เฉินหมิงยิ้มกรุ้มกริ่มเมื่อนึกถึงเรื่องราวคืนนั้น เขาชอบเสียงหวานๆ ยามครวญครางของเจ้าหล่อน แต่ก็ชอบตอนที่เธอด่าไฟแลบเหมือนกัน มันเร้าใจดี
“ฉันว่านะ หล่อๆ แบบคุณไปหาเอาข้างหน้าดีกว่า หรือถ้าขี้เกียจหาก็ซื้อกินเลย คุณรวยไม่ใช่เหรอ” เธอมองสบตาคนตรงหน้าก่อนจะพูดต่อ “อย่ามายุ่งกับฉันเลยดีกว่า ตอนนี้ฉันพึ่งอกหัก ไม่มีอารมณ์จะจิ๊จ๊ะกับผู้ชายคนไหนทั้งนั้น”
คนฟังทำตาลุกวาว “งั้นก็แสดงว่าตอนนี้หัวใจมะปรางว่างร้อยเปอร์เซ็นต์เลยอะดิ ยังไม่มีแฟน ไม่มีคนคุยใช่มั้ย”
หญิงสาวเหลือบตามองเจ้าของคำถาม “อื้อ ก็ประมาณนั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าฉันจะเปิดรับคุณเข้ามาหรอกนะ เพราะฉันไม่เชื่อว่าคุณชอบฉันจริงๆ”
“ทำไมล่ะ ปรางไม่เคยได้ยินเหรอ รัก-แรก-พบ”
“แหวะ! ไม่ต้องมาทำเป็นบอกว่ารักแรกพบ ครั้งแรกที่เราพบกัน ฉันไม่รู้สึกสักนิดว่าคุณปิ๊งฉัน เดินเข้ามาก็มาหยอดคำหวานใส่ยัยกวางไม่ยั้ง แถมยังด่าฉันว่าแบนราบยังกับไม้กระดานโดนรถสิบล้อทับ”
“เราอาจจะเคยเจอกันก่อนหน้านั้นก็ได้”
เธอไม่เข้าใจที่เขาพูด “หมายความว่ายังไงคุณ เราสองคนเคยเจอกันมาก่อนเหรอ” คิ้วโก่งขมวดเข้าหากัน สมองทำงานอย่างหนักจนส่งผลทำให้เจ้าตัวเครียด
“ลองคิดดูดีๆ สิ”
“คุณ.. เฉินหมิง” กว่าจะรวบรวมเรี่ยวแรงแล้วเปล่งเสียงออกมา มันช่างยากเย็นเหลือเกิน
คนตรงหน้าชื่อเหมือนผู้ชายคนนั้น แต่คงไม่..
“เราไม่เคยเจอกันมาก่อนใช่ไหมคะ ใช่ไหม” ยามนี้หัวใจดวงน้อยเต้นตุบตับเพราะหวั่นกลัวว่าสิ่งที่ตัวเองคิดมันจะเป็นเรื่องจริง
เฉินหมิงใช้มือจับปลายคางเรียวมนอย่างถือวิสาสะ เขาจ้องมองดวงตาคู่หวานตรงหน้าแล้วเผยอยิ้ม “มะปราง.. จำเฮียไม่ได้จริงๆ เหรอ”