ความเงียบมาพร้อมกับเวลาที่ดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า แสงไฟพอมีให้เห็นบ้าง แต่ไม่ได้มากมายอะไรนัก ปรายฝนออกมายืนอยู่หน้าห้องพักมองผ่านความมืดมิดที่อยู่ตรงหน้า ความหนาวเย็นที่กลอยกับปลาบอกเริ่มเผยตัวตนเข้ามาในความรู้สึกเมื่อลมเย็นๆ พัดมากระทบเข้าที่ร่างกาย หลัง จากรับประทานอาหารเย็น ปรายฝนเดินสำรวจบ้านหลังใหญ่ที่ด้านหน้าเป็นส่วนสำนักงานและด้านข้างเป็นห้องพักของตัวเอง แต่ไม่เห็นคนอื่น เพราะทุกคนแยกย้ายไปตามเรือนพักซึ่งมองเห็นได้จากบริเวณที่ยืนอยู่
“หนาวเข้าไปถึงกระดูกเลย เข้าห้องที่กว่า” ปรายฝนรำพึงออกมา
“เดี๋ยว” เสียงนั้นทำให้รีบหันไปทันที ถึงแม้จะมืดมิด แต่แสงสว่างที่มีอยู่เพียงเล็กน้อยยังพอช่วยให้เห็นว่าเป็นแม่นายเจ้าของไร่
“คะ” ปรายฝนขมวดคิ้วเล็กน้อย
“เสื้อกันหนาว ตัวใหญ่ไปสักหน่อย แต่ดีกว่าไม่มีใส่ มันเก่าไปหน่อย เพราะฉันใส่มานานมากแล้ว ถ้าอุ่นไม่พอในห้องมีกระติกน้ำร้อนเอาน้ำใส่ขวดแก้วแล้วห่อผ้าไว้ กอดหรือวางเอาไว้ใต้ผ้าห่มพอช่วยได้ ฉันไม่อยากให้มาป่วยตายที่นี่ เด็กสมัยนี้ไม่คิดเตรียมตัวอะไรเอาเสียเลย” แม่นายใจเดียวพูดจบก็ยื่นเสื้อให้ปรายฝนที่ยืนนิ่งจ้องมองแววตาและใบหน้าเรียบนิ่งที่จ้องเขม็งไม่ลดละเลยแม้แต่น้อย
“ไม่คิดว่าจะธรรมช๊าตธรรมชาติขนาดนี้นี่เจ้าคะ เสื้อไม่ต้องหรอกค่ะ ผ้าห่มก็พอแล้ว เดี๋ยวสวมเสื้อแขนยาวอีกสักสองตัวคงอุ่นพอ ตอนแรกฟังดูเหมือนจะใจดี แต่ตอนท้าย” ปรายฝนยักไหล่เล็กน้อยและทำท่าจะเดินเข้าห้องพักไป แต่ไม่ทันปิดประตูเสื้อตัวที่แม่นายใจเดียวถืออยู่เมื่อสักครู่ถูกโยนเข้ามาภายใน ก่อนเจ้าตัวจะหายไปภายในพริบตาไม่ทันที่ปรายฝนได้พูดอะไร ประตูห้องพักก็ปิดปังเสียงดังลั่น
“คนป่า เผด็จการแบบป่า” ปรายฝนบ่นพึมพำขณะเดินไปหยิบเสื้อกันหนาวแขนยาวสีหม่นซึ่งกองอยู่ที่พื้นมากอดเอาไว้ ความหนาวเย็นไม่ได้ลดน้อยลงเลย เพราะฝนยังคงตกพรำๆ สลับกับตกหนักอยู่ตลอดตั้งแต่มาถึง ก่อนจะล้มตัวลงนอนจึงรับประทานยา โดยเสื้อกันหนาวถูกวางกองเอาไว้ปลายเท้า ปรายฝนห่มผ้าอยู่ครู่หนึ่งแต่ความหนาวเย็นไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย ถึงกับต้องรีบลุกไปทำตามคำแนะนำของแม่นายใจเดียว โดยเสียบปลั๊กกาน้ำร้อนและเทใส่ขวดแก้วซึ่งวางอยู่ใกล้ๆ กัน แล้วห่อด้วยเสื้อของตัวเองนำมากอดไว้ทำให้รู้สึกสบายขึ้น
