โลกสดใส

2264 Words
ฉันเดินขึ้นมาบนบ้านก่อนจะวางกระเป๋าของตัวเองและพิงร่างกายลงบนพนักเก้าอี้อย่างรู้สึกเหนื่อยล้า พลางสายตาก็เลื่อนมองออกไปที่หน้าต่างของห้องนอนตัวเองแล้วก็รู้สึกแปลก ๆ ชอบกลที่ตัวเองกลับมาที่บ้านก่อนค่ำ พ่อกับแม่ของฉันที่เห็นยังตกใจเลยไม่เว้นแม้แต่ตัวของฉันเอง ฉันเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าและเปิดมันเพื่อหวังที่จะนำการบ้านขึ้นมาทำเพราะอย่างไรวันนี้ฉันก็ว่าง ๆ แล้วก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว ก่อนจะเบิกตาโพล่งอย่างตื่นตกใจเล็กน้อยที่กระเป๋าใบนี้มันไม่ใช่ของฉัน...แต่กลับเป็นของไอสกายไปเสียได้ ฉันนึกย้อนความกลับไปเมื่อประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนและก็ร้องอ๋อออกมาในทันควัน ก่อนที่ไอสกายจะแยกไปหาเพื่อนที่สนามบอลฉันกับมันได้ไปนั่งแวะทานก๋วยเตี๋ยวกันก่อนที่ฉันจะเดินเท้ากลับมาที่บ้าน แต่ฉันก็ไม่ได้กังวลอะไรเท่าไหร่เพราะวิชาที่มีการบ้านมันไม่ต้องส่งภายในวันพรุ่งนี้ “พรุ่งนี้เช้าค่อยถือไปเปลี่ยนมันหน้าบ้านแล้วกัน” และฉันก็วางกระเป๋าลงไปที่เก่าโดยไม่ใส่ได้ใจ แต่กลับไม่ระวังตัวจนเผลอทำกระเป๋าตกลงมาที่พื้นเสียได้ ข้าวของที่อยู่ในกระเป๋ากระจัดกระจายออกมาให้ฉันถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะเอื้อมมือไปเก็บมันขึ้นมา ถุงพลาสติกที่อยู่ในกระเป๋าก็เทกระจาดเผยให้เห็นหน้าปกของหนังผู้ใหญ่จนฉันสะดุ้งและเผลอชักมือกลับมาทันทีตามสัญชาตญาณ หัวใจของฉันกำลังเต้นระส่ำเพราะถึงแม้ฉันจะไม่ได้แตะต้องมันแต่ภาพวาบหวิวมันก็ยังปรากฏอยู่ในสายตา ฉันเอื้อมมือไปหวังจะหยิบมันเข้าไปในกระเป๋าด้วยหัวใจที่ประหม่าแต่แล้วฉันก็เกิดอยากจะพิสูจน์อะไรบางอย่างกับตัวเอง ฉันมองไปที่รูปนั้นด้วยหัวใจที่สั่นไหวเพราะฉันไม่เคยเห็นเรือนร่างของใครมาก่อนเว้นแต่ของตัวเอง ภาพหน้าปกมันเป็นภาพของชายหญิงคู่หนึ่งที่กำลังโป๊เปลือยเตรียมการทำกิจกรรมอย่างว่า แต่ฉันกลับจ้องมองไปที่เรือนร่างของผู้หญิงโดยที่ฉันไม่สามารถจะละสายตาออกไปจากเธอได้เลย ผู้หญิงในภาพมีรูปร่างที่สมส่วนและสวยงาม ตรงข้ามกับผู้ชายที่ฉันมองว่าเรือนร่างของเขาดูทะมัดทะแมงและไม่น่าสบมอง ฉันมองเลยไปที่อวัยวะส่วนล่างก่อนที่ตัวเองจะทนดูไม่ไหวและเก็บมันยัดใส่เข้าไปในกระเป๋าดังเดิมทั้งหัวใจที่สั่นไหว มันชัดเจนแล้วใช่ไหมว่าสิ่งที่ฉันอยากมองและอยากที่จะใช้มือสัมผัส...มือคือเรือนร่างนุ่มนิ่มของผู้หญิงหาใช่รูปร่างกล้ามใหญ่ของผู้ชาย แล้วนี่มันใช่เหตุผลหรือเปล่า...ว่าทำไมฉันถึงได้ตกหลุมรักมายด์เข้าให้อย่างจังเพียงได้เจอหน้าที่สวยงามของเธอแค่เพียงครั้งเดียว จะว่าไปแล้ว...เรือนร่างของเธอจะสมส่วนสง่างามเสมอกับผู้หญิงที่อยู่ในหน้าปกนั่นหรือเปล่านะ?  !!!! “ไอบีม! คิดอะไรของแกวะเนี้ย!” ฉันตบหน้าตัวเองตังเพี๊ยะก่อนจะลุกขึ้นยืนและวิ่งปรี่ไปล้างหน้าในห้องน้ำโดยทันที ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบกับกระจกที่อยู่ตรงหน้า และกำลังได้พบเห็นว่าตอนนี้หน้าของฉันกำลังแดงมาก ๆ จนคล้ายว่าจะเป็นไข้ คำถามที่ฉันถามตัวเองเมื่อครู่ก็ฉายขึ้นมาในสมองอีกครั้งให้ฉันตบหน้าตัวเองไปฉาดใหญ่อีกหนึ่งทีเพื่อลบภาพลามกและความคิดสกปรกแบบนั้น “มีสติหน่อยตัวฉัน! ฉันจะอยากรู้ไปทำไมเรื่องเรือนร่างของมายด์น่ะ!!!” “ไอบีม วันนี้ดูไม่ค่อยสดชื่นเลยนะ” ฉันหันหน้าไปหาปุ๊กและมองที่หน้าของเพื่อนสาวในเวลาบ่ายโมงอย่างไร้ซึ่งความหวัง ฉันนอนไม่หลับทั้งคืนเพราะไอปกลามกนั่นปกเดียวเลยให้ตายเถอะ! “เออจริง เป็นอะไรปะเนี้ย!” แบมเอื้อมมือมาอังหน้าผากของฉันราวกับว่าวัดไข้ ก่อนมันจะชักมือกลับไปและมองหน้าของฉันอย่างคนที่ต้องการคำตอบ “ไม่มีอะไร เมื่อคืนแค่นอนไม่ค่อยหลับ” ฉันตอบกลับไปอย่างไม่ใส่ใจและกลับไปเหม่อลอยอีกครั้ง ไม่อยากจะคิดเลยว่าตัวเองเป็นคนบ้าบอแบบนี้ ถ้าเกิดว่ามายด์หรือใครรู้เข้าว่าฉันคิดกับเธอแบบนั้น...ฉันจะยังมีหน้าไปเจอกับเธอได้อีกอย่างไรบ้าจริง! “เย็นนี้ไปกินไอติมกันอีกดีม้ะ วันพุธลด 10% พอดี” ปลาพูดออกมาอย่างถามความคิดเห็น ก่อนที่เสียงรอบ ๆ ข้างของฉันจะเออออและดีด๊าตามเพราะเห็นแก่ส่วนลด “เมื่อวานตอนจ่ายเงินฉันได้คูปองลด 10% จากร้านมาด้วยนะ เราไปเติมความหวานกันดีกว่า อิอิ” “ขอบายนะวันนี้เหนื่อย ๆ” ฉันตอบและกลับไปนั่งเหม่อลอยอีกครั้ง ในใจลึก ๆ ก็กลัวจะเจอเรื่องบังเอิญเกี่ยวกับมายด์อีก ตอนนี้ฉันไม่มีหน้าที่ไหนจะไปเจอมายด์ได้แล้ว ฉันรู้สึกผิดกับเธอเป็นบ้า ทั้ง ๆ ที่เรื่องนี้มันก็เป็นแค่จิตนการของฉันเองฝ่ายเดียวเท่านั้นก็ตาม “เอ้าได้ไง จะไปก็ไปด้วยกัน” ปลาไม่ยอมแพ้และเอื้อมมือมาเขย่าตัวของฉัน “ใช่ ถ้าวันนี้แกไม่ไปเราจะไปด้วยกันวันอื่น ตกลงตามนั้น” และฉันก็ได้แต่นั่งมองอย่างไม่ออกความคิดเห็น พลางคิดในใจว่าเลิกเรียนวันนี้แล้วฉันจะมุ่งตรงกลับบ้านไปสงบสติตัวเองในทันที แล้วทำไมเรื่องมันถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้? ฉันกำลังยืนงงกับตัวเองในเวลา 4 โมงเย็นที่ห้างประจำที่ฉันจะต้องมาตอนเย็นอยู่เป็นประจำ ทั้ง ๆ ที่ตั้งใจจะมุ่งหน้ากลับบ้านแท้ ๆ แต่เพราะความเคยชินสินะถึงทำให้ฉันมาหยุดยืนอยู่ตรงนี้ได้น่ะ... “เดินเล่นสักพักค่อยกลับแล้วกัน” ฉันพึมพำกับตัวเองพลางหยิบเครื่องเล่น MP3 ขึ้นมาเสียบหูฟังและเปิดเพลงที่ฉันนั้นโปรดปราน เพลงช้าดำเนินผ่านไปเรื่อย ๆ อย่างไม่เร่งรีบนักให้ฉันกำลังดื่มด่ำกับบรรยากาศรอบ ๆ กายที่ราวกับว่าตัวเองหลุดเข้าไปอยู่ในเพลงนั้น ท่อนประโยคที่ว่า เธอช่างสวยและน่าค้นหา มันพาให้ฉันเผลอคิดไปถึงเธอคนนั้นอีกครั้ง รอยยิ้มที่เจิดจ้าเฉิดฉายของเธอต่อให้ฉันต้องมองอีกสักกี่ล้านครั้งฉันก็ไม่มีวันจะเบื่อเลย ฉันยกยิ้มออกมาพลางเดินต่อไปเรื่อย ๆ อย่างคนที่ไร้ซึ่งจุดหมาย รอบข้างของฉันมีทั้งคู่ชายหญิงและเพื่อนสนิทกำลังเดินจับมือกันและหัวเราะเริงร่าราวกับโลกนี้มีเพียงเราสอง ฉันยังพาตัวเองเดินต่อมาเรื่อย ๆ ก่อนในที่สุดเพลงที่ฉันโปรดปรานจะดับลงเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ขาของฉันหยุดชะงักที่หน้าสถาบันเรียนพิเศษของมายด์... ฉันมองเข้าไปที่ด้านในเห็นเด็ก ๆ รุ่นราวคราวเดียวกับฉันกำลังนั่งหัวเราะคิกคักอย่างมีความสุข ฉันหันมองที่นาฬิกาเรือนใหญ่ในห้างอีกครั้งก็เผยรอยยิ้มออกมาก่อนจะพาร่างของตัวเองไปนั่งรออยู่แถว ๆ นั้นเพื่อหวังได้เห็นหน้าเธอเพียงเล็กน้อยในวันนี้ก็ยังดี บทเพลงต่อไปยังคงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเข็มยาวหยุดอยู่ที่เลขห้า ร่างผอมเพรียวของคนที่ฉันเฝ้ารอก็เดินอย่างเฉิดฉายราวกับดวงตะวันเข้ามาใกล้กับผองเพื่อนของเธอคนเดิม ๆ และเมื่อนั้นก็ราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุนได้อีกครั้ง ฉันสบมองไปที่เธอ...ที่ราวกับดวงตะวันส่องแสงทุกย่างกรายทุกฝีก้าวราวกับคนที่ตกอยู่ในห้วงภวังค์ ลมที่พัดเอื่อยเอ่ยพัดผ่านตัวของเธอไปให้ผมหางม้าของเธอนั้นปลิวไสวไปตามสายลม เพลงที่ฉันฟังอยู่เพราะขึ้นมาเมื่อที่ตรงนี้มีเธออยู่ ก่อนในที่สุดร่างของเธอก็หยุดยืนอยู่ที่หน้าสถาบันเรียนพิเศษให้ฉันลุกขึ้นยืนด้วยหัวใจที่พองโตเตรียมตัวจะกลับบ้านได้แล้วเพราะภารกิจของฉันในวันนี้ได้เสร็จสิ้นลง “บีม...” เสียงหวานแผ่วเรียกไกล ๆ จากทางด้านหลังให้ฉันที่ได้ยินแว่ว ๆ ได้แต่เลิกคิ้วแต่ก็ไม่ได้คิดจะหันกลับไปสบมองเพราะคงไม่มีใครเรียกฉัน จะว่าไปแล้วชื่อของฉันก็โหลด้วยหรือเปล่า? คนบนโลกนี้จะมีสักกี่คนที่ชื่อบีมกันนะ? “บีม บีมใช่ไหม?” แต่เสียงมันยิ่งใกล้จนฉันได้แต่สงสัยและคิดว่าหันไปสักหน่อยคงจะไม่เสียหาย และสุดท้ายฉันก็ตัดสินใจที่จะหันกลับไปสบมองทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าชื่อนั้นไม่ได้เรียกฉันหรอก “เอ่อ...” แต่แล้วร่างของฉันที่ยืนอยู่ก็แทบจะล้มตึงลงไปเพราะคนที่เอ่ยเรียกชื่อบีมนั่นเธอกำลังหมายถึงว่าเรียกฉัน ฉันถอดหูฟังที่สวมใส่อยู่ก่อนจะสบมองไปที่ใบหน้าของเธออย่างคนที่เขินอายและทำตัวไม่ถูก ฉันเผลอยกกระเป๋าขึ้นมากอดเอาไว้โดยไม่ทันรู้สึกตัว และรู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองมันร้อนมาก ๆ ร้อนเสียจนฉันอยากจะเอาหน้าไปจุ่มน้ำเสียตอนนี้เลย “วะ ว่าไง...มายด์” “ว่าแล้วว่าไม่ได้จำผิด ตกลงชื่อบีมใช่ไหม?” ตึกตัก ตึกตัก หัวใจของฉันสั่นไหวอย่างหนักจนฉันได้แต่กอดกระเป๋าของตัวเองเอาไว้แน่นอย่างขวยเขิน เธอเอ่ยเรียกชื่อฉันด้วยเสียงหวานอีกครั้งและยกยิ้มออกมาจนเต็มใบให้ฉันได้แต่เบือนหน้าหนีเพราะไม่อาจจะทนรับความสว่างไสวราวกับแสงแดดที่เจิดจ้านี้ได้ “ชะ ใช่ บีมเอง...” “ว่าแต่มารอใครเหรอ รอสกายหรือเปล่า?” ท้วงท่าที่น่ารักและเป็นกันเองของเธอกำลังทำให้ฉันเขินหนัก ฉันมองเลยไปที่ด้านหลังก็เห็นว่าเพื่อน ๆ ของเธอก็กำลังสบมองมาที่เราอยู่ให้ฉันยิ่งรู้สึกทำตัวไม่ถูกคูณสอง “อ๋อเปล่า ๆ พอดีมาเดินเล่น กำลังจะกลับแล้วล่ะ” “แล้ววันนี้ไม่ซ้อมดนตรีเหรอ?” ตึกตัก ตึกตัก เธอรู้ได้ไงกันว่าฉันเป็นนักดนตรี? “เห็นสกายเคยบอกกับมายด์ว่ามีซ้อมทุกเย็นน่ะ” “อ๋อ” เป็นว่าเรื่องมันเป็นแบบนี้... “พอดีร้านประจำของพวกเราหยุดสามวันน่ะ ช่วงนี้เลยว่าง ๆ” “งั้นเองเหรอ?” เธอทำหน้าเสียดายขึ้นมาให้ฉันได้แต่สงสัยว่าเพราะอะไร...ทำไมเธอถึงต้องทำหน้าแบบนั้น “ไว้ว่าง ๆ เรากับมายด์ขอไปดูพวกเธอซ้อมได้ไหม? จริง ๆ เราอยากเล่นดนตรีมากเลยแต่ว่าพ่อกับแม่ให้เรียนพิเศษน่ะ” ตึกตัก ตึกตัก นี่ฉันได้ยินไม่ผิดใช่ไหม? เธอกำลังจะก้าวเข้ามาในโลกของฉันแล้วหรือเปล่า? “แต่ถ้ามันจะเกะกะพวกเธอก็ไม่เป็นไรนะ เรา...” “ไม่เลย ๆ เรายินดีมาก ๆ ถ้าเธออยากจะไปดูพวกเราซ้อม” ฉันรีบตอบออกไปเพราะไม่ชอบเห็นใบหน้าหงอย ๆ ของคนตรงหน้าแบบนั้นเลย เธอเหมาะกับรอยยิ้มมากกว่าเป็นไหน ๆ นะยัยหางม้า “งั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นห้องซ้อมดนตรีของพวกเธอเปิดแล้วอย่าลืมมาบอกด้วยนะ เราตั้งหน้าตั้งตารอที่จะฟังเพลงของพวกเธอเลย!” เธอยกยิ้มออกมาทั้งดวงตาเป็นประกายฉายแววสดใส และนั่นมันทำให้คนสบมองอย่างฉันราวกับโลกทั้งใบมีแต่ออร่าของความน่ารักจากผู้หญิงคนนี้ ฉันตกหลุมรักเธอจนหาทางออกไม่เจอแล้วจริง ๆ “งั้นเราขอตัวไปเรียนก่อนนะ อย่าลืมติดต่อมาล่ะ” และเธอก็โบกมือลาฉัน ให้ฉันที่กำลังตกอยู่ในห้วงภวังค์ได้แต่มองตามเธอไปจนกระทั่งร่างของเธอเดินลับตาเข้าไปในสถาบันเรียนพิเศษนั้น ในใจของฉันกำลังเต้นสั่นระรัวอย่างหนักกับความรุนแรงในด้านความน่ารักของเธอ ที่ทำให้โลกของฉันราวกับว่าเป็นสีชมพู และเป็นพลังบวกให้ฉันฮึดสู้และอยากที่จะมอบเพลงให้เธอเร็ว ๆ เสียที แต่แล้วเมื่อฉันออกจากภวังค์ ฉันก็รู้ความโง่เขลาของตัวเองขึ้นมาทันควัน ทั้ง ๆ ที่มันเป็นโอกาสดีของฉันแล้วแท้ ๆ แต่ท้ายสุดแล้วฉันก็กลับทำมันพลาดไป... “ทำไมฉันไม่ใช้จังหวะนี้ขอเมล์เธอนะ งี่เง่าจังเลยไอบีมเอ้ย!”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD