ผมปลีกตัวออกมาจากผู้คน รวมไปถึงสาริญด้วย ผมรู้ว่าเธอก็คงจะเห็นเหมือนกันว่าอัณญาเป็นคนโทรมาหาผม
ผมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะกดรับสาย “อัณญา”
“อติกร ! ” เธอตะโกนมาจากปลายสาย “นี่มันบทความอะไรกันเนี่ย ทำไมมันถึงเขียนว่าที่รักกำลังจะแต่งงานกับสาริญล่ะ นี่มันเรื่องโกหกใช่ไหม คุณไม่มีทางยินยอมแต่งงานกับเธอเพราะเราเป็นแฟนกันนะ โดยเฉพาะเธอที่เป็นเพื่อนสนิทที่สุดของฉันด้วย”
ผมเอามือเลยผม “ผมขอโทษนะอัณญา ผมเพิ่งจะรู้จากบทความนั้นวันนี้เอง พ่อแม่ผมไม่ได้บอกอะไรผมเลย ผมไปถามพวกเขาแล้ว แล้วปรากฏว่ามันเป็นเรื่องจริง”
“ไม่” เธอกระซิบเสียงอ่อย “มันไม่มีทางเป็นไปได้ บอกฉันมาสิว่าที่รักหาทางออกสำหรับการแต่งงานนี้ได้แล้ว ที่รักจะแต่งงานกับเธอไม่ได้นะ จะไปแต่งงานกับสาริญไม่ได้นะ”
ผมจะบอกอย่างไรดีว่าผมตอบตกลงแต่งงานแล้ว แล้วผมจะบอกเธอยังไงว่าผมไม่ได้อยากจะหลีกเลี่ยงงานแต่งงานนี้
เธอไม่มีทางเข้าใจเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังของผม แล้วผมก็ไม่มีทางต่อว่าเธอ ไม่มีใครอยากจะเห็นแฟนของตัวเองแต่งงานกับเพื่อนสนิทของตัวเองหรอก อัณญาไม่มีทางเข้าใจถ้าเกิดผมยกคุณย่าขึ้นเป็นที่หนึ่ง เธอไม่มีวันเข้าใจว่าทำไมผมถึงเลือกที่จะแต่งงานกับสาริญด้วยซ้ำ
“เดี๋ยวผมจะไปหาคุณ” ผมบอกเธอ “เราจะคุยกันส่วนตัว”
“มันมีอะไรให้คุยอีกล่ะ” เธอเอ่ยขึ้น “ที่รักจะไม่แต่งงานกับสาริญ แล้วจะต้องติดต่อคนที่เขียนข่าวเพื่อบอกว่าทั้งหมดมันเป็นเรื่องโกหก ถ้าทำแบบนี้มันต้องช่วยได้แน่ ๆ อติกร ถ้าที่รักไม่ทำ ฉันจะไม่มีวันให้อภ้ยแน่”
“อัณญา” ผมพูดขึ้นเบา ๆ จนแทบจะไม่ได้ยินเสียง ผมพยายามจะพูดอะไรที่มันจะทำให้เราผ่านไปได้ง่าย ๆ แต่ผมคิดอะไรไม่ออกเลย
“ไม่ต้องมาที่นี่” เธอตะโกนใส่ผม “ฉันไม่อยากเห็นหน้าเธอ ฉันจะยอมเจอเธอก็ต่อเมื่อเธอแก้ปัญหาที่พ่อแม่คุณสร้างขึ้นเสร็จ”
ผมยังไม่ทันพูดอะไรเธอก็ตัดสายไปแล้ว ผมมองหน้าจอว่างเปล่าที่สะท้อนใบหน้าของผม ผมคิดในใจว่านี่ผมทำบ้าอะไรอยู่เนี่ย
ชีวิตของผมยุ่งเหยิงมากพอแล้ว ผมจำได้ว่าวันแรกที่ผมรู้ว่าผมไม่ได้เป็นแฟนเพียงคนเดียวของอัณญาแต่ดันมีพี่น้องของผมเป็นแฟนของเธอด้วย มันฉีกผมออกเป็นเสี่ยง ๆ ผมใช้เวลานับวัน นับเดือน นับปี ในการพยายามทำให้ตัวเองยอมรับสิ่งนี้ได้ ผมพูดได้เลยว่าไม่มีใครเป็นแฟนเธอเลย ไม่มีเลยแม้แต่คนเดียว พวกเรารู้ว่าวันนั้นมันจะมาถึงเมื่อเธอต้องเลือกหนึ่งในสามคน เธออยากได้เราทั้งสามคน แต่มันมีบางอย่างที่พวกเราทำไม่ได้ การแบ่งปันไม่ใช่สไตล์ของพวกเรา ผมไม่สามารถแบ่งผู้หญิงที่ผมรักได้ แล้วก็ไม่ใช่การแบ่งกับพี่น้องของผมด้วย
ผมรู้ว่าปู่พูดถูก การที่ผมยอมแต่งงานกับสาริญทำให้ทุกอย่างมันง่ายขึ้น
ผมปกป้องพี่น้องของผมมาตั้งแต่ผมยังเด็ก ผมคอยดูแลพวกเรา และครั้งนี้ ผมต้องเสียสละครั้งใหญ่เพื่อให้พวกเขามีความสุชอีกครั้ง
ตอนนี้มันเป็นการตัดสินใจระหว่างดนัยกับดนุภัทรแล้วละ
ผมขอโทษนะอัณญา ครอบครัวต้องมาก่อน มันเป็นแบบนั้นมาตลอด และจะเป็นแบบนั้นตลอดไป
……….
~ สาริญ ~
ฉันขบริมฝีปากของเพื่อให้ตัวเองใจเย็นลง การแต่งงานนี้มันจะทำให้ทั้งอติกรและอัณญาแทบบ้าเลยละ
ฉันไม่เข้าใจเขาเลย ทำไมเขาถึงตอบตกลงกับงานแต่งงานในครั้งนี้นะ เมื่อไม่กี่นาทีก่อนเขายังบอกว่าผู้หญิงคนเดียวที่เขาจะแต่งงานด้วยคืออัณญาอยู่เลย อะไรที่ทำให้เขาเปลี่ยนใจได้เร็วขนาดนี้นะ ฉันดูออกเลยด้วยซ้ำว่าเขาไม่โอเคเท่าไหร่
ฉันรู้ว่าเมื่อครู่อัณญาเป็นคนโทรหาเขา ฉันเข้าใจว่ามันหมายความว่าเธอเพิ่งจะรู้ความจริง และในที่สุดบทความนั้นมันไปถึงเธอแล้ว
คนทั้งโรงเรียนคงจะรู้เรื่องนี้แล้ว มันจะเขย่าคนทั้งโลกแน่ ๆ นักเรียนทุกคนรู้ว่าอติกรคบกับอัณญาอยู่แล้วชายทั้งสามคนชอบเธอมากขนาดไหน พวกเขารู้ด้วยว่าอัณญาเป็นเพื่อนสนิทของฉัน
งานแต่งงานนี้จะต้องเป็นที่พูดถึงไปนานหลายวันแน่ ๆ ตัดสินจากจำนวนของบทความที่ถูกตีพิมพ์ออกไปแล้ว ใบหน้าของพวกเราจะต้องไปอยู่บนหน้าปกนิตยาสารมากมายอีกเป็นอาทิตย์แน่ ๆ
“ยิ้มแล้วมันจะตายไหมลูกแม่” แม่ของฉันเข้ามากระซิบใกล้ ๆ “ทุกคนกำลังมองมาที่ลูกนะ”
ฉันพยายามจะไม่กลอกตามองบนใส่แม่ “แม่ การยิ้มมันต้องเกิดจากคนที่มีความสุขสิ หนูไม่ได้มีความสุขสักหน่อย”
ฉันเหลือบมองแม่ก่อนจะแสร้งทำเป็นยิ้ม
“โอเคหรือยังคะ” ฉันถามด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยยิ้มที่เสแสร้ง
เธอบอกเบา ๆ “เยี่ยมไปเลยลูก ตอนนี้ต้องยิ้มเอาไว้นะ เพราะลูกต้องเปลี่ยนชุดนั้น เป็นชุดราตรีน่ะ ลูกกับอติกรจะต้องถ่ายรูปด้วยกันตรงนี้ในอีกหนึ่งชั่วโมงนะ”
“หนูไม่อยากใส่ชุดราตรีเลย” ฉันบ่น “ถ้าเกิดแม่ไม่รู้ หนูจะบอกให้ ว่าหนูไม่รู้เลยว่าหนูจะต้องแต่งงานเนี่ย”
“แม่คิดตรงส่วนนั้นเอาไว้แล้วละ” แม่บอกฉัน “พี่น้องของลูกก็อยู่ที่นี่ด้วย พววกเขาเลือกชุดมาให้ลูกแล้ว ที่เหลือลูกก็แค่เปลี่ยนมัน”
“แน่นอน” ฉันบ่นอุบ “แม่คิดทุกอย่างเอาไว้หมดอยู่แล้ว”
แม่ยิ้มขึ้น “ลูกรู้ว่าแม่เตรียมทุกอย่างเอาไว้ตลอด ให้แม่พาลูกไปที่ห้องของอติกรนะ นั่นเป็นที่ที่ลูกจะต้องเปลี่ยนชุดน่ะ”
“ห้องของอติกรเหรอ” ฉันถาม ก่อนจะเตือนขึ้น ว่าทำไมแม่ต้องพาฉันมาที่ห้องของเขาด้วย บ้านของเขานั้นมีห้องตั้งมากมาย ฉันเปลี่ยนดี ๆ ก็ได้ ทำไมต้องมาอยู่ในห้องของเขาด้วย
“ใช่” แม่ยืนยัน “หลังจากที่ลูกแต่งงานแล้ว ทั้งคู่ก็ต้องอยู่ห้องเดียวกัน ไม่มีอะไรผิดเลยถ้าลูกจะเปลี่ยนชุดในห้องของเขา เพราะเขาเป็นสามีในอนาคตของลูกนะ”
ฉันมองไปทางเขา ฉันไม่คิดว่าเขาจะโอเคกับสิ่งนี้ แต่ฉันไม่คิดว่าแม่ของฉันจะให้ทางเลือกในการปฏิเสธกับฉัน
ฉันเดินตามแม่เข้าไปในบ้าน มันเป็นครั้งแรกที่ฉันจะได้เดินเข้าไปในห้องของเขา ฉันสงสัยมาตลอดว่ามันจะเป็นอย่างไร
มันใช้เวลามากกว่าที่ฉันคิดกว่าจะเดินจากสวนไปถึงห้องของเขา
เมื่อประตูเปิดออก ฉันก็ได้กลิ่น กลิ่นเหมือนกับเขาเลย นี่เป็นสิ่งแรกที่ฉันรู้สึกได้ ฉันอยากจะเอามือของฉันซุกเข้าไปในเสื้อของเขาที่อยู่บนเตียง ก่อนจะสูดกลิ่นเข้าไปเต็มปอด
“เดี๋ยวฉันออกไปแล้วให้ลูกเปลี่ยนเสื้อผ้า” แม่ของฉันบอกก่อนจะเอาชุดที่เตรียมแขวนเอาไว้ข้างชุดของเขาให้ฉันดู “อย่าเปลี่ยนนานเกินไปนะ ช่างภาพมารออยู่แล้ว”
แม่ปิดประตูด้านหลังเธอ ฉันถอนหายใจตอนที่เหลือฉันอยู่เพียงคนเดียว ฉันไม่เคยคิดว่าจะได้มาอยู่ในห้องที่เป็นของอติกร หริณะ การตกแต่งทั้งหมดเป็นสีดำ สีที่เขาชอบ เหมือนกับที่ฉันจินตนาการเอาไว้เลย
ฉันอยากจะใช้เวลาอยู่ที่นี่ให้นานกว่านี้อีกสักพัก แต่ฉันรู้ว่าเดี๋ยวแม่จะเข้ามาเคาะประตูในอีกไม่กี่นาที
ฉันรูดซิปกระโปรงก่อนจะดึงลงจากเรือนร่างจากนั้นก็ก้าวเท้าออกมา ฉันโป๊เปลือยแต่ยังมีชุดชั้นในอยู่
ฉันหยิบชุดเดรสเว้าหลังสีเงินขึ้นมาจากเตียง จากนั้นฉันก็ได้ยินเสียงบริเวณประตู แม่ของฉันกลับมาแล้วเหรอ
ประตูเปิดออก จากนั้นฉันก็พูดขึ้น “แม่ หนูยังเปลี่ยนชุดไม่เสร็จ...”
ฉันยังพูดไม่ทันจบ ฉันก็อึ้งจนพูดอะไรไม่ออก เพราะคนตรงหน้าฉันไม่ใช่แม่ของฉัน
แต่เป็น
อติกร