“จะตายไหมฉัน” เสื้อกันหนาวที่วางอยู่อาจจะช่วยให้หลับสบายขึ้นปรายฝนลดทิฐิที่ก่อตัวขึ้นตอนได้พบกับแม่นายใจเดียวลง จึงนำมาสวมใส่ทำให้รู้สึกอุ่นขึ้นมากและหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า
แสงที่สาดส่องผ่านผ้าม่านเข้ามาทำให้ปรายฝนตกใจและรีบวิ่งเข้าไปทำกิจวัตรทันที โดยไม่ได้ดูนาฬิกาข้อมือที่สวมใส่อยู่ แม้แต่เสียงปลุกเตือนของโทรศัพท์ซึ่งตั้งเอาไว้ก็ไม่ได้ยิน
“ตายๆ ล่ะ ไอ้ปราย” ปรายฝนรีบวิ่งแจ้นเข้าไปในห้องน้ำและกลับออกมาภายในไม่กี่นาที เพราะไอ้เจ้าอากาศที่ยังคงหนาวเหน็บทำให้ประหยัด เวลาไปได้มาก
“เสื้อก็อุ่นเกินไป ตื่นสายเลยเนี่ย” ปรายฝนหัวเราะเล็กๆ เมื่อพูดต่อว่าเสื้อที่ตัวเองสวมใส่และรีบวิ่งออกจากห้องไปอย่างเร่งด่วน แต่กลิ่นกาแฟหอมๆ ทำให้หยุดชะงักแล้วหันไปมอง จึงเห็นว่าแม่นายใจเดียวนั่งอยู่พร้อมกับกาต้มกาแฟแบบเก่า แต่ไอ้เจ้ากลิ่นกาแฟนั่นต่างหากที่ทำให้น้ำย่อยในกระเพาะเริ่มทำงานจนรู้สึกปั่นป่วน
“นั่งสิ กาแฟไหม” แม่นายใจเดียวถามปรายฝน
“ทานได้หรือคะ นึกว่าต้องไปที่โรงอาหาร” ปรายฝนถาม
“กินได้สิ ไม่เห็นจะยากตรงไหน นั่งลงเทกาแฟใส่แก้ว ถ้าชอบหวาน ก็เติมน้ำผึ้งคนๆ ยกขึ้นดื่ม ก็แค่นั้น” แม่นายใจเดียวบอก โดยสายตาจับจ้องมองไปตรงหน้าไม่ได้สนใจปรายฝนที่ยืนถอนใจอยู่
“เฮ้อ” ปรายฝนถอนใจเสียงดังอยากให้คนที่นั่งอยู่ก่อนได้ยิน
“ขี่จักรยานเป็นหรือเปล่า” แม่นายใจเดียวถาม เมื่อปรายฝนนั่งลงข้างๆ ซึ่งเป็นเก้าอี้ที่ตั้งเอาไว้ที่ระเบียง เมื่อมองตามสายตาของเจ้าของถึงได้รู้ว่าภาพตรงหน้าช่างงดงามไปด้วยสีเขียวชอุ่มของต้นไม้ ต้องเรียกว่าเขียวมากเสียจนทำให้ปรายฝนลืมตอบคำถามของคนที่กำลังหันมามอง
“อะไรคะ” ปรายฝนถาม
“ถามว่าขี่จักรยานเป็นหรือเปล่า” แม่นายใจเดียวถามเสียงเข้ม
“เป็นค่ะ” ปรายฝนตอบ ถึงแม้มีคำลงท้ายแต่น้ำเสียงก็ชวนให้โมโหอยู่เหมือนกัน
“ดี ถ้าอย่างนั้นจะได้ปั่นจักรยานไปดูไร่ให้ทั่วๆ ส่วนฉันจะซ้อนท้ายเธอไป ขี้เกียจปั่น” แม่นายใจเดียวบอก ปรายฝนขมวดคิ้ว
“กินแรงกันเกินไปนะคะ” ปรายฝนพูดขึ้น แต่เมื่อเห็นแก้วกาแฟของแม่นายใจเดียวว่างเปล่า จึงยกกาต้มกาแฟเทเติมให้
“ไม่นะ เพราะฉันจ่ายเงินเดือน” แม่นายใจเดียวบอก
“พื้นก็แฉะ ฝนยังตกปรอยๆ แล้วยังจะซ้อนจักรยาน โหดร้าย”
“เดี๋ยวก็มีแดด กินข้าวเสร็จเจอกันที่สำนักงาน อย่าโอ้เอ้ ฉันไม่ชอบคนเรื่องมาก เข้าใจนะ” แม่นายใจเดียวพูดและลุกขึ้น ขณะมองดูที่แก้วกาแฟซึ่งปรายฝนเพิ่งเติมให้ จึงหยิบแก้วก่อนที่จะเดินจากไป
ปรายฝนมารออยู่ที่ด้านข้างสำนักงาน ซึ่งอีกด้านเป็นอู่จอดรถที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ ส่วนใหญ่เป็นรถที่ยังดูใหม่อยู่ แต่ความคิดหยุดลงเมื่อเห็นแม่นายใจเดียวเดินออกมาจากห้องพักซึ่งอยู่ติดกับสำนักงาน
“ไปอย่าชักช้า” แม่นายใจเดียวพูดเสียงเรียบพร้อมกับยื่นหมวกสานแบบมีปีกให้ ปรายฝนขมวดคิ้วจ้องมอง
“ไม่ใส่ก็ตามใจ อย่ามาบ่นตอนฝ้าขึ้นก็แล้วกัน” แม่นายใจเดียวพูดขึ้นแล้ววางหมวกเอาไว้ที่รถกระบะและพยักพเยิดไปที่จักรยานคันหนึ่ง
“แม่นายหน้าใส เชื่อก็ได้” ปรายฝนเดินไปหยิบหมวกมาสวมใส่ก่อนจะรีบไปประจำที่เตรียมพร้อมเป็นสารถีให้เจ้านาย
“มอเตอร์ไซค์ก็มีจะให้ปั่นจักรยานทำไมล่ะเนี่ย” ปรายฝนบ่นพึมพำก่อนจะค่อยๆ เคลื่อนรถจักรยานออกไป
“ขาแข้งจะได้แข็งแรง” แม่นายใจเดียวบอก ปรายฝนยิ้มๆ ขณะเริ่มแกล้งโดยทำให้จักรยานส่ายไปมาอยากแกล้งคนซ้อนท้ายให้เสียหลัก
“ขี้แกล้งเสียจริงแม่คนนี้” แม่นายใจเดียวคิด ก่อนโอบไปที่เอวของปรายฝนที่จอดจักรยานทันที
“ไปสิ จะหยุดทำไม” แม่นายใจเดียวพูดเสียงเข้มแต่แอบยิ้ม
“ปั่นดีแล้ว ไม่ต้องกอดเอวแล้วก็ได้ค่ะ” ปรายฝนพูดขึ้น
“เผลอได้ที่ไหน เกิดเธออยากแกล้งอีกล่ะ” แม่นายใจเดียวพูดขึ้น
“ใช่สิเป็นคนจ่ายเงินเดือน สั่งอะไรก็ต้องตามนั้นนั่นแหละ” ปรายฝนบ่นพึมพำ แค่เพียงครู่เดียวเมื่อมองดูโดยรอบ ซึ่งก่อนหน้า
ไม่ทันได้สังเกตว่า บริเวณโดยรอบที่ดูเขียวชอุ่มและชุ่มไปด้วยหยดน้ำที่เกาะตามต้นไม้ใบหญ้า เมื่อแสงแดดทอประกายทำให้เกิดความระยิบระยับงามจับตาเสียเหลือเกิน
“ขอจอดถ่ายรูปแป๊บได้ไหมคะ” ปรายฝนถาม
“ไม่ได้ ไม่ได้มาเที่ยว ขี่ตรงไปให้ถึงสวนส้มข้างหน้าโน่น หรือว่าเธอคิดว่าจะอยู่แค่ประเดี๋ยวประด๋าวก็จอดถ่ายรูปได้” สิ่งที่ได้
ยินเหมือนเป็นการดูถูกปรายฝนจึงรีบปั่นจักรยานให้เร็วขึ้นด้วยความขุ่นเขืองใจกับคำดูถูกของแม่นายใจเดียวซึ่งกอดกระชับที่เอวของปรายฝนเอาไว้แน่น
