ตอนที่ 5

2497 Words
ปรายฝนรับประทานอาหารเช้าพร้อมกันคนอื่นๆ ที่โรงอาหารซึ่งมีเสียงพูดคุย เสียงหัวเราะให้ได้ยินอยู่ตลอดเวลา แต่เมื่อมองดูรอบๆ ไม่เห็นแม่นายใจเดียว ตอนออกมาจากห้องพักก็ชะเง้อชะแง้ดูไปทางด้านหน้าที่พักแต่ไร้เงาเจ้าของไร่ “แม่นายไร่โน้นเอาอาหารเช้ามาส่ง แม่นายไร่นี้เลยอยู่รับรองที่เรือนรับรองแขก” ปลาพูดขึ้น ปรายฝนขมวดคิ้วเมื่อได้ยิน “ปรายไม่ได้อยากรู้สักหน่อย” ปลากับกลอยยิ้มๆ เมื่อได้ยิน “อ้าวนึกว่ามองหาอยู่ เพราะคนอื่นๆ ก็ยังไม่คุ้นเคยกันนี่ ปลาเลยคิดว่าปรายมองหาแม่นาย” ปลาบอกแล้วหันไปยิ้มกับกลอย “แต่ก็แปลกนะ ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นจะมา” กลอยพูดขึ้น “นั่นสิ” ปลาพูดขึ้นรีบรับประทานอาหารเพื่อเตรียมตัวไปทำงาน “สนิทกันไม่เคยไปมาหาสู่หรอกหรือ” ปรายฝนเอ่ย “ไม่เคยมา เพิ่งเห็นครั้งแรกนี่แหละ” เสียงของไตรดังขึ้นก่อนจะนั่งลงข้างๆ ปรายฝน “เจอที่งานเลี้ยงเห็นออกจะสนิทกัน” ปรายฝนพูดด้วยน้ำเสียงแปร่งๆ ทำเอาอีกสามคนที่นั่งอยู่ด้วยจ้องมองพร้อมๆ กัน “พี่ได้ยินมาว่า ตอนสาวๆ สนิทสนมกัน แต่พอแม่นายแพรพรรณแต่งงานก็ห่างๆ กันไป ไร่ก็อยู่ติดกันแค่นี้เอง ว่าไหม” ไตรพูดขึ้น ปลากับกลอยพยักหน้าแสดงท่าทางเห็นด้วย “นินทาเจ้านาย ป่านนี้สำลักอาหารเช้าเริ่ดหรูแล้วมั้ง” ปรายฝนพูดยิ้มๆ แต่เรียกเสียงหัวเราะให้กับเพื่อนร่วมรับประทานอาหารเช้าทั้งสามคนที่เปลี่ยนเรื่องพูดคุยเป็นเรื่องงานและเรื่องงานวัดที่กำลังจะมีขึ้น ปรายฝนหันไปมองทางบ้านพักของแม่นายใจเดียว ซึ่งถัดไปคงเป็นเรือนรับรองแขก “หน้าตาไม่ค่อยรับแขกเลยนะคะ แม่นายใจเดียว” แพรพรรณพูดแหย่ใจเดียว “คงยังแปลกใจอยู่” ใจเดียวพูดขึ้น “แพรผิดสัญญา แต่มันก็นานมาแล้วตั้งแต่สาวๆ เคยได้ยินว่าที่ไร่ของเดียวอุดมสมบูรณ์เขียวชอุ่มและสวยมากเพิ่งได้มาเห็นกับ ตา” แพรพรรณลุกขึ้นยืนและมองดูไปรอบๆ “เดียวยังอยากให้แพรรักษาสัญญา” ใจเดียวบอกทำเอารอยยิ้มของคนที่ได้ยินจางลง “มันน่าจะหมดอายุได้แล้วนะ” แพรพรรณหันมาเผชิญหน้า “เรื่องของเรามากกว่าที่หมดอายุไปนานมากแล้ว” “แล้วทำไมยังอยู่ตัวคนเดียว” แพรพรรณถาม “เดียวรักสงบและมีความสุขดีกับชีวิตของตัวเอง” “ที่นี่สงบ เงียบ สวยงาม โดยเฉพาะเจ้าของไร่” แพรพรรณขยับเข้าใกล้แต่ใจเดียวขยับถอยห่างออกมา “เดียวต้องไปทำงาน ถ้าแพรอยากอยู่จะให้เด็กๆ มาคอยดูแล” “เป็นเจ้าของยังไงกัน ไม่คิดจะพาแขกชมไร่หรอกหรือ แพรไม่ลอก เลียนแบบหรอกน่า นะ ขับรถพาชมไร่หน่อยมีหลายจุดที่นิตยสารถ่ายรูปไว้สวยมาก แพรอยากให้เดียวพาไปดูหน่อยได้ไหม” แพรพรรณถามด้วยการขยับเข้าไปกระซิบใกล้ๆ “เดียวไม่ได้ใช้รถ” ใจเดียวพูดขึ้น “เดินก็ได้” แพรพรรณพูดเสียงอ่อยๆ “จักรยานคนละคัน ถ้าปั่นไหวก็เชิญ” ใจเดียวพูดขึ้น แพรพรรณยิ้มและรีบเดินตามเจ้าของไร่ไปทันที ปรายฝนมารออยู่ที่หน้าสำนักงานตามปกติเพราะมีหน้าที่ขี่จักรยานพาแม่นายใจเดียวตรวจดูไร่ โดยเริ่มจากสวนส้มที่ยังคงมีผลอยู่จำนวนมากเรียกว่าเก็บกันไม่หวาดไม่ไหว จากที่ยืนยิ้มแป้นอยู่เมื่อเห็นแม่นายใจเดียวหากแต่เมื่อเห็นคนที่เดินตามมาทำให้รอยยิ้มของปรายฝนจางลง แพรพรรณยิ้มๆ เมื่อเห็นปรายฝนพนมมือไหว้เป็นการทักทาย “ปรายอยู่ที่สำนักงานช่วยปลากับกลอยก็ได้ค่ะ” ปรายฝนบอกกับแม่นายใจเดียวที่ทำหน้านิ่งจ้องมอง “ทำไมเบื่อทำหน้าที่ของตัวเองแล้วหรือไง” แม่นายใจเดียวพูดดุ “เปล่าสักหน่อย ก็เห็นมีแขกนึกว่าจะไม่ตรวจไร่เหมือนทุกเช้า” “ถ้าไม่ไปฉันจะบอกเธอเอง ไปเอาจักรยานมาให้แม่นายแพรพรรณคันหนึ่ง” แม่นายใจเดียวสั่งปรายฝนที่เดินไปจูงจักรยานมา ให้ตามสั่ง “แพรจะตามไปดูงาน หรือจะขี่ชมไร่เองก็ตามสะดวก เดียวต้องไปทำงาน ถ้าเหนื่อยก็กลับมาพักที่เรือนได้” ใจเดียวยิ้มน้อยๆ ก่อนจะหันมาดันหลังปรายฝนที่ยืนขมวดคิ้วจ้องมอง เพราะไม่รู้ว่าตัวเองต้องทำอย่างไร “แพรปั่นตามเดียวดีกว่า คนสวยกว่าธรรมชาติอีก” ปรายฝนทำตา โตเมื่อได้ยินการพูดจาเกี้ยวพาราสีเจ้านายของตัวเอง “ไปสิหน้าที่ของเธอคืออะไร ยังไม่รู้อีกหรือ” เมื่อได้ยินปรายฝนจึงรีบขึ้นนั่งประจำที่รอจนแม่นายใจเดียวขึ้นซ้อนท้าย จึงเคลื่อน รถจักรยานไปช้าๆ ไม่ได้แกล้งเหมือนทุกเช้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยขับส่ายไปส่ายมา “ทำไมไม่ขี่เองล่ะ” ปรายฝนบ่นพึมพำ “ถ้าไม่อยากขี่ให้นั่งซ้อนก็จอด เดี๋ยวฉันไปเอง” แม่นายใจเดียวพูดเสียงเข้ม “อยากไปขี่ให้แขกซ้อนท้ายล่ะสิ อย่าได้หวังเล๊ย” ปรายฝนรีบปั่นไปอย่างรวดเร็ว แม่นายใจเดียวแอบยิ้ม แล้วส่ายหน้ากับการ พูดจาต่อปากต่อคำ แต่ความเร็วกับทางที่ไม่ค่อยเรียบทำให้ต้องรวบเอวปรายฝนเอาไว้ “ลืมคิดไปเนอะ” แม่นายใจเดียวอมยิ้ม เมื่อปรายฝนยิ่งเพิ่มความ เร็วให้มากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งทำให้ต้องกระชับมือที่โอบเอวของ ปรายฝนเอาไว้ให้แน่นขึ้นอีก ไตรอยู่ที่สวนฝรั่ง เพราะกำลังมีการเก็บผลผลิตเพื่อออกจำหน่ายซึ่งต้องมาคอยเฝ้าดูคนงานให้ระมัดระวัง ถึงแม้จะมีความชำนาญกันแล้วก็ตาม แต่บางทีความขี้เกียจอาจทำให้ละเลยจนทำให้ผลผลิตเสียหายไปบ้าง ไตรในฐานะหัวหน้าคนงาน จึงมาดูแลและช่วยเหลือแนะนำคนงานที่เพิ่งมาใหม่ด้วย “ปลอดสารพิษ ก็กินได้เลยสิ พี่ไตร” เสียงของปรายฝนทำให้ไตรหันมายิ้มๆ โดยไม่รู้ว่า แม่นายใจเดียวกับแม่นายแพรพรรณมาด้วย “เอ๊า ลองดู” ไตรหันมาพร้อมกับผลฝรั่ง แต่เมื่อเห็นแม่นายทั้งสองจึงรีบพนมมือไหว้ทักทาย “อร่อยจริงๆ ด้วย” ปรายฝนพูดยิ้มๆ ก่อนจะเดินไปดูคนงานถามโน่นถามนี่และเริ่มช่วยเก็บผลฝรั่งลงในตะกร้า “ไตรขยันเสมอเลยนะ” แม่นายแพรพรรณเอ่ยชม “น้อยกว่าแม่นายใจเดียวครับ” ไตรพูดยิ้มๆ ก่อนขอตัวไปทำงาน โดยใจเดียวกับแพรพรรณเดินดูคนงานรอบๆ บริเวณ แพรพรรณยิ้มๆ มองดูใจเดียวที่เดินไปพูดคุยกับคนที่ทำงานอย่างสนิทสนมคุ้นเคย ปรายฝนไม่ได้หันมาสนใจแม่นายทั้งสองอีกเลย แต่ไปสนใจกับคนงานไม่ต่างจากเจ้าของไร่สักเท่าไรนัก แพรพรรณถึงแม้จะเป็นเจ้าของไร่เหมือนกัน แต่ไม่เคยลงมาสำรวจหรือดูแลเหมือนอย่างที่ใจเดียวทำ เพราะมีหัวหน้าคนงานดูแลให้เป็นอย่างดีตั้งแต่สมัยที่สามียังอยู่จนถึงทุกวันนี้ “ระวังจะท้องอืดนะครับ คุณผู้ช่วยแม่นาย” เสียงของชายสูงวัยบอกปรายฝนที่หัวเราะคิกคักและหยุดอยู่ตรงนั้น โดยปล่อยให้คนงานสูงวัยได้พักและตัวเองทำหน้าที่แทน “ไปอยู่ตรงไหน สร้างเสียงหัวเราะได้ตลอด” ไตรบอกแม่นายใจเดียวที่ส่ายหน้าขณะมองไปทางปรายฝนที่พูดเจื้อยแจ้วอยู่กับ ชายสูงวัย “ช่างพูดช่างคุย แต่จะไม่ขยันล่ะสิ” แม่นายใจเดียวพูดขึ้น “สร้างความบันเทิง ก็ทำให้พวกเราหายเหนื่อยได้มากนะครับ” “ช่างว่าล่ะไม่ว่า เออเดี๋ยวเที่ยงบอกคนงานให้เลิกงานไวหน่อยนะจะได้มีเวลาเตรียมตัวไปเที่ยวงานวัดกัน เอารถขับพากันไป มืดค่ำอันตราย” แม่นายใจเดียวบอกกับไตรที่ยิ้มกว้างทันที “ครับผม คงดีใจกันน่าดู ถ้ารู้เข้า” ไตรหัวเราะ “ฉันสั่งเบิกเงินไว้ซื้อของกินด้วย ไตรไปรับเงินที่ปลาแล้วไปแจกจ่ายให้ครบทุกคน คนพาลูกหลานไปจะได้มีเงินซื้อขนมกินกัน ไอ้เงินค่าแรงได้เก็บเอาไว้ใช้อย่างอื่น” แม่นายใจเดียวบอก แพรพรรณยิ้มๆ กับสิ่งที่ได้ยิน ความใจดีของอดีตคนรักไม่เคยเปลี่ยนไป ใจเดียวรู้จักแบ่งปันตั้งแต่เด็ก แม้มีไม่มากนัก แต่ก็มักแบ่งปันให้กับคนที่ไม่มีเสมอ “ขอบคุณแทนทุกคนด้วยครับ” ไตรพนมมือไหว้พร้อมด้วยรอยยิ้มและปลีกตัวไปดูทางอื่น เมื่อเห็นแม่นายแพรพรรณเดินมาหยุดยืนอยู่ใกล้ๆ “ใจดีไม่เคยเปลี่ยน น่าจะชื่อแม่นายใจดีมากกว่าใจเดียวนะ” คนพูดยิ้ม ขณะมองไตรที่เดินไปหยุดพูดคุยกับปรายฝน ซึ่งมีรอย ยิ้มสดใสให้เห็น “คนมีความสุข ก็จะทำงานได้อย่างขยันขันแข็ง เงินไม่ได้มากมายอะไร เดียวไม่อยากให้คนงานของตัวเองเหมือนเดียวที่เมื่อก่อนไปเที่ยวงาน วัดได้แต่ยืนมองดูของที่ตัวเองอยากกิน” ใจเดียวพูดยิ้มๆ มองดูปรายฝนที่ยังคงพูดคุยอยู่กับชายสูงวัยที่ได้นั่งพัก โดยเจ้าตัวช่วยทำงานแทน “ใจดีมาก คนงานจะเสียคนเอา” แพรพรรณพูดคล้ายเตือน “ก็ตักเตือนกันไป เดียวไม่รู้สึกว่าคนที่ทำงานให้เป็นลูกจ้าง แต่คิดว่าเขาเป็นญาติ เราก็ช่วยดูแลกันตามสมควร เงินทองมีมาก ใช่ว่าจะทำให้มีความสุข ไม่เชื่อลองดูรอยยิ้มของคนที่ไตรไปบอกว่าจะได้ไปเที่ยวงานวัดนั่นสิ แต่ก็นะความสุขของแต่ละคนแตกต่าง กัน” ใจเดียวบอก แต่คนที่รู้สึกว่ากำลังถูกเหน็บแนมก็คือ แพรพรรณ “คนเราอยากได้อยากมี ถือเป็นเรื่องปกติ” แพรพรรณพูดขึ้น “เดียวคิดอย่างนั้นเหมือนกัน” ใจเดียวถอนใจ เพราะมีคนงานหลายคนที่มาขอทำงานด้วยซึ่งลาออกมาจากไร่ของแพรพรรณ ไตรพยักพเยิดให้ปรายฝนทำหน้าที่ของตัวเอง โดยทำหน้าที่ขับรถพาใจเดียวไปเที่ยวงานวัด เพราะก่อนหน้านัดแนะเป็นอย่างดีกับคนอื่นๆ ที่จะขึ้นรถไปเที่ยวด้วยกัน “หน้าบูดขนาดนี้ ฉันขับไปเองก็ได้” แม่นายใจเดียวพูดขึ้น “ไม่เอาล่ะ เดี๋ยวโดนหักเงินเดือน ฝากบอกคนอื่นๆ ด้วยนะ พี่ไตรไว้เจอกันที่วัด” ปรายฝนบอกกับไตรที่รีบกลับไปรวมกลุ่มกับทุกคน “ตามเพื่อนไป สนุกตามประสาเด็กๆ เถอะ ฉันขับรถไปเองเพราะอยากไปไหว้พระเท่านั้น” แม่นายใจเดียวบอกกับปรายฝน “มืดค่ำแล้ว ปรายขับให้ดีแล้วล่ะค่ะ แต่แม่นายอย่ารีบกลับนักนะ เดินเที่ยวเล่นเป็นเพื่อนกันก่อน ปรายอยู่แต่กรุงเทพฯ งานวัดมี แต่ตลาดนัดขายของนะคะ นะ นะ” ปรายฝนพูดอ้อน แม่นายใจเดียวยิ้มๆ กับแววตาที่ดูสดใสตามประสาเด็กที่จะได้เห็นอะไรใหม่ๆ “งานมียันสว่างเลยนะ” แม่นายใจเดียวบอก “ว๊าว ดีจัง” ปรายฝนหัวเราะคิกคัก “พรุ่งนี้ตื่นมาทำงานช่วงเช้าไปดูสวนผลไม้ สายๆ ให้หยุดพักได้” “แม่นายใจดี ฝุดๆ” ปรายฝนหัวเราะ “ขับช้าๆ ถนนค่อนข้างมืดทางไปวัดน่ะ” แม่นายใจเดียวบอกและแอบมองปรายฝนที่ขับรถอย่างตั้งใจและมีรอยยิ้มให้เห็นตลอด ทาง ใจเดียวถอนใจเบาๆ เมื่อมองเห็นแพรพรรณ ปรายฝนจึงมองตามสายตาของแม่นายใจเดียวที่หันมายิ้มน้อยๆ ให้ “มีนัดกันนี่เอง ถึงได้ไล่เราให้ไปกันคนอื่น” ปรายฝนบ่นพึมพำ “ถ้าฉันนัด แล้วเธอจะทำไม” แม่นายใจเดียวถาม “ก็ไม่ทำไม ต่างคนต่างเที่ยว ปรายขอตัวก่อนนะคะ” ปรายฝนบอก “เดี๋ยว” แม่นายใจเดียวจับมือปรายฝนเอาไว้ “คะ” ปรายฝนมองดูที่มือของแม่นายใจเดียว โดยตัวเองไม่คิดที่จะดึงมือออก “อยากจะกลับกี่โมง” แม่นายใจเดียวถาม น้ำเสียงที่แฝงเอาไว้ด้วยความอบอุ่นทำให้ปรายฝนนิ่งคิด “แม่นายล่ะคะ อยากกลับกี่โมง” ปรายฝนถามกลับ “ฉันไม่ได้นัดใคร งานวัดใครๆ ก็มาเที่ยวเองได้ อยากให้เธอรู้ไว้” “ตอบไม่ตรงคำถาม” “ฉันแค่อยากมาไหว้พระ แล้วก็เดินเล่นนิดหน่อย” แม่นายใจเดียวบอกกับปรายฝน “งานไม่ใหญ่นัก ปรายเดินเล่นสักพักหาของอร่อยกินไม่น่านานค่ะ ว่าแต่ว่าไม่อยากอยู่นานๆ หรอกหรือคะ” ปรายฝนถาม “ปกติฉันมาไม่นานนักหรอก ไปเถอะ เพื่อนๆ รอแล้วล่ะ” “ถ้าอย่างนั้นอีกชั่วโมงหนึ่ง ปรายมารอที่รถนะคะ” ปรายฝนยิ้มจางๆ รู้สึกแปลกที่ใจรู้สึกสงบ เมื่อถูกกุมมือเอาไว้ไม่ยอมปล่อย “ให้สองชั่วโมง เพราะกว่าจะต่อคิวขึ้นชิงช้าสวรรค์ก็นานโขอยู่” “รู้ทันด้วย แต่ถ้าแม่นายไม่ปล่อยมือ ปรายก็ไปไม่ได้นะ” ปรายฝนยิ้มอายๆ เมื่อเห็นรอยยิ้มกับท่าทีเขินอายของแม่นายใจเดียว “อากาศเย็นๆ จับมือเธอไว้อุ่นดี” แม่นายใจเดียวบอก “ถ้าปรายเที่ยวทั่วแล้ว จะออกเดินตามหานะคะ ได้พากลับไปนอนเร็วๆ อายุเยอะแล้วเดี๋ยวไม่สบาย” ปรายฝนหัวเราะคิกคักก่อนจะรีบลงจากรถยนต์และไปพนมมือไหว้ทักทายแพรพรรณ “อย่ามาหลงคนแก่เข้าก็แล้วกัน เด็กบ้า” แม่นายใจเดียวยิ้มๆ มองดูปรายฝนที่รีบวิ่งไปรวมกลุ่มกับคนอื่นๆ ที่เพิ่งมาถึง “นึกว่าไตรขับรถให้เสียอีก” แพรพรรณพูดขึ้น “ไตรต้องดูแลคนงานที่มาเที่ยวด้วยกัน” “นึกว่าเดียวอยากมากับเด็กนั่นเองเสียอีก” “หน้าที่ขับรถเป็นของผู้ช่วยอยู่แล้ว” ใจเดียวบอก “แต่ล่ำลากันนานไปนะ กว่าจะลงมาจากรถได้” “มันก็เรื่องของเดียว ไม่ใช่หรือ” ใจเดียวพูดขึ้นและรีบเดินไปทางอุโบสถเพื่อกราบพระ “ก็อยากรู้ว่าจะใจแข็งไปได้สักกี่น้ำกัน” แพรพรรณพูดยิ้มๆ และรีบเดินตามไปทันที
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD