“น้องรักแม่ดอกแก้วเหมือนลูกในไส้ ทั้งรักทั้งเอ็นดูเหลือเกินเจ้าค่ะคุณพี่ เห็นมาแต่เล็กแต่น้อย อยากมีลูกสักคนก็ไม่มี ทรัพย์สมบัติก็มากมาย ถ้าไม่มีลูกก็คงไม่มีใครดูแลสืบทอด” อินเอ่ยปากบอกพี่ชายของสามีพลางถอนใจ
“น้องก็รักและเอ็นดูแม่ดอกแก้วเหมือนลูก สัญญาว่าจะดูแลหลานให้ดีเหมือนลูกในไส้ พี่โมกข์กับพี่เพ็ญจะยกแม่ดอกแก้วให้เราสองคนเอาไปชุบเลี้ยงจักได้ไหมขอรับ” เพียรเอ่ยขออีกเป็นรอบที่ร้อย สองผัวเมียเทียวไล้เทียวขื่อมาเยี่ยมเยียนพี่ชายพี่กับสะใภ้อยู่ไม่ได้ขาด มาหลายครั้งต่อเดือน ติดต่อกันนานหลายสิบปี เพียรขอดอกแก้วไปเลี้ยงเป็นลูกทุกครั้งที่เจอหน้ากัน จนสองสามีภรรยาเริ่มใจอ่อน
“ต้องถามเจ้าตัวดูก่อน” เพราะโมกข์กับเพ็ญก็รักลูกมาก รู้ว่าเพียรกับอินก็รักลูกสาวคนเล็กของตนมากเช่นกัน แต่อย่างไรก็คิดว่าตนเป็นพ่อแม่ก็ย่อมที่จะรักมากกว่า จึงไม่อยากให้ลูกไปพ้นอก แต่ตอนนี้ดอกแก้วเจริญวัยขึ้นมาก สิบขวบเข้าไปแล้ว จึงพอที่จะรู้ความ หากถามไถ่กันก็คงพอจะตัดสินใจได้แล้วว่าอยากไปอยู่กับอาและอาสะใภ้หรือไม่
“พูดถึงก็มาพอดีเชียวแม่ตัวดี” โมกข์เอ่ยขึ้นเมื่อลูกสาวทั้งสองเดินขึ้นเรือนมา ดอกรักนั้นไหว้อาทั้งสองด้วยกิริยาอ่อนช้อย ในขณะที่ดอกแก้วดูกระโดกกระเดกยิ่งกว่าเด็กผู้ชาย
“อาเพียรกับอาอินมานานแล้วหรือเจ้าคะ หลานคิดถึงเหลือเกิน” ดอกแก้วเข้าไปกอดอินด้วยความคิดถึง อินลูบหัวลูบตัวด้วยความรักสุดหัวใจ อยากได้ไปเป็นลูกตั้งแต่เห็นหน้าค่าตากันครั้งแรก ครั้นเมื่อคลอดในครานั้น
“วันนี้อามีของมาฝากเยอะแยะเลยหนา” เพียรเล่าให้หลานสาวฟังว่าไปค้าขายมาจากที่ใดบ้าง ดอกแก้วฟังเพลินแถมยังเอ่ยปากว่าอยากไปด้วย
“แม่ดอกแก้ว อาเพียรกับอาอินของลูก จักมาขอลูกไปชุบเลี้ยงเป็นลูก จักพาไปอยู่ด้วยกันที่ทางใต้ เจ้าจักว่าอย่างไร พ่อกับแม่มิบังคับลูกดอกหนา อาทั้งสองมาขอเจ้าไปเป็นลูกนานหลายปีแล้ว พ่อกับแม่ไม่เคยบอกเพราะตอนนั้นลูกยังเล็ก ตอนนี้ลูกโตแล้ว ย่อมที่จะตัดสินใจได้แล้ว” โมกข์เอ่ยกับบุตรสาวคนเล็กอย่างแสนรักใคร่
“ไปอยู่ทางใต้หรือเจ้าคะเจ้าคุณพ่อ” ดอกแก้วเอ่ยถามอย่างตื่นเต้น แต่อีกใจก็ยังลังเลเพราะต้องจากบิดามารดาและพี่สาวไปอยู่ที่อื่น
“ใช่จ้ะ เจ้าจักว่าอย่างไรล่ะ จะไปอยู่กับอาเพียรหรือไม่” เพ็ญเอ่ยถามบุตรสาวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
