ใต้ขอบตาเรียวเล็กของคุณชายเจ้าสำอางดำคล้ำราวกับมิได้นอนหลับสนิทตลอดคืน โดยปกติแล้วเขาจะต้องดื่มยาหนึ่งถ้วยก่อนที่จะเข้านอน ทว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ทำให้โจวเล่อเทียนลืมเลือนสิ้นเสียแทบจะทุกอย่าง กิจวัตรประจำวันที่เคยกระทำมาตลอดหลายปีก็พลันนึกไม่ออกว่าจะต้องทำเรื่องสำคัญอันใดก่อน
พอตัดสินใจได้ว่าจะทบทวนบัญชี ภาพของหลี่ซินเหมยและเขาก็ปรากฏอยู่ในห้วงคำนึงหา ยามนั้นโจวเล่อเทียนตกใจจนมิทันระวังตัว คว้าเอาคอเสื้อของนาง พากันลื่นตกบ่อไปทั้งคู่ โชคดีที่ยังตั้งสติได้เร็ว เขาจึงคว้าเอาร่างบอบบางมาแนบไว้กับตัว เอวคอดกิ่วทำให้หัวใจหนุ่มอายุสิบแปดปีบริบูรณ์ เต้นแรงราวกับจะหลุดออกจากอก แต่หากเทียบกับดวงหน้าหวานปราศจากดินโคลนที่อยู่ตรงหน้า เอวคอดนั่นมีผลกระทบน้อยกว่าอยู่เกือบเก้าส่วน
โจวเล่อเทียนเสมองไปทางอื่น เมื่อพบว่าคอเสื้อของนางมิค่อยเรียบร้อยนัก เขานึกขอบคุณที่นางหยุดดิ้น เพราะกลัวเหลือเกินว่าเบื้องล่างจะตกใจหนัก จนแสดงอาการออกมาเสียก่อน หลังจากปล่อยให้หลี่ซินเหมยขยับตัวหาที่ยึดเหนี่ยว อันได้แก่การเขย่งยืนอยู่บนเท้าของเขาเรียบร้อยดีแล้ว คุณชายเจ้าสำอางก็พาโฉมงามกลับขึ้นไปยืนบนพื้นดินดังเดิม
นางงาม...งามจนเขาไม่กล้ามอง
งามจนเขาเผลอทำตัวน่าละอาย หลุดปากออกไปว่าเหตุใดจึงมิสามารถทนมองดวงหน้าของนางได้
ทว่าเรื่องที่น่าอายกลับมิได้มีแค่นั้น โจวเล่อเทียนเปิดหีบเก็บของ เพื่อค้นหาสมุดภาพที่ขโมยมาจากคนสวนเมื่อนานมาแล้ว
ราวห้าปีก่อนมีกลุ่มคนสวนที่ลอบพูดจากระทบกระเทียบเสียดสีหนุ่มน้อยวัยสิบสามปี ว่าร่างกายอ่อนแอเกินกว่าจะทำตามตำราข้างหมอนได้ ผู้ที่ถูกกล่าวหายืนอยู่ไม่ไกล แต่กลับแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินบทสนทนาดังกล่าว
โจวเล่อเทียนรอจนกระทั่งถึงเวลาพักยามเที่ยงแล้วจึงสวมหมวกและถุงมือ เขาย่องเข้าไปยังบริเวณที่คนสวนใช้เก็บของ หลังจากกวาดตามองอยู่ครู่หนึ่งก็เห็นย่ามของคนที่กล่าวนินทาเขาในระยะเผาขน มือซีดขาวขโมยตำราต้องห้ามเพื่อหวังป่วนให้สหายปากร้ายทะเลาะกันเอง
แน่นอนว่าเขาคาดการณ์ไม่ผิดนัก หนึ่งในนั้นถึงกับตาปูดตาเขียวเลยทีเดียว
ความจริงโจวเล่อเทียนตั้งใจว่าจะลอบนำตำราไปคืนให้กับคนสวนดวงตก แต่พอได้มองภาพหวาดเสียวหลากหลายท่วงท่า คุณชายอายุเพียงสิบสามปีก็นั่งนิ่งตัวแข็ง จ้องมองศึกษาทุกอย่างจนตาแทบจะไม่กะพริบ ร่างกายเกิดความต้องการทางธรรมชาติ และบรรเทาความปรารถนาด้วยตัวเองอยู่หลายครั้ง
เขายอมรับกับตนเองอย่างเอียงอายว่าชื่นชอบตำราที่ลอบขโมยมา และมิยอมคืนมันให้กับเจ้าของที่แท้จริง
ทว่าโจวเล่อเทียนในวัยสิบแปดปีกลับมิกล้ามอง เพราะภาพที่เห็นกลับมิใช่ภาพวาดธรรมดา แต่ปรากฏว่ามีดวงหน้าของหลี่ซินเหมยซ้อนทับอยู่ และนั่นทำให้เขายัดมันกลับลงหีบแทบไม่ทัน
‘เจ้าบ้าโจวเล่อเทียน คิดสกปรกเช่นนั้นกับนางได้อย่างไร!’
เขาดุตัวเองท่ามกลางความมืด ทว่ายากเหลือเกินที่จะกำจัดภาพของนางออกจากสมอง โจวเล่อเทียนพยายามหลับตาลงนอน แต่สุดท้ายกลับสะดุ้งตัวโยน เพราะหลี่ซินเหมยตามเข้าไปรบกวนเขาถึงในห้วงฝัน
หลี่ซินเหมยในความฝันยังอยู่ในบ่อน้ำ และยืนเขย่งตัวอยู่บนปลายเท้าของเขาดังเดิม คอเสื้อของนางเปิดกว้าง เผยผิวเนียนขาวน่าสัมผัส เขาพยายามเอ่ยเตือนแล้ว ทว่านางกลับยิ่งขยับตัวเข้าใกล้ แต่ก่อนที่ริมฝีปากรูปกระจับจะแนบชิดกับดวงหน้าของบุรุษเจ้าสำอาง โจวเล่อเทียนก็พลันตื่นขึ้นมาอย่างน่าเสียดาย
ปรากฏว่าเบื้องล่างของเขาแข็งขืนจนปวดไปหมด กว่าจะรอให้มันสงบลงได้ก็ต้องใช้เวลานานพอสมควร ความจริงเขาจะบรรเทาความปรารถนาด้วยมือของตนก็ย่อมได้ ทว่าหน้าของหลี่ซินเหมย กลับลอยเข้าสู่ห้วงของความคิด ตั้งแต่เสี้ยววินาทีแรกที่สัมผัสกับแท่งหยกอุ่นร้อน และนั่นทำให้โจวเล่อเทียนจำต้องข่มอารมณ์ของตนอย่างยากลำบาก
โจวเล่อเทียนมิอยากให้นางจะแปดเปื้อนแม้แต่ในความคิด และนั่นคือสาเหตุสำคัญที่ทำให้ขอบดวงตาของคุณชายเจ้าสำอาง ดำคล้ำผิดไปจากทุกวัน เขาคิดเอาเองว่าอากาศร้อนในช่วงสายจะทำให้รู้สึกไม่สบายตัว จนกระทั่งลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวาน แต่พอได้ความจากบ่าวชราว่าลูกจ้างสตรีหนึ่งเดียวของแปลงผักหลวงมาขอพบ อาการปั่นป่วนในอกก็กลับมาโจมตีเขาดังเดิม
พอเห็นว่าหลี่ซินเหมยสวมชุดที่เขามอบให้เมื่อวาน สมองก็พลันจินตนาการไปไกลเกินกว่าจะเรียกกลับคืนมาได้ เขาเคยสวมเสื้อผ้าตัวที่อยู่บนตัวนางในตอนนี้ และหากจะคิดให้ไกลกว่านั้น เนื้อของเขาและนางก็ได้แนบชิดผ่านการสวมเสื้อผ้าชุดเดียวกันแล้ว
‘เจ้าบ้ากามโจวเล่อเทียน!’
“คุณชายดื่มยาหลังอาหารเช้าแล้วหรือยังเจ้าคะ”
หลี่ซินเหมยก้าวเข้าไปใกล้ ใบหน้าของนางเปื้อนดินโคลนเฉกเช่นทุกวัน ทว่าเสื้อผ้ากลับยังสะอาดเรียบร้อยราวกับของใหม่
“ยัง ข้ายังไม่ได้กินอะไรเลยสักคำ แล้วเจ้าล่ะ กินอะไรรองท้องมาหรือยัง”
“ข้าไม่ค่อยชอบกินข้าวเช้านัก” นางโกหก นางกินอาหารแค่วันละมื้อเพราะต้องประหยัดเงินให้มาก
โจวเล่อเทียนขอให้บ่าวชราไปแจ้งต่อแม่ครัวว่าให้จัดสำรับอาหารมาสองที่ พร้อมทั้งขอน้ำสะอาดและผ้าสำหรับเช็ดหน้า โดยไม่สนคำร้องห้ามของโฉมงาม
“เหตุใดจึงใช้โคลนป้ายหน้า คิดจะขโมยหัวไชเท้าอีกหรืออย่างไร” เขาดึงตัวนางเข้ามาใกล้ ๆ ก่อนจะลงมือเช็ดโคลนออกจากใบหน้าอย่างอ่อนโยนที่สุดเท่าที่จะทำได้
โฉมงามประจำแปลงผักหลวงรู้สึกหายใจมิค่อยสะดวก ทว่าก็ยอมให้คุณชายกำจัดคราบโคลน จนใบหน้ากลับมาสะอาดสะอ้านดังเดิม
“ถามแล้วไม่ตอบ ซินเหมยถูกเสียงของฮุ่ยเหอทำหูหนวกเสียละกระมัง” โจวเล่อเทียนเดาเอาว่าใบหน้าของนางแดงก่ำ เพราะเขาลงมือหนักมากเกินไป
“ไม่ได้หูหนวก ข้าแค่อับอายที่ซุ่มซ่ามจนหกล้มไม่เป็นท่าต่างหากเล่า” หลี่ซินเหมยพึมพำโกหกแก้ตัวว่ารองเท้าไม่ค่อยดี ทว่าคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในสวนนานถึงสิบแปดปี มีหรือจะมองไม่ออก
“ซินเหมยไม่ต้องโกหก บอกข้ามาตามตรงว่าเหตุใดจึงเอาโคลนป้ายหน้าจนเลอะเทอะ”
“ยังจะมาปากดีถามข้า มิใช่ท่านหรอกหรือที่บอกว่าข้างามจนไม่สะดวกใจที่จะมอง!” หลี่ซินเหมยขู่ฟ่อราวกับลูกแมว
“ผิดไปแล้ว ผิดไปแล้ว อย่าดุข้านักเลย!” ตั้งแต่เกิดมาเขาก็ยังมิเคยถูกผู้ใดดุ พอได้ยินเสียงของหลี่ซินเหมยตวาดดัง จึงนึกเกรงใจนางอยู่หลายส่วน
หากมารดาของเขายังมีชีวิตอยู่ ยามดุด่าตักเตือนก็คงให้ความรู้สึกเช่นเดียวกันนี้กระมัง
“เมื่อวานตกใจมากไปสักหน่อย จึงเผลอพูดจาไม่เข้าท่า เจ้าอย่าถือสาคนขี้ตกใจอย่างข้าเลยนะ” เขารีบเอ่ยประโยคแก้ตัวที่คิดมาตลอดทั้งคืน และภาวนาให้หลี่ซินเหมยเชื่อคำโกหกพวกนั้น
“เรื่องแค่นี้ข้าย่อมไม่ถือสา” คุณหนูตกอับไม่เสียเวลาต่อความยาว นางตั้งหน้าตั้งตาจัดการอาหารเช้าตรงหน้า โดยไม่เกรงใจเจ้าของบ้านอีก
สองปีกว่าแล้วที่นางมิได้กินอะไรดี ๆ เช่นคุณหนูบ้านอื่น