บทที่13

1780 Words
ฉันกำลังจะเปิดประตูเข้าบ้านเจอป้าอรกำลังจะออกไปข้างนอกพอดีฉันเดินเข้าไปทักด้วยรอยยิ้ม “ ป้ากำลังจะไปไหนหรอคะ ” “ อ้าว คะนิ้งมาพอดีเลยทิมส์มันฝากของไว้ให้น่ะ ” “ ฝากของ ” ฉันแปลกใจนิดหน่อยที่ได้ยินว่านายทึ่มฝากของไว้ให้ฉันแต่พอเห็นสิ่งที่ป้าอรล้วงออกมาจากกระเป๋าเสื้อฉันก็ยิ่งไม่เข้าใจว่านายทึ่มจะฝากอมยิ้มมาให้ฉันทำไม “ แล้วทิมส์อยู่ไหนคะป้าอยู่ในบ้านหรือเปล่า ” “ มันไม่อยู่ที่นี่แล้วล่ะ ” ฉันสังเกตุว่าแววตาของป้าอรเศร้าลงมันเลยยิ่งทำให้ฉันอยากรู้เข้าไปอีก “ หมายความว่าไงคะทิมส์ไปไหน ” ยอมรับว่าคำบอกเล่าของป้าอรทำให้ฉันใจหายอย่างบอกไม่ถูก “ พ่อมันส่งคนมารับไปอยู่ที่กรุงเทพแล้ว ” “ กรุงเทพ! แล้วทำไมถึงปุบปับจังเลยล่ะคะ ” ฉันถามด้วยความร้อนใจ ได้ยินมาว่าพ่อแม่ของหมอนั่นทิ้งไปตั้งแต่เด็กเลยได้มาอยู่กับป้าอรทำไมอยู่ๆถึงมารับไปอยู่ด้วยล่ะ “ พ่อมันป่วยหนักคิดว่าคงอยู่ได้อีกไม่นาน ป้ากับทิมส์ก็พึ่งรู้เรื่องวันนี้เอง เราสนิทกับทิมส์มันไม่ใช่หรอมันไม่ได้บอกเลยหรือไง ” ฉันได้ยืนนิ่งเมื่อถูกป้าอรถามถึงเรื่องนี้ นั่นสิ ตกลงเราสองคนสนิทกันหรือเปล่านะ แล้วทำไมหมอนั่นไม่ยอมบอกอะไรฉันเลยอย่างน้อยก็ควรจะบอกลาฉันสักคำไม่ใช่หรอ ฉันเดินเข้ามาในบ้านด้วยหัวใจที่เหี่ยวแห้ง ไม่รู้ว่าเพราะอะไรอยู่ๆฉันถึงได้รู้สึกแย่ขึ้นมา ฉันมองอมยิ้มที่ถืออยู่ในมือแล้วก็มีคำถามผุดขึ้นมาในหัวอีกครั้ง ตลอดเวลาที่ผ่านมานายไม่เคยรู้สึกอะไรกับฉันเลยหรอ ทิมส์ หลายปีต่อมา เพล้งงง!!! ขณะที่ฉันกำลังทำกับข้าวอยู่ในครัวก็ได้ยินเสียงเหมือนมีของหล่นแตกอยู่ในบ้านฉันเลยรีบวิ่งออกมาดู “ แม่! นิ้งบอกแล้วไงว่าให้อยู่เฉยๆแม่จะลุกออกมาทำไม ” ฉันรีบเข้าไปพยุงแม่ที่ล้มอยู่ที่พื้นพร้อมเศษแก้วที่แตกกระจัดกระจาย “ ใจคอแกจะให้แม่นอนอย่างเดียวเลยหรือไง ” แต่ก็ไม่วายที่แม่จะหันมาดุฉันตามเคย ฉันพาแม่เดินมานั่งที่โซฟาก่อนจะเก็บเกวาดเศษแก้วพวกนั้นในขณะที่ฉันอดหันไปมองแม่ตัวเองไม่ได้ ตอนนี้แม่ฉันไม่ได้รับงานนอนกับผู้ชายแล้วนะ ย้อนไปเมื่อตอนที่ฉันเรียนอยู่ ม.5 ช่วงนั้นฉันสังเกตว่าแม่ไอบ่อยทีแรกฉันคิดว่าแม่เป็นไข้หวัดธรรมดาแต่แม่มีอาการหอบเหนื่อยร่วมด้วยแถมยังกินข้าวได้น้อยลงพอฉันถามแม่ก็เลี่ยงไปเรื่องอื่นตลอด จนวันหนึ่งที่แม่ไอหนักเข้าจนออกมาเป็นเลือดเต็มไปหมดฉันเลยบังคับให้แม่ไปหาหมอ หมอบอกว่าแม่ฉันเป็นมะเร็งปอดระยะที่สอง ตอนนั้นฉันช็อกมากและทำอะไรไม่ถูก แต่หลังจากที่รู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งแม่ก็ยังรับงานนอนกับผู้ชายเหมือนเดิมทั้งที่ฉันห้ามไม่ให้ทำแต่แม่ก็ไม่ฟังเอาแต่พูดว่าถ้าแม่ไม่ทำงานจะเอาเงินที่ไหนซื้อข้าวสารกรอกหม้อ จะเอาเงินที่ไหนให้ฉันไปโรงเรียน ฉันฟังไปก็ร้องไห้ไปและคอยถามตัวเองซ้ำๆว่า….ฉันจะเกิดมาทำไมถ้าเกิดมาแล้วทำให้แม่ต้องลำบากขนาดนี้ ฉันตัดสินใจไปสมัครเป็นเด็กเสริฟที่ร้านเหล้าแห่งหนึ่งเพราะฉันอยากแบ่งเบาแม่บ้างแม่จะได้เลิกทำอาชีพแบบนั้นสักที เป็นร้านเหล้าที่ได้รับความนิยมของคนระแวกนั้น มีวงดนตรีเล่นสดตลอดทั้งคืนซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่เน้นหนักไปทางดื่มเหล้ามากกว่าจะสั่งอาหารมากินและก็เป็นลูกค้ากระเป๋าหนักทั้งนั้น ด้วยหน้าตาที่สระสวยสมวัยบวกกับรูปร่างที่ใครเห็นใครก็ชอบลูกค้าพวกนั้นเลยพากันแย่งกันให้ทิปฉัน บางคนก็เอาให้กับมือ บางคนก็ยัดเข้ามาในเสื้อ วันแรกฉันได้ทิปมาตั้งห้าร้อยบาท มันเป็นเงินก้อนแรกที่ฉันหามาได้วันนั้นฉันดีใจมากเลยรีบเอาไปให้แม่แต่นอกจากแม่จะไม่ดีใจแล้วแม่ยังโยนเงินใส่หน้าฉันแล้วถามฉันว่า…. แกอยากเป็นผู้หญิงขายตัวเหมือนแม่หรอคะนิ้ง คำพูดของคนเป็นแม่ทำให้ฉันจุกที่อก น้ำตาที่หยดแหมะมาพร้อมคำถาม ฉันทำผิดอะไร ฉันก็แค่ต้องการหาเงินเหมือนที่แม่ทำอยู่ตอนนี้ ฉันผิดมากหรอที่ไม่อยากให้แม่ที่กำลังป่วยต้องทำงานหาเงินเลี้ยงลูกสาวที่โต “เป็นควาย” อย่างฉัน วันนั้นฉันทะเลาะกับแม่หนักจนชาวบ้านได้ยินกันหมดแต่ถึงแม่จะไม่เห็นด้วยวันต่อมาหลังจากเลิกเรียนฉันก็แอบแม่ไปทำงานที่ร้านนั้นอีก พอกลับมาถึงบ้านแม่ก็ไม่ยอมพูดกับฉันสักคำ จนผ่านไปเป็นเดือนฉันก็ยังทำงานอยู่ที่ร้านนั้นเพราะเห็นว่ามันไม่ได้เสียหายอะไร ลูกค้าพวกนั้นชอบให้ฉันไปนั่งด้วย บางคนก็เชียร์ให้ฉันดื่มเหล้าเป็นเพื่อน แรกๆกินไปเท่าไหร่ฉันก็อ๊วกออกมาจนหมด รสชาติของเหล้ามันขมจนบาดไปถึงคอแต่หลังๆฉันก็เริ่มที่จะดื่มเป็นและรู้ลิมิตว่าตัวเองดื่มได้แค่ไหน พอทำงานได้สักสามเดือนเจ้าของร้านใจดีเลื่อนจากตำแหน่งเด็กเสริฟเป็นสาวเชียร์เบียร์แทนและฉันก็เป็นสาวเชียร์เบียร์ที่อายุน้อยที่สุดในร้านเพราะตอนนั้นฉันอายุแค่ 18 เอง แต่แล้วเรื่องที่ฉันไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นอีกครั้ง คืนนั้นหลังจากที่ฉันเลิกงานกลับมาถึงบ้านฉันเห็นแม่นอนอยู่ที่พื้นในมือกำผ้าถุงที่เต็มไปด้วยรอยเลือด ฉันตกใจมากรีบพาแม่ไปส่งโรงพยาบาลแล้วหมอก็บอกว่าแม่เป็นมะเร็งระยะที่สามแล้ว ฉันทรุดลงกับพื้นมือสั่นก่อนจะกอดเข่าก้มหน้าร้องไห้ มองไปรอบๆตอนนั้นฉันไม่มีใครเลย แม่อาการหนักมากหมอบอกว่าเป็นเพราะแม่หักโหมเกินไปและไม่ยอมกินยาให้ตรงเวลาแล้วที่มะเร็งลามเร็วแบบนี้เป็นเพราะแม่สูบบุหรี่จัดซึ่งฉันเองก็พึ่งรู้ หลังจากวันนั้นร่างกายแม่ก็ซูบผอมลง ใบหน้าที่เคยงดงามเป็นที่ต้องตาต้องใจของพวกผู้ชายหมองคล้ำไม่มีสง่าราศีแม้แต่ผิวที่เคยเต่งตึงก็ทรุดโทรมจนผู้ชายของแม่ต่างก็พากันรังเกียจแม่ ช่วงแรกแม่เอาแต่เก็บตัวและปฏิเสธการรักษาเพราะตรอมใจบวกกับแม่ไม่มีเงินไปรักษาแต่โชคดีที่ครูเพ็ญที่เป็นครูปรึกษาของฉัน แกสงสารฉันกับแม่เลยออกค่ารักษาให้และมาคุยกับแม่ถึงที่บ้านแม่เลยใจอ่อมยอมไปรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเป็นเดือนๆจนอาการแม่เริ่มดีขึ้นหมอก็เลยอนุญาตให้กลับมารักษาตัวต่อที่บ้านแต่เพราะการรักษาในแต่ละครั้งต้องใช้เงินเยอะฉันกับแม่เลยเกรงใจครูเพ็ญที่อยู่ๆก็ต้องรับภาระ ตอนนั้นฉันไม่อยากทำให้ครูเพ็ญลำบากเลยตระเวนหางานทำเพิ่มแต่เพราะฉันยังเรียนไปจบ ม.6 เลยไม่มีที่ไหนรับเข้าทำงาน จนวันหนึ่งที่ฉันไปทำงานที่ร้านเหล้าแล้วเจอลูกค้ารายหนึ่งเขาแนะนำให้ฉันไปเป็นพริตตี้ของงานแข่งรถในตัวจังหวัดซึ่งตอนนั้นฉันก็ไม่ค่อยรู้หรอกว่า “พริตตี้” ต้องทำอะไรบ้างแต่ฉันก็ตอบตกลงไปทันทีเพราะตอนนั้นฉันต้องการหาเงินให้ได้เยอะที่สุดเท่าที่จะหาได้และเห็นว่าเป็นงานที่ได้ค่าตอบแทนค่อนข้างดี เชื่อไหมว่าครั้งแรกที่ฉันเป็นพริตตี้ฉันได้เงินกลับบ้านถึงห้าพันบาทซึ่งมันเป็นจำนวนเงินที่เยอะมากสำหรับฉันแต่เงินจำนวนนี้ก็ต้องแลกมาด้วยการใส่เสื้อผ้าโชว์รูปร่างของตัวเอง จำได้ว่ากระโปรงสั้นมากสั้นจนฉันไม่กล้าก้มเลยล่ะ ส่วนข้างบนก็เปิดเว้าจนมองเห็นร่องอกของฉัน ถึงฉันจะอายสายตาของพวกผู้ชายที่จ้องแต่จะอ่านกินแต่ฉันก็พยายามจะไม่สนใจและท่องไว้คำเดียวว่า ฉันต้องหาเงินให้ได้เยอะๆ หลังจากวันนั้นฉันก็แอบรับงานพริตตี้อีกหลายที่จนพอมีเงินไปคืนครูเพ็ญส่วนหนึ่งก่อนโดยที่ฉันขอร้องไม่ให้ครูบอกแม่ว่าฉันไปทำอะไรมา แม้ว่าครูจะไม่ส่งเสริมให้ฉันทำงานแบบนี้แต่ครูก็ไม่มีทางเลือกอื่นเพราะด้วยเงินเดือนอันน้อยนิดของอาชีพแม่พิมพ์ของชาติคงไม่สามารถช่วยเหลือฉันไปได้ตลอด แม้ครูจะอยากเห็นฉันเรียนสูงๆแต่เพราะเกรดฉันไม่ค่อยดีถ้าจะให้ฉันไปสอบชิงทุนเรียนต่อก็คงจะไม่มีความหวังหรอก สุดท้ายครูเพ็ญเลยได้แต่อวยพรให้ฉันเดินในทางที่ถูกที่ควรและคอยสอนฉันเสมอว่า แม้คนเราจะมีต้นทุนชีวิตที่ต่างกันแต่เราสามารถเลือกที่จะเป็นได้ ต่อให้วันข้างหน้าจะลำบากแค่ไหนจะสูญเสียอะไรไปบ้างแต่มีสิ่งหนึ่งที่ฉันควรจะรักษามันไว้ให้ดีนั่นก็คือ ศักดิ์ศรีของลูกผู้หญิง ฉันรู้ว่าครูหวังดีกับฉันแต่ชีวิตของฉันก็ไม่ได้มีเส้นทางให้เลือกมากนัก ฉันจบแค่ชั้นม.6 เพราะไม่มีเงินเรียนต่อ เงินทุกบาทที่หามาได้ฉันก็ต้องเก็บไว้รักษาแม่ ทุกวันนี้ฉันหาเงินด้วยการเป็นพริตตี้ซึ่งตอนนี้ฉันอายุได้ 25 ปีแล้ว แม่ก็ยังไม่รู้ว่าฉันทำงานอะไร
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD