ตอนที่ 8

2516 Words
แพรพรรณโวยวายใส่ลูกสาวตั้งแต่ขึ้นรถ จนขับมาถึงที่ไร่ตัวเองซึ่งทำเอาจันจิรานั่งหน้างอมาตลอดทาง “ช่วยเหลืออะไรไม่ได้เลย ลูกสาวฉัน” แพรพรรณพูดบ่น “บอกให้แยกปรายออกไป จันก็ทำให้แล้ว แม่จะเอายังไงอีก” “ไม่เอายังไง จันต้องไปกับแม่ที่ไร่นั้นทุกวัน” แพรพรรณพูดเสียงเข้ม “น้าเดียวรำคาญตายพอดี แม่คิดดีแล้วหรือคะ” จันจิราถาม “ฉันไม่สนใจ อะไรที่ฉันอยากได้ ฉันก็ควรได้เหมือนพ่อเธอนั่นแหละ” แพรพรรณพูดขึ้น “เอาแต่ใจตัวเองหนักมาก จันเป็นบ้างไม่ต้องมาถามเลยว่าเหมือนใครกัน” จันจิราบ่นพึมพำมองดูมารดาที่ลงจากรถแล้วรีบเข้า บ้านไปก่อน จันจิราตะโกนไล่หลังมารดาไป โดยบอกว่าตัวเองจะเข้าไปในเมืองไม่ทันได้ทัดทานหรือหันมาพูดอะไร จันจิราก็ขับรถออกจาก ไร่ไปแล้ว “ยายจันนะ ยายจัน พึงพาอะไรไม่ได้เลย งานการก็ไม่คิดจะช่วยดูแลเอาแต่เที่ยวกับขอเงินเท่านั้น” แพรพรรณมองดูเสื้อผ้าและ เนื้อตัวทำให้รู้สึกหงุดหงิดมากขึ้น เพราะเสียเวลาและโอกาสที่จะได้อยู่ใกล้ชิดกับใจเดียว “ต้องเหนื่อยขนาดไหนคะ กว่าจะมาถึงวันนี้ได้” ปรายฝนถามหลัง จากนำชาอุ่นๆ มาให้แม่นายใจเดียวที่เพิ่งออกจากบ้านพักมานั่งอยู่ที่ระเบียงด้านหน้า “ปางตายเลยล่ะ จากที่ดินของพ่อแม่ผืนเล็กๆ พอมีเงินทองบ้างก็ซื้อที่ขยายไปเรื่อยๆ ฉันโชคดีด้วยที่คนทำงานให้เอาใจใส่ หน้าที่ของตัวเอง” “ลูกหลานก็ไม่มี แล้วจะยังไงต่อคะ” ปรายฝนถาม “คงแบ่งให้คนงานทำกันต่อไป” แม่นายใจเดียวพูดยิ้มๆ “ใจดีจริงน้อ” ปรายฝนพูดขึ้น “ถ้าเธอมาอยู่ ฉันก็จะจัดสรรให้เธอ” แม่นายใจเดียวยิ้มน้อยๆ “มีใครรู้หรือเปล่าคะ เรื่องที่แม่นายจะยกที่ให้” ปรายฝนถาม “ยัง แต่คิดเอาไว้” “ปรายว่าท่าจะวุ่นวาย” ปรายฝนบอก “ไม่หรอกจัดการให้ดี มีส่วนกลางดูแล ใครทำกินตรงไหนก็ได้รายได้ ณ ตรงนั้นไป ไตรคงช่วยจัดการให้ได้” “ปรายมีโทรศัพท์จากทางบ้าน มารับเร็วเข้า” เสียงเรียกจากปลาทำให้ปรายฝนมีรอยยิ้มจางลงทันที แม่นายใจเดียวสังเกตเห็น “ไปเร็วๆ โทรศัพท์มือถือใช้ไม่ได้คงเป็นห่วงแย่แล้วล่ะ” “เดี๋ยวปรายมานะคะ” ปลายฝนน้ำเสียงดูแปลกไป “มีอะไรกับที่บ้านหรืออย่างไรกันนะ” แม่นายใจเดียวคิด “สวัสดีค่ะ พ่อ” ปรายฝนเอ่ยทักทาย เพราะรู้ดีว่าปลายสายเป็นใคร ปลากับกลอยเดินออกไปจากสำนักงานทันที “ยังไงกัน โทรศัพท์มือถือติดต่อไม่ได้” บิดาถาม “ไม่มีสัญญาณค่ะ” “อยู่ยังไงโทรศัพท์ไม่มีสัญญาณ” เสียงเข้มๆ ทำให้ปรายฝนถอนใจ “ปรายสบายดีค่ะ” “จะกลับเมื่อไหร่” บิดาถามลูกสาว “ปรายมาทำงานนะ พ่อ ไม่ได้มาเที่ยว” “งานที่กรุงเทพฯ มีเยอะแยะ อยากทำอะไรที่ไหนพ่อจัดการให้ได้ทำไมต้องประชดไปอยู่เสียทุรกันดารขนาดนั้น” บิดาพูดคล้ายต่อว่า “ไม่เห็นทุรกันดารตรงไหน พ่อไม่ต้องห่วงหรอก ปรายอยู่ได้สบายๆ ไม่เดือดร้อนต้องไปขอเงินพ่อเหมือนเมื่อก่อน อยู่ที่นี่ไม่ได้ ใช้เงินสักบาทเลยตั้งแต่ก้าวเข้ามาในไร่” ปรายฝนยิ้มและรู้สึกภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองกำลังทำ “อย่ามาพูดดีเลย เพิ่งไปได้ไม่เท่าไร เดี๋ยวอีกไม่นานก็เบื่อ” “ปรายไม่อยู่ก็ดีแล้วไง จะได้ไม่ไปอยู่เกะกะที่บ้าน แค่นี้ก่อนนะคะ ปรายต้องไปทำงานแล้ว” ปรายฝนพูดตัดบท “จะคอยดูว่าจะอยู่ได้นานสักเท่าไร” บิดาพูดคล้ายดูถูกลูกสาว “แล้วถ้าอยู่เลยล่ะ” ปรายฝนพูดต่อปากต่อคำ “เจ้าปราย เราน่ะจะไปได้สักกี่น้ำ พ่อว่าเจ้าของไร่จะไล่ออกพรุ่งนี้มะรืนนี้ก็ไม่รู้” บิดาถอนใจก่อนจะวางสาย เพราะความดื้อรั้น ของลูกสาวที่มีมากจนเบื่อที่จะดุจะว่าแล้ว “ไล่ก็ไม่ไป จะตื้อขออยู่ที่นี่แหละ” ปรายฝนบ่นพึมพำและทำหน้างอโดยไม่รู้ตัว แม่นายใจเดียวมองเห็นสาวน้อยหน้างอเดินออกมาจากสำนักงานจึงขมวดคิ้วจ้องมองและคิดย้อนกลับไปถึงสาเหตุที่ปรายฝนตกปากรับคำมาทำงานอยู่ไกลบ้าน “ยังไง มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า” แม่นายใจเดียวถาม “ไม่มีค่ะ พ่อโทรฯ มาถามทุกข์สุข เพราะโทรฯ เข้ามือถือไม่ได้” “ดูจากหน้าตาคงทุกข์มากกว่าสุข” แม่นายใจเดียวยิ้มๆ “ใครจะสุขเหมือนแม่นายล่ะ คนไร่โน้นมาเยี่ยมแทบทุกวัน” “ถ้าพ่อเป็นห่วง ก็ถ่ายรูปที่ห้องกับสถานที่รอบๆ ไร่เอาไว้ เดี๋ยวเข้าเมืองค่อยส่งไปให้ดูจะได้หายห่วง” แม่นายใจเดียวพูดด้วย น้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่ชอบส่งรายงาน แม่นายจะให้ปรายปั่นพาไปไหนไหมคะ” “ฉันไม่ได้รับความไว้วางใจพอสินะ ถึงไม่อยากเล่าอะไร” น้ำเสียงที่ได้ยินฟังดูไม่ค่อยดีสักเท่าไร “เปล่าสักหน่อย ก็ไม่มีอะไร แค่เด็กดื้อที่พ่อชอบดุ โทรฯ มาซักโน่นซักนี่ก็เท่านั้นเอง แต่จะว่าไปก็ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้นสัก หน่อย” ปรายฝนพูดด้วยน้ำเสียงงอนๆ “ห่างกันตั้งยี่สิบห้าปี จะให้สนิทนักก็คงไม่ได้ ไปกินข้าวดีกว่า” “แก่แล้วยังจะขี้งอนอีกน้อ” ปรายฝนบ่นพึมพำ แต่แอบยิ้มมองตามแม่นายใจเดียวที่กำลังเดินไปทางโรงอาหาร ปรายฝนแทบจะลืมวันลืมคืน เพราะไม่ได้สนใจเลยว่าวันนี้วันอะไร วันที่เท่าไรจะรู้เมื่อถึงวันเสาร์อาทิตย์ ถึงแม้จะเป็นวันหยุดแต่ ยังคงมีคนออก ไปทำงานของตัวเองที่คั่งค้างเอาไว้ ส่วนแม่นายใจเดียวยังคงตื่นก่อนคนอื่นเสมอและไปรับประทานอาหารเช้าร่วมกับ คนอื่นๆ เหมือนเช่นทุกวัน “ฝากพี่ไตรโอนเงินให้พ่อแม่แล้วสบายใจดีแท้” ปลาพูดขึ้น กลอยยิ้มเพราะตัวเองจัดการส่งเงินให้ทางบ้านเรียบร้อยแล้วเช่นกัน “ไม่อยากเข้าเมืองไปซื้อข้าวของกันบ้างเหรอ” ปรายฝนถาม “แรกๆ มีบ้าง หลังๆ ลืมเรื่องเงิน เรื่องข้าวของไปเลย แต่ก็มีบ้างที่ฝากพี่ไตรซื้อของกินมานานๆ ที” กลอยบอก “ดีจัง อยู่สักสองสามปีคงรวย” ปรายฝนหัวเราะ แต่ยิ้มจางลงเมื่อเห็นแม่นายใจเดียวมองมา “ถ้าไม่มีภาระอะไร ก็ติดรถไปกับพี่ไตรสิ เผื่ออยากได้หรืออยากกินอะไร เพราะปรายเพิ่งมาจากกรุงเทพได้เดือนเดียวเอง” ปลา พูดยิ้มๆ “เดี๋ยวกินข้าวเสร็จต้องขับพาแม่นายเข้าเมือง อยากได้อะไรกันไหม เดี๋ยวปรายซื้อมาฝาก” ปรายฝนถามและหันไปมองคนอื่นๆ ที่เพียงแค่ยิ้มๆ ให้เท่านั้น “ที่ร้านขายของในไร่มีของใช้จำเป็นทุกอย่างอยู่แล้ว” กลอยบอก “งั้นถ้าเจออะไรอร่อยๆ จะซื้อมาฝากก็แล้วกัน” “พาแม่นายไปทำธุระไม่ใช่หรือ” “นั่นสิ ไม่รู้จะได้เถลไถลหรือเปล่าน่ะสิ” ปรายฝนทำเป็นพูดเสียงเล็กเสียงน้อย โดยไม่รู้เลยว่า แม่นายใจเดียวมายืนอยู่ข้างหลัง ปลาซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามยิ้มจนถึงกับหัวเราะออกมาเพราะกลั้นเอาไว้ไม่ไหว “นินทา มันน่านักนะ” เสียงแม่นายใจเดียวที่ดังมาจากด้านหลังทำเอาปรายฝนยิ้มเจื่อนๆ รีบลุกขึ้นทันที ปลากับกลอยหัวเราะ รวมถึงคนอื่นๆ ด้วยที่เริ่มคุ้นเคยกับปรายฝนกันบ้างแล้ว “ไม้เรียวไหมครับ แม่นาย เดี๋ยวผมไปตัดมาให้” เสียงของชายสูงวัยดังแว่วๆ มา แม่นายใจเดียวส่ายหน้า เมื่อเห็นปรายฝนหัน มายิ้มไม่ได้แสดงท่าทางหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย “ทำอย่างไรคะ ทุกคนถึงได้รู้จักพอเพียง ไม่อยากได้อะไรเลยนอก จากสิ่งที่มีอยู่และไม่ต้องใช้เงินด้วย” ปรายฝนถาม “ไม่มีสิ่งล่อตาล่อใจ ข้าวของมีครบ ส่วนใหญ่อยากให้คนที่อยู่ทางบ้านมีกินมีใช้ ปลากับกลอยส่งเงินให้พ่อกับแม่ปลูกบ้านแล้ว แรกๆ บอกว่าถ้าได้บ้านก็จะกลับไปทำสวนทำไร่เองที่บ้าน” แม่นายใจเดียวบอก “ถ้าอยู่ไปเรื่อยๆ คงมีเงินเก็บเพียบเลย” ปรายฝนพูดพึมพำ “แล้วจะเอาไปทำอะไร หรือจะส่งให้ทางบ้าน เดี๋ยวเข้าเมืองแวะไปจัดการได้ เพราะฉันจะไปทำธุระที่ธนาคารเหมือนกัน” แม่ นายใจเดียวหันมาจ้องมองปรายฝนที่ยิ้มจางๆ อยู่ “พ่อมีเงินเยอะแล้วล่ะค่ะ เงินขี้ประติ๋วอย่างนี้คงไม่อยากได้หรอก” ปรายฝนพูดด้วยน้ำเสียงคล้ายงอนบิดา “แต่มันเป็นความภูมิใจของเธอไม่ใช่หรือ การให้เงินทองพ่อแม่ถือเป็นสิ่งดีๆ ในชีวิตเลยนะ ถึงท่านจะมีเยอะแล้วก็ตาม แต่ลูกก็ มีหน้าที่ของตัวเองที่ต้องดูแลท่าน ถึงแม้คิดว่าขี้ประติ๋วก็ตาม โอนไปไม่เห็นต้องไปป่าวประกาศบอกใครเขาให้เท่าที่เราอยากให้” แม่ นายใจเดียวพูดไปตามประสาผู้ใหญ่ที่สอนเด็กให้รู้จักการตอบแทนบุญคุณบิดามารดา “โอนไปคงเห็นหรอกนะคะ ว่ามีเงินน้อยนิดของลูกเข้าไปน่ะ” “ขยันทำเรื่องดีๆ เดี๋ยวสิ่งดีๆ ก็จะเกิดขึ้น อย่างน้อยเธอก็สุขใจกับการให้โดยเฉพาะกับพ่อแม่” แม่นายใจเดียวบอกแล้วเดินนำหน้าไปนั่งที่นั่งข้างคนขับ “งั้นก็โอนให้พ่อครึ่งหนึ่ง เก็บไว้เป็นเงินเก็บครึ่งหนึ่ง ทำดีไม่ต้องรอหรือต้องรู้ว่ามีใครจะรู้ แม่นายรู้ก็พอแล้วมั้ง” ปรายฝนยิ้มๆ และรีบขึ้นไปนั่งประจำที่นั่งคนขับก่อนจะค่อยๆ เคลื่อนรถขับออกไป สิ่งแรกที่แม่นายใจเดียวทำก็คือ การมาทำบุญถวายสังฆทานที่วัดซึ่งได้ยินจากการสนทนากับพระคล้ายดังว่า แม่นายใจเดียว มาทำบุญให้กับบิดามารดาและญาติ “หายไปนานเลย โยมแม่นาย” ปรายฝนยิ้มๆ เมื่อได้ยิน “ให้ไตรมาแทนค่ะ ขับรถเองไม่ค่อยสะดวกนัก เพราะพอมืดค่ำค่อน ข้างลำบากค่ะท่าน” แม่นายใจเดียวยังคงพูดคุยอยู่กับพระ “หลาน หรือคนทำงานที่ไร่ล่ะนั่น” พระท่านถามถึงปรายฝน “หนูเป็นผู้ช่วยแม่นายค่ะ” ปรายฝนบอก “เออ เก่งนะยังดูเด็กอยู่เลย มาๆ ขยับเข้ามาใกล้” พระท่านหยิบสายสิญจน์มาผูกข้อมือให้แม่นายใจเดียวกับปรายฝนและให้ศีลให้พร “พาเข้าวัดบ่อยๆ ท่าจะดี เพราะเรียบร้อยกว่าปกติ” แม่นายใจเดียวพูดขึ้น ปรายฝนยิ้มๆ “งานที่ไร่เยอะออก แม่นายคงมีเวลามาวัดบ่อยๆ หรอกนะคะ” “ก็จริงของเธอ เดี๋ยวระหว่างขับรถไปธนาคารลองดู ถ้าอยากทานอะไรก็บอก ฉันให้เธอเลือก” “ให้รางวัลเด็กเรียบร้อย หรือคะ” ปรายฝนถาม “ถ้าอยากให้เป็นแบบนั้นก็ได้” “ขอเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้ไหมคะ ปรายทานอะไรก็ได้ กินผักเยอะจนเบื่ออย่างอื่นแล้วเนี่ย” ปรายฝนพูดเสียงอ่อยๆ แกล้งทำ หน้าเศร้าคนที่หันมาเห็นเข้าถึงกับหัวเราะ ปรายฝนยิ้มน้อยๆ ชำเลืองมอง เพราะก่อนหน้าได้ยินมาว่า แม่นายใจเดียวไม่ค่อยมีรอยยิ้มกว้างๆ หรือเสียงหัวเราะสักเท่าไรนักแต่พักหลังๆ ได้เห็นแทบทุกวันมากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่โอกาส “ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงนัก ฉันจะให้” แม่นายใจเดียวหันมายิ้มให้ “แค่นี้แหละ” ปรายฝนหอมแก้มแม่นายใจเดียวฟอดเล็กๆ หลังจากจอดรถอยู่ด้านข้างธนาคาร คนถูกหอมแก้มนั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ทำเอาปรายฝนใจคอไม่ดี “โกรธปราย หรือคะ” ปรายฝนถามเสียงอ่อยๆ เพราะแม่นายใจเดียวเงียบไปครู่หนึ่งนั่งนิ่งมองไปด้านหน้าตัวรถไม่ได้หันมามอง ปรายฝน “เปล่า” แม่นายใจเดียวพูดเพียงแค่นั้นและทำท่าจะเปิดประตูรถ “ปรายจะไม่ทำอีกค่ะ” ปรายฝนหน้าจ๋อยกว่าเดิม เมื่อคนที่ตัวเองจับมือเอาไว้ไม่ยอมหันมามอง “ไม่เป็นไรจริงๆ” “แต่แม่นายไม่ยอมมองหน้าปรายเลยนะ” ปรายฝนพูดเสียงอ่อยๆ “ไปทำธุระให้เสร็จ ฝนตั้งเค้ามืดมาแล้วนั่น ฉันไม่ได้เป็นอะไรแปลกใจนิดหน่อยที่เธออยากได้รางวัลแบบนั้น” แม่นายใจเดียว ยิ้มน้อยๆ หันมามองสบตากับปรายฝนที่ยิ้มกว้างมากขึ้น “ถ้าวันไหนแม่นายอยากได้รางวัลบ้าง ปรายให้หอมแก้มสองข้างเลยค่ะ แต่แน่ใจนะคะว่าไม่เป็นไร” ปรายฝนถามย้ำ “ถ้าถามอีกทีจะให้อดข้าวมื้อกลางวัน” แม่นายใจเดียวทำเสียงเข้ม “โห แค่นี้ต้องดุด้วย นั่งรอก่อนเดี๋ยวไปเปิดประตูให้ค่ะ” ปรายฝนรีบลงจากรถและวิ่งอ้อมไปเปิดประตูให้แม่นายใจเดียวทันที ฝนเริ่มตกตั้งแต่จัดการธุรกรรมของแม่นายใจเดียวที่ธนาคาร โดยปรายฝนจัดการโอนเงินเดือนครึ่งหนึ่งให้กับบิดา จากที่เคยเป็นคนขอเงินและใช้เงินเก่งมาโดยตลอด แต่ด้วยทิฐิจึงตัดสินใจมาทำงานอยู่ไกลบ้าน ซึ่งตอนที่มาไม่ได้คิดอะไรมากนัก หากว่าช่วงเวลาเพียงหนึ่งเดือนทำให้รู้เลยว่าตัวเองตัดสินใจถูกแล้วที่มาทำงานที่ไร่ใจเดียว “เห็นไหม การทำดีทำให้เธอยืนยิ้มอยู่ได้ตั้งนาน” เสียงที่ได้ยินทำให้ปรายฝนยิ้มอายๆ หันไปมองสบตากับคนที่มาหยุดยืนรออยู่ด้านหลัง “ไม่ใช่เรื่องนั้นเรื่องเดียวสักหน่อย” “เรื่องอะไรก็ได้ เธอมีความสุขยิ้มได้ถือเป็นเรื่องดีทั้งนั้นแหละ” “ปรายดีใจกับการตัดสินใจมาทำงานที่ไร่ของแม่นาย” “ฉันก็ดีใจที่มีผู้ช่วยจอมกวนอย่างเธอ ไปหาอะไรกินกันดีกว่า ฝนตกหนักขนาดนี้ไม่รู้จะหยุดตกก่อนเรากลับหรือเปล่า” แม่นาย ใจเดียวบอกแล้วแหงนมองดูท้องฟ้าซึ่งมืดครึ้มและมีฝนตกอย่างหนักอยู่นานพอสมควร
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD