝ่ายให้เรียกนางด้วยชื่อของตนเองเพื่อเพิ่มความสนิทสนม ทั้งยังบอกให้อีกฝ่ายเรียกชื่อเล่นของตนเองอย่าง ‘เซียนเซียน’ เหมือนในโลกเดิมด้วย ที่บอกออกไปเช่นนี้เพราะอยากฟินนั่นแหละ ก็แหม... อีกฝ่ายหน้าเหมือนอี้ป๋อเลยนี่นะ ถูกคนหน้าเหมือนไอดอลที่ตัวเองชื่นชอบเรียกด้วยชื่อของตนอย่างสนิทสนมเช่นนั้นใครบ้างจะอดใจไหว อีกอย่างเมื่อได้รู้จักแล้วก็ต้องสนิทสิ คนตรงหน้าใช่คนขี้ริ้วขี้เหร่เสียเมื่อไหร่ นอกจากหน้าตาจะดีแล้วกิริยามารยาทยังดีอีกด้วย คนเช่นนี้น่าคบหามาก ไป๋ฟางเซียนชอบยิ่ง
“ยินดีที่ได้รู้จัก ว่าแต่เจ้าจะไปที่ใดรึ เหตุใดจึงได้ดูรีบร้อนนัก” หยางตงเยว่เอ่ยถาม
“ข้าหิว เลยว่าจะไปโรงเตี้ยมน่ะ” ไป๋ฟางเซียนฉีกยิ้มตอบ
“พอดีเลย ข้าก็จะไปที่นั่นเช่นกัน เราไปด้วยกันดีหรือไม่ ข้าจะได้เลี้ยงข้าวเจ้าเป็นการไถ่โทษด้วย... หากไม่รังเกียจเจ้ายินดีเป็นสหายข้าหรือไม่ อาจจะดูรวดเร็วไปบ้างแต่ข้ารู้สึกถูกชะตากับเจ้าอย่างบอกไม่ถูก ว่าเช่นไร อยากเป็นสหายข้าหรือไม่” หยางตงเยว่เอ่ยก่อนชะงักไปครู่แล้วจึงพูดชักชวนให้ไป๋ฟางเซียนเป็นสหายตน
อา... ออกจากจวนครั้งแรกนางก็ได้สหายแล้วหรือ ทั้งยังหน้าตาเหมือนไอดอลในดวงใจอีกด้วย ถ้านางออกมาทุกวันจะเจออะไรดี ๆ อีกบ้างนะ
“ว่าเช่นไร เป็นสหายกับข้าหรือไม่ ข้าไม่เคยมีสตรีเป็นสหายเลยนะ หากเจ้าตกลงเจ้าจะเป็นสตรีคนแรกที่เป็นสหายข้า ที่สำคัญบุรุษหน้าตาดีเช่นข้ามิได้หาได้ง่าย ๆ นา ตกลงเป็นสหายข้าเสียแต่ตอนนี้ คุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม” เห็นนางไม่ตอบรับทั้งยังเอาแต่มองเหม่อ หยางตงเยว่จึงถามขึ้นอีกครั้ง พลางเอ่ยถึงข้อดีของตนให้อีกฝ่ายได้ฟัง ไม่รู้เหตุใดเช่นกันที่ทำให้ตนอยากเป็นสหายกับคนตรงหน้า รู้เพียงว่าถูกชะตาจึงอยากคบหาด้วย จึงแอบหวังเป็นอย่างยิ่งที่นางจะตอบตกลงไม่ปฏิเสธ ซึ่งคำตอบที่ได้รับก็ไม่ทำให้เขาผิดหวัง
“ได้สิ ยินดีที่ได้รู้จักนะสหาย”
ไป๋ฟางเซียนที่หลุดออกจากภวังค์ความคิด ไม่คิดมากอันใดนักนางตกลงรับคำการเป็นสหายทันที จากนั้นทั้งสี่ก็ตรงไปที่โรงเตี้ยมชื่อดังด้วยกันทันที ที่บอกว่าทั้งสี่ก็เพราะอีกหนึ่งคนนั้นเป็นผู้ติดตามของหยางตงเยว่มีชื่อว่าเฉาหรานนั่นเอง
ขณะที่เดินไปโรงเตี๊ยมเพื่อกินอาหารไป๋ฟางเซียนก็อดคิดกับตนเองอย่างขบขันไม่ได้ มีสหายทันทีช่างรวดเร็วเสียจริง ประหนึ่งนั่งอยู่ในวงเหล้าที่ต่างคนต่างไม่รู้จัก ทว่าพอเมากลับพูดคุยกันอย่างถูกคอ ซ้ำยังเข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย พอฤทธิ์ความแรงของเหล้าหายไป สติคืนกลับ จากที่ไม่รู้จักกันในตอนแรกกลับกลายเพื่อนกันไปเสียแล้ว คิดแล้วก็ขำนัก มุมปากของนางกระตุกยิ้มขำเป็นระยะ ๆ สร้างความแปลกใจให้หยางตงเยว่ไม่น้อย
[1] ยามอู่ คือ 11:00 - 12:59 น.
[2] ยามเว่ย คือ 13:00 - 14:59 น.
[3] ยามเซิน คือ 15:00 - 16:59 น.