โจวเล่อเทียนส่งเสียงร้องอย่างยินดี รอยยิ้มของเขาดูคล้ายกับคนมิเคยมีเรื่องทุกข์ร้อนอันใดรบกวน และนั่นทำให้คุณหนูตกอับอดเอ่ยวาจาประชดประชันไม่ได้
“มารอตั้งนานแล้วเจ้าค่ะ”
“อ่าว แล้วเหตุใดจึงไม่ยอมบอกข้า!” คุณชายเปลี่ยนอารมณ์อย่างกะทันหัน ตวาดสาวใช้เสียงดังลั่น
“เป็นคำสั่งของคุณหนูหวังเจ้าค่ะ บอกว่าห้ามคุณชายทำงานหรือพบเจอผู้ใด จนกว่าจะรับประทานอาหารเช้าและดื่มยาแล้วเสร็จเจ้าค่ะ” นางตอบเสียงเรียบ มิยินดียินร้ายกับคุณชายของบ้าน
“สรุปเจ้าทำงานให้นาง หรือว่าทำงานให้กับข้ากันแน่!” คุณชายโบกมือไล่ ไม่อยากเห็นหน้าของสาวใช้ที่ไม่ได้เรื่องอีก
“เหตุใดท่านจึงต้องโวยวายอะไรขนาดนั้นด้วย นางตกใจจนตัวสั่นหมดแล้ว!” หลี่ซินเหมยจ้องหน้าคุณชายอย่างไม่รู้สึกเกรงกลัว นางไม่ชอบเห็นใครถูกข่มขู่ต่อหน้า
“แต่นางทำให้เจ้าต้องรอ” โจวเล่อเทียนเถียง อึ้งมากอยู่เหมือนกันที่ถูกลูกจ้างตะคอกเสียงดัง
“ข้าเป็นคนงานของแปลงผัก ไม่ใช่สหายของท่าน ข้าย่อมต้องรอได้”
“นั่นก็เรื่องหนึ่ง แต่อีกเรื่องที่สำคัญคือนางทำงานรับเงินจากข้าแล้ว แต่กลับทำทุกอย่างตามคำสั่งของคุณหนูอีกบ้าน แบบนี้จะไม่ให้ข้าโกรธได้อย่างไร” ปากเอ่ยเช่นนั้น ทว่าเสียงก็อ่อนลงเสียหลายส่วน
“เอาเถอะ เรื่องส่วนตัวของคุณชาย ข้าขอไม่ยุ่งเกี่ยว และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ข้าว่าคุณชายควรจะคุยธุระของเราให้เสร็จเรียบร้อยดีกว่านะเจ้าคะ” หลี่ซินเหมยไม่อยากต่อความยาว เพราะรู้สึกมิค่อยสะดวกใจกับการที่ต้องอยู่กับคุณชายตามลำพัง
“ข้าก็ว่าจะพูดเรื่องนั้นอยู่พ่อดี ยามที่ท่านพ่อไม่อยู่ เจ้าก็ช่วยงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปก็แล้วกัน แต่ถ้าเหนื่อยไม่ไหว ก็ให้มาคอยดูแลข้าในช่วงกลางวัน แต่หากท่านพ่อกลับมา ก็คงจะต้องแสร้งทำตัวขยัน ทำประโยชน์ให้กับแปลงผักให้มากหน่อย”
“ข้าทำสวนได้ ไม่จำเป็นแสร้งขยันตบตาผู้ใด” หลี่ซินเหมยไม่ต้องการความเห็นใจจากใคร ในเมื่อนางทำผิด นางก็จะยอมรับมันอย่างสง่าผ่าเผย
“ตัวเจ้าเล็กนิดเดียว คงทำอะไรมากไม่ได้ เอาเป็นว่าช่วงกลางวัน ให้เข้ามาช่วยข้าทำงาน และกินข้าวกับข้าเสียที่นี่ เข้าใจหรือไม่” โจวเล่อเทียนยิ้มกว้างราวกับเด็กน้อย ขณะสรุปเอาเองว่าลูกจ้างคนใหม่จะต้องทำหน้าที่อันใดบ้าง
“คุณชายทำราวกับว่าต้องการจ้างข้าเป็นสหาย มิใช่คนสวนของแปลงผัก” หลี่ซินเหมยมิใช่คนระวังคำพูด นางจึงเอ่ยถ้อยความกระแทกใจคุณชายโดยไม่รู้ตัว
“ข้าไม่มีสหาย นอกจากอาเหยียนแล้วก็ไม่มีใครคุยกับข้าอีก” โจวเล่อเทียนยังคงยิ้ม ทว่าก็เป็นยิ้มที่ดูเฝื่อนเต็มทน
“คุณชายอายุเท่าใดแล้วเจ้าคะ”
“สิบแปดปีแล้ว” เขากระแอมเล็กน้อยเมื่อทราบว่านางอายุอ่อนกว่าหนึ่งปี
“อายุก็มิใช่น้อย แล้วเหตุใดจึงไม่ออกไปเที่ยวเล่นในเมือง ผูกมิตรหาสหาย แทนการออกคำสั่งให้ข้าอยู่เป็นเพื่อนล่ะเจ้าคะ”
“ท่านพ่อไม่อนุญาตให้ข้าออกไปข้างนอก” พอกล่าวออกไปแล้วก็รู้สึกราวกับว่าตนอายุเพียงแค่แปดขวบ หาใช่สิบแปดอย่างที่กล่าวอ้างไม่
