ด้านแม่ทัพหนุ่มหลี่เหวินหลางที่เดินออกมาจากเรือนของไป๋ฟางเซียนด้วยความหงุดหงิด ก็ตรงไปที่ค่ายทหารที่ตั้งอยู่นอกเมืองหลวงด้วยอารมณ์คุกรุ่น ไปถึงชายหนุ่มก็เรียกรวมพลทหารทั้งหลายแล้วทำการฝึกซ้อมอย่างหนักทันที
บรรยากาศรอบตัวแสนขมุกขมัวที่หลี่เหวินหลางตั้งใจปล่อยออกมานั้น ทำให้ไม่มีทหารคนใดกล้าเข้าไปใกล้หรือขัดคำสั่ง และคิดจะหยุดพักเลยสักนิด แม้ว่าตนเองจะเหนื่อยมากแล้วก็ตาม ทว่าก็มีอยู่หนึ่งคนที่กล้าเปิดปากถาม พร้อมไล่ทหารที่ถูกฝึกไปพักผ่อนทันที
“หงุดหงิดอันใดของเจ้าอาเหวิน เหตุใดจึงต้องมาลงกับทหารชั้นผู้น้อย” ซูเฉิน สหายสนิทของหลี่เหวินหลางพ่วงตำแหน่งกุนซือหนุ่มมากความสามารถของกองทัพเอ่ยถามอย่างไม่เกรงกลัว
หลี่เหวินหลางปรายสายตามองสหายตนเองเล็กน้อย ก่อนจะดึงสายตากลับไปโดยไม่พูดอะไร ซูเฉินมองสหายตนอย่างจับผิด กุนซือหนุ่มหรี่สายตาลงพลางครุ่นคิด ก่อนจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้ แล้วพูดมันออกไป
“อย่าบอกนะว่าเจ้าทะเลาะกับภรรยาของเจ้ามา”
“นางหาใช่ภรรยาข้า!” หลี่เหวินหลางปฏิเสธเสียงแข็ง พร้อมมองไปยังสหายของตนด้วยสายตาไม่พอใจ เพียงแต่ว่ากุนซือหนุ่มหาได้เกรงกลัวสายตาของอีกฝ่ายไม่ เขายังคงแย้มยิ้มเต็มใบหน้า และพูดความจริงออกมาว่า
“เจ้าพูดเช่นนี้ก็ไม่ถูก ในเมื่อเจ้าแต่งกับนางแล้ว นางย่อมต้องเป็นภรรยาเจ้า”
“เหอะ ข้าต้องการแต่งกับนางเสียเมื่อไหร่” หลี่เหวินหลางแย้งด้วยความไม่พอใจ ยิ่งคิดถึงคำพูดของนาง ก่อนที่เขาจะออกจากจวน ก็ยิ่งรู้สึกโมโห อวดดีปากเก่งเช่นนั้นจะเป็นภรรยาของเขาได้อย่างไร ถึงสถานะจะใช่ แต่เขาไม่ยอมรับเสียอย่าง ใครจะว่าอะไรได้
“เจ้าเกลียดนางขนาดนั้นเชียว”
“ใช่ ข้าเกลียดนาง นางเป็นสตรีน่ารังเกียจ” หลี่เหวินหลางตอบรับแทบจะทันที เมื่อกุนซือหนุ่มมองใบหน้าและแววตาของเขาแล้วก็พบว่า สหายตนคนนี้ เกลียดภรรยาของตัวเองจริง ๆ
“น่ารังเกียจที่ใดกัน ข้าว่านางก็น่ารักดี หน้าตาหรือก็งดงาม เป็นถึงสตรีงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวง ตาเจ้าบอดแล้วหรือไม่อาเหวิน”
“หน้าตานางงดงามจริงข้ายอมรับ แต่นิสัยนางนั้นน่ารังเกียจยิ่งกว่าสัตว์ร้ายเสียอีก”
ยิ่งพูดความชิงชังของอีกฝ่ายก็ยิ่งฉายชัดจนกุนซือหนุ่มอดจะแปลกใจไม่ได้ แต่งงานกันมาร่วมเดือน เขาคิดว่าหลี่เหวินหลางและไป๋ฟางเซียนจะคืนดีกันแล้วเสียอีก
“ข้าถามเจ้าจริง ๆ เถิดอาเหวิน ระหว่างเจ้ากับนางเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดเจ้าจึงได้จงเกลียดจงชังนางนัก ทั้ง ๆ ที่นางจงรักและเทิดทูนเจ้าเสียขนาดนั้น ข้าจำได้ว่าเมื่อก่อนเจ้าหาได้เป็นเช่นนี้ ยามนางยังเด็กที่มาจวนของเจ้าใหม่ ๆ เจ้ายังดีต่อนางอยู่เลยมิใช่หรือ มิหนำซ้ำยังสนิทกัน เจ้าก็ดูออกจะรักและเอ็นดูนางไม่น้อย เหตุใดตอนนี้จึงเป็นเช่นนี้ไปได้เล่า หรือที่เป็นเจ้าเป็นเช่นนี้เป็นเพราะว่าต้องใกล้ชิดกับบุตรสาวของเสนาบดี
โจวเหลียงเกา” ซูเฉินอดเอ่ยปากถามในสิ่งที่ตนสงสัยมานานไม่ได้จริง ๆ
หลี่เหวินหลางนิ่งงันไปกับคำถามของสหาย พลางหวนคิดถึงความทรงจำในอดีต แม่ทัพหนุ่มยอมรับว่าเมื่อก่อนตนรักและเอ็นดูนางประหนึ่งน้องสาวแท้ ๆ หากแต่ความรู้สึกเกลียดชังอย่างรุนแรงที่เขามีต่อนางในตอนนี้ มันไม่ได้เกิดขึ้นมาลอย ๆ อย่างไม่มีเหตุผล และไม่ได้เกี่ยวข้องกับโจวเฟิ่งจิ่วด้วยเช่นกัน การที่เขาเกลียดชังไป๋ฟางเซียน แน่นอนว่าย่อมมีเหตุผลของมัน แม่ทัพหนุ่มนั่งนิ่งจมไปกับหนหลัง พลางขบคิดกับตนเองว่า หากเหตุการณ์นั้นไม่เกิดขึ้น เขาจะรู้สึกรังเกียจนางเช่นนี้หรือไม่ ทว่าไม่ว่าเขาจะคิดอย่างไรก็ไม่อาจตอบตนเองได้ และไม่ว่าอดีตเขาจะเคยรู้สึกกับนางเช่นไรมันก็ไม่สำคัญอีกต่อไป ความรู้สึกของเขาในตอนนี้ไม่อาจกลับไปรู้สึกกับนางดังเดิมได้อีกแล้ว ไม่อาจจริง ๆ
“ว่าเช่นไรเล่าอาเหวิน” เมื่อไม่เห็นสหายตอบซูเฉินจึงถามอีกครั้ง หลี่เหวินหลางมองสหายด้วยสายตาเรียบนิ่ง ก่อนที่เขาจะหันหน้าไปมองอย่างอื่น แม้เขาจะเกลียดชังไป๋ฟางเซียนมากเท่าใด ทว่าก็ไม่อาจกล่าวถึงเหตุการณ์นั้นให้ใครฟังได้เช่นกัน แม้อีกฝ่ายจะเป็นถึงสหายตนก็ตาม คิดได้เช่นนั้นจึงได้ส่ายหน้าไปมาให้กับคนที่จ้องมองเขาอย่างรอคอยคำตอบเท่านั้น
“แล้วนางทำอันใดต่อเจ้า เจ้าถึงได้ดูโกรธและมาลงกับทหารชั้นผู้น้อยแบบเมื่อสักครู่นี้” คำถามแรกไม่ได้คำตอบ ซูเฉินก็ไม่คิดดึงดันอีก แต่ว่าเหตุการณ์เมื่อสักครู่ เขาไม่ถามไม่ได้จริง ๆ การที่สหายของตนเอาอารมณ์ที่มีมาลงกับทหารใต้บังคับบัญชา นับว่าเป็นเรื่องที่แปลกเป็นอย่างมาก
“นางทำให้ท่านแม่ต่อว่าข้า... เรื่องมันเป็นแบบนี้” เห็นสายตาสงสัยของสหาย ทั้งคำถามแรกก็ไม่ได้ตอบออกไป ครานี้แม่ทัพหนุ่มจึงตั้งใจตอบคำถาม และเล่าให้อีกฝ่ายฟังตั้งแต่ต้นจนจบ
“แต่สิ่งที่เจ้าทำมันก็ไม่ถูกนี่ มีอยากที่ไหน ภรรยานอนป่วยอยู่ในจวนแต่เจ้ากลับไม่สนใจ ทั้งยังไปเยี่ยมสตรีอื่นอีกต่างหาก พอนางหายดี เดินเหินได้สะดวกขึ้น เจ้ากลับพาสตรีผู้นั้นมาเยี่ยมนางถึงในจวน หากนางจะทำร้ายคนที่ทำร้ายความรู้สึกของนางก็ไม่ใช่เรื่องผิดมิใช่หรือ”
“นี่เจ้าเข้าข้างนางหรือ อาเฉิน เจ้าไม่รู้จักนางนะ!”
“แล้วอย่างไร ใครใช้ให้นางน่าสนใจเล่า ที่สำคัญข้าหาได้เข้าข้าง ข้าแค่พูดตามหลักความเป็นจริงเท่านั้น”
“เหอะ” แม่ทัพหนุ่มแค่นเสียงในลำคอสะบัดหน้าหนีสหาย ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าสหายที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก เล่นและเติบโตมาด้วยกัน จนกลายมาเป็นบุคคลที่มีความสำคัญของกองทัพเช่นกัน จะเข้าข้างคนอื่นได้ลงคอ ซ้ำคนคนนั้นยังเป็นคนที่เขารังเกียจ!
“อย่างอนไปเลยนา... เจ้าทำนิสัยเหมือนสตรีอีกแล้วนะ”
“ข้าหาได้งอนไม่ เจ้าอย่าได้ปรักปรำข้า”
“โอ... อย่างงั้นหรอกรึ ข้าคงเข้าใจผิดไปสินา” กุนซือรูปงามพูดแล้วก็พยักหน้าไปด้วยเพื่อเสริมคำพูดตนเอง รอยยิ้มล้อเลียนแต่งแต้มอยู่บนใบหน้า ทำให้หลี่เหวินหลางยิ่งหงุดหงิด
“เอาละ ๆ ข้าไม่ล้อเลียนเจ้าแล้วก็ได้ แต่เจ้าบอกข้าทีว่าเจ้ารักแม่นางเฟิ่งจิ่ว บุตรสาวเสนาบดีกรมคลังตระกูลโจวจริงหรือ” กุนซือหนุ่มถามด้วยใบหน้าจริงจัง หลี่เหวินหลางมุ่นคิ้วเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงปกติว่า
“รูปโฉมนางก็ดี กิริยามารยาทเรียบร้อย จะแปลกอันใดหากข้าจะสนใจนาง เจ้าว่าจริงหรือไม่อาเฉิน”
“เจ้าตอบไม่ตรงคำถามอาเหวิน ข้าถามเจ้าว่าเจ้ารักนางหรือ”
“รักหรือไม่เกี่ยวอันใดกับเจ้ากันหรือว่า... เจ้าชอบนาง? หากเจ้าชอบข้าสามารถหลีกทางให้ได้ขอเพียงเจ้าเอ่ยปาก”
“ไม่ละ เจ้าอย่าได้เข้าใจผิด ข้าไม่ได้ชอบนาง หากข้าจะสนใจใครสักคนคงเป็นภรรยาของเจ้าอย่างฟางเซียนกระมัง”
ได้ยินคำพูดของสหายที่สนใจภรรยาในนามของตน หลี่เหวินหลางก็อดตีหน้ายุ่งไม่ได้ เขามองไปยังกุนซือหนุ่มด้วยสายตาไม่พอใจอย่างไม่ปิดบัง
“หึหึ อันใดเล่า ในเมื่อเจ้าก็ไม่ได้ชอบพอนางแล้วจะหึงหวงไปทำไม เกลียดนางนักไม่สู้ให้ข้าที่สนใจนางได้เรียนรู้นิสัยของนางเล่า” กุนซือหนุ่มยังตีรวนไม่เลิก ไม่สนใจสายตาโกรธเคืองของแม่ทัพหนุ่มเลยสักนิด
“แต่นางเป็นภรรยาข้า เป็นฮูหยินของข้า!”
“แล้วอย่างไร เจ้าหาได้รักนางเสียหน่อย ที่สำคัญเจ้ากับนางก็ยังไม่ได้เข้าหอกัน ดังนั้นข้าไม่ถือ”
“นี่เจ้า!” หลี่เหวินหลางหมดคำจะพูดกับสหายผู้นี้แล้วจริง ๆ สองมือใหญ่กำเข้าหากันแน่นอย่างสะกดกั้นอารมณ์ ไม่คิดเลยว่าสหายที่ไม่คิดสนใจสตรีใดจะหมายปองอยากได้ภรรยาของตนเองเช่นนี้
“ใจเย็นก่อน ข้ารู้น่าว่าอะไรควรไม่ควร ที่สำคัญ ข้าหาได้สนใจนางฉันชู้สาวไม่”
หลี่เหวินหลางหันไปมองสหายอย่างต้องการคำตอบ สายตากดดันที่ถูกส่งออกไปนั้นทำเอาซูเฉินหัวเราะ ก่อนจะรีบพูดความรู้สึกของตนไปอย่างรวดเร็ว
“ที่บอกว่าสนใจก็เพราะ ข้าสนใจหลังนางฟื้นขึ้นมาต่างหาก ฟังจากที่เจ้าเล่าให้ฟังแล้ว ข้าว่านางดูฉลาดขึ้น” ซูเฉินเอ่ยตามที่ตนคิด สายตาของเขาหรี่แคบ คิดถึงคำบอกเล่าของสหายอยู่ตลอด
“อย่างไร”
“ไม่รู้สิ รู้แค่ว่านางน่าสนใจ”
“สตรีร้ายกาจเช่นนางเจ้าจะสนใจไปทำไม เสียเวลา”
“นั่นสินะ เสียดายจริง”
“เสียดายอันใดของเจ้า”
“เสียดายที่นางมิใช่ภรรยาของข้า ไม่เช่นนั้น ข้าคงจับตาดูนางอย่างใกล้ชิดไปแล้ว”
‘จับตาดูอย่างใกล้ชิดงั้นหรือ’ หลี่เหวินหลางทวนคำพูดของสหายในใจ พลางขบคิดบางอย่างกับตนเองไปด้วย
“เอาละ ข้าไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ถ้าเจ้าไม่สนใจนางจริงจนเลิกรากันก็บอกข้าเล่า ข้าพร้อมดูแลหัวใจเปราะบางของสตรียิ่ง ยิ่งรูปโฉมงดงามเป็นอันดับหนึ่งอย่างนางด้วยแล้ว ข้าพร้อมอย่างมาก”
“เจ้า!”
หลี่เหวินหลางอยากต่อว่าสหายมากกว่านี้ก็พูดไม่ได้ เพราะเจ้าตัววิ่งออกไปไกลแล้ว เขาจึงทำได้เพียงฮึดฮัดกับตนเองเท่านั้น ขณะเดียวกันก็คิดถึงเจ้าของชื่อที่ถูกพูดถึงอยู่ด้วยเช่นกัน สตรีร้ายกาจนางนั้น ไม่เห็นมีอันใดน่าสนใจเลยสักนิด ดูท่าสหายของเขาคงหน้ามืดตาบอดแล้วกระมัง ที่คิดสนใจนาง