“ถ้าไม่ได้เป็นอย่างที่พูด ก็ไม่จำเป็นต้องโกรธ ต้องโมโห เพราะจะทำให้ตัวเธอเองเหนื่อย คนพูดไม่ได้รู้สึกอะไรด้วยเลย เหนื่อยเปล่าๆ”
“ไม่ได้เป็นคนเย็นชาเหมือนใครบางคนนี่จะได้ไม่ต้องรู้สึกรู้สาอะไร” ปรายฝนพูดขึ้นและเร่งความเร็ว เพราะรู้สึกไม่ค่อยพอใจในตัวเจ้านายสักเท่าไรนัก
“แต่ฉันมีความสุขกับสิ่งที่มี สิ่งที่เป็น เธอล่ะมีอะไรในชีวิตบ้างที่ทำให้เธอมีความสุข ถ้ามีความสุขคงไม่ต้องหนีความศิวิไลซ์มาอยู่ไกลขนาดนี้หรอกมั้ง” แม่นายใจเดียวพูดขึ้น ขณะจักรยานที่ซ้อนท้ายมาจอดสนิท
“ก็แม่นายมีทุกอย่าง มีที่ดินกว้างใหญ่ไกลสุดลูกหูลูกตา บ้านหลังใหญ่ คนทำงานให้มากมาย ก็พูดได้สิคะ” ปรายฝนบอก
“ความสุขไม่ได้อยู่ภายนอก มันอยู่ในนี้” แม่นายใจเดียวเอามือทาบทับที่หน้าอกด้านซ้ายและเดินเข้าไปตามทางเดินที่เต็มไปด้วยต้นส้มซึ่งกำลังออกผลสีสันสวยงามเสียจนทำให้ปรายฝนเลิกพูดจาต่อว่าต่อขานเดินตามไปเงียบๆ จนได้ยินเสียงทักทายจากคนที่มาเก็บผลส้มเตรียมส่งไปขาย
“เป็นไงนังหนู เมื่อคืนหลับสบายดีไหม” เสียงหญิงสูงวัยเอ่ยถาม
“ตื่นสายเกือบโดนไล่ออกเลยล่ะจ้ะ ป้าจ๋า” ปรายฝนหัวเราะ เมื่อเห็นแม่นายใจเดียวหันมามอง คนถามเองถึงกับหัวเราะออกมา
“ใครโดนแม่นายไล่ออก ชาตินี้คงหางานทำยาก หรือไม่ก็ต้องไปเป็นโจรเป็นขโมยล่ะ นังหนูเอ๊ย” หญิงสูงวัยพูดขึ้นก่อนจะหันไปบรรจงเก็บส้มโดยทะนุถนอมดุจเป็นของล้ำค่า ปรายฝนรีบหยิบโทรศัพท์มากดถ่ายรูปเอาไว้ หากเป็นการมาเที่ยวคงจะดีไม่น้อย ปรายฝนคิดแล้วถอนใจ
“เรื่องรถใหม่เรียบร้อยไหม ไตร” แม่นายใจเดียวถามคนงาน
“ที่จอดอยู่ก็ใหม่ๆ ทั้งนั้นเลย ต้องมีรถเยอะขนาดนั้นเลยหรือ” คนได้ยินแอบคิด
“เรียบร้อยครับ รถจะมาส่งถึงไร่วันพุธหน้าครับ แม่นาย”
“ดี ไตรเอาไปจอดไว้ตามเรือนพัก แล้วเขาจะมาเอารถเก่าไปด้วยเลยหรือเปล่า” แม่นายใจเดียวถามไตร
“ครับ”
“เป็นผู้ช่วยมีรถประจำตำแหน่งป้ายแดงด้วยหรือคะ” ปรายฝนพูดขึ้น แม่นายใจเดียวถอนใจก่อนจะหันไปยิ้มน้อยๆ ให้
“คันที่ปั่นมานั่นไง ไบซิเคิลประจำตำแหน่ง” แม่นายใจเดียวบอกทำเอาคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ แอบยิ้มกันบ้างหัวเราะให้ได้