“เหตุใดจึงไม่อนุญาตล่ะเจ้าคะ คุณชายเป็นพวกชอบสร้างปัญหาเช่นนั้นหรือ”
“ท่านพ่อไม่ชอบให้ข้าอยู่กลางแสงจ้า ท่านพ่อ...กลัวว่าข้าจะป่วยอีก”
โจวหงเหลียง ไม่อนุญาตให้ลูกชายเพียงคนเดียวออกไปเที่ยวข้างนอก เขาเป็นคนดุ ทว่ากลับมิเคยดุทายาทของตนเลยแม้เพียงครึ่งคำ ทั้งยังตามใจจัดซื้อหาของที่โจวเล่อเทียนต้องการมาให้แทบจะทุกอย่าง โดยแลกกับสองเรื่องสำคัญ นั่นคือการปฏิบัติตามกฎเรื่องห้ามอยู่กลางแจ้ง และเรื่องที่สองคือให้พูดจารักษาน้ำใจว่าที่คู่หมายอย่างคุณหนูสกุลหวังให้มากขึ้นสักหน่อย
เรื่องปฏิบัติตามกฎและไม่ออกไปยืนกลางแดดจ้า โจวเล่อเทียนพอจะรับได้ แต่จะให้ญาติดีกับสตรีเอาแต่ใจอย่างหวังฮุ่ยเหอ เขาฝืนใจทำไม่ได้จริง ๆ
“อยู่กลางแสงจ้าไม่ได้ก็ไปช่วงเย็นสิเจ้าคะ” หลี่ซินเหมยบ่นพึมพำว่าเรื่องแค่นี้ เหตุใดจึงคิดไม่ได้
นอกจากจะเจ้าสำอางอย่างมากแล้ว คุณชายโจวเล่อเทียนผู้นี้ยังดูท่าจะไม่ค่อยฉลาดด้วยอีกประการหนึ่ง
“ข้าจะลองเก็บไปคิดดู เจ้าออกไปช่วยงานอาเหยียนก่อน แล้วตอนเที่ยงค่อยมาพบข้าก็แล้วกัน”
“แต่ถ้าข้าทำงานในสวนไหว ก็ไม่ต้องแวะมาใช่หรือไม่” หลี่ซินเหมยไม่ชอบการอยู่สองต่อสองกับบุรุษ แม้ว่าคนผู้นั้นจะอ้อนแอ้นไม่ต่างจากสตรีก็ตามที
“เจ้าทำไม่ไหวแน่ งานในสวนหนักจะตายไป”
“คุณชายอย่ามาดูถูกข้านะเจ้าคะ” หลี่ซินเหมยแสดงสีหน้าไม่พอใจอย่างชัดเจน นางตั้งใจจะมาทำงาน ไม่ได้มาประจบเอาใจใคร เพื่อไถ่โทษเรื่องกระทำความผิด
“ไม่ได้ดูถูกเลยสักนิด ข้าแค่กลัวว่าเจ้าจะล้มป่วย ทำตัวเป็นภาระต่างหากเล่า” กล่าวจบก็รีบโบกมือไล่ลูกจ้างคนใหม่ไปให้พ้นสายตา ซึ่งนางเองก็เต็มใจที่จะออกจากบ้านหลังน้อยนั่นอย่างยิ่ง
ตั้งแต่เกิดมาจนอายุได้สิบแปดปี โจวเล่อเทียนก็ได้รับการเอาอกเอาใจจากคนในบ้านมาโดยตลอด มารดาของเขาจากไปตั้งแต่ยังจำความไม่ค่อยได้ ทีแรกท่านพ่อเองก็เข้มงวดกับเขามาก ทั้งเรื่องการศึกษาและอาหารการกินล้วนบังคับดูแลให้เป็นไปในทางที่เหมาะสม จนกระทั่งเด็กน้อยอายุได้ห้าขวบ ท่านพ่อจึงเปลี่ยนใจไม่บังคับให้ทำเรื่องที่ขัดต่อความต้องการอีก
พอถูกขัดใจด้วยถ้อยคำรุนแรงของลูกจ้างใหม่ที่เห็นหน้ากันแค่เพียงลูกตา เขาก็ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก รีบไล่นางไปให้พ้นหน้า ก่อนที่จะเผลอแสดงอารมณ์เกรี้ยวกราด จนว่าที่สหายตัวเล็กหนีไปเสียก่อน
เหลวไหล...เขาเคยแสดงความไม่พอใจต่อหน้าผู้อื่นตั้งแต่เมื่อใดกัน มีแต่แอบทำอยู่ลับหลังเท่านั้น
โจวเล่อเทียนเหงา และอยากมีเพื่อนอย่างที่นางว่าจริง ๆ เขาเหงาถึงขนาดยอมให้นางเสียมารยาทใส่ และไม่เอ่ยถ้อยความโต้เถียงเลยสักคำ
“นี่ข้าน่าสมเพชมากถึงเพียงนั้นแล้วหรือ”
เจ้าของร่างสูงโปร่งโมโหตนเองที่ตกใจจนลืมโกรธเรื่องที่ถูกลูกจ้างสตรีเอ่ยวาจากระทบใจกัน เอาเถิด ในเมื่อนางไม่อยากเป็นสหายคุยแก้เหงาให้กันดี ๆ เขาก็จะไม่ง้อให้เสียศักดิ์ศรี และหลังจากนี้ก็จะกลั่นแกล้งเอาคืน ให้สมกับที่ต้องเสียหน้าไปเมื่อครู่ที่ผ่านมา
อุตส่าห์ตั้งใจว่าจะทำตัวดี ๆ อยู่แล้วเชียว!