ดอกแก้วเงยหน้ามองอาทั้งสองสลับกับมองหน้าบิดามารดา
“ไปอยู่กับอาไหมแม่ดอกแก้ว อาอยากมีลูกแต่ก็ไม่มี อารักแม่ดอกแก้วเหมือนลูกในไส้ของอา อาสัญญาว่าจะรักและดูแลแม่ดอกแก้วให้ดี ไปอยู่ที่โน่น คิดถึงก็เขียนจดหมายมาหาพ่อแม่ของหลานได้ทุกเมื่อ หรือถ้าต้องค้าขายหรือเดินทางมาที่พระนคร อาก็จักพาหลานมาด้วย ไม่ต้องกลัวว่าจักไม่ได้เจอกับพ่อแม่แลพี่สาวของหลานอีก”
“หลานขอคิดแล้วก็ตัดสินใจก่อนจักได้ไหมเจ้าคะคุณอา” ดอกแก้วขอเวลา เพราะยังลังเล แต่การได้ไปท่องเที่ยวแลได้ไปช่วยค้าขายกับผู้เป็นอาทั้งสองก็ทำให้ดอกแก้วรู้สึกตื่นเต้นมิน้อย หล่อนอยากจักได้เห็นโลกกว้างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
สองสามีภรรยายังไม่ได้เดินทางกลับ เพราะจะรอคำตอบจากหลาน และจักเดินทางกลับพร้อมกันหากดอกแก้วตอบตกลง
“ดอกรักจะไปอยู่กับอาเพียรและอาอินหรือไม่จ๊ะ” ดอกรักเอ่ยถามน้องสาว
“น้องอยากไปเปิดโลกกว้าง อยากท่องเที่ยวแลค้าขายที่เมืองทางใต้ เห็นคุณอาบอกว่าน้องจักได้ค้าขายกับคนหลายเชื้อชาติ แลจักได้เรียนรู้ภาษาอีกด้วย ทั้งฝรั่ง แขก จีน ไทย” คำตอบของน้องสาวทำให้ดอกรักรู้แน่ชัดแล้วว่าวันรุ่งพรุ่งนี้น้องสาวของตนจักต้องจากไปไกล แลอีกนานคงจะได้เจอกัน
โมกข์กับเพ็ญยืนส่งลูกสาวขึ้นรถไฟด้วยความรักสุดหัวใจ ลูกตัดสินใจเช่นไร ทั้งสองก็เคารพการตัดสินใจของลูกเสมอ
“คุณพี่เจ้าขา น้องกลัวว่าแม่ดอกแก้วจักไปทำให้พ่อเพียรกับแม่อินต้องปวดหัวเหลือเกินเจ้าค่ะ”
“ไม่ดอก แม่ดอกแก้วเป็นเด็กเฉลียวฉลาด แม้จะดื้อไปบ้างแต่ก็รู้ว่ากระไรควรกระไรมิควร”
“แต่น้องเป็นห่วงลูกนี่เจ้าคะ ไม่เคยให้ห่างอก จากกันครานี้ไม่รู้ว่าจักได้เจอกันอีกเมื่อใด”
“พ่อเพียรกับแม่อินเขาก็หมั่นแวะเวียนมาเยี่ยมเราอยู่เสมอ อีกไม่กี่เพลาก็จักได้เจอกันแล้วหนา น้องอย่าคิดปริวิตกไปเลย” โมกข์ปลอบใจเมียรัก ตอนนี้เขาได้เลื่อนยศเป็นพระยา และมีฐานะร่ำรวยขึ้นมากกว่าแต่ก่อนอาจเพราะว่าเพ็ญผู้เป็นภรรยานั้นรู้จักเก็บเงินเก็บทอง ซื้อที่ซื้อทางเพิ่ม ทำให้มีทรัพย์สินเพิ่มพูนมากขึ้นกว่าแต่ก่อน
ดอกแก้วเดินทางไปอยู่ทางใต้กับเพียรและอินผู้เป็นอาก็เขียนจดหมายส่งมาถึงบิดามารดาและพี่สาวไม่เคยขาด เด็กสาวเล่าถึงความสนุกสนานที่ได้พบเจอ นั่นทำให้คนที่รอจดหมายใจจดจ่อของน้องสาวยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ที่ได้อ่านจดหมายทุกฉบับของน้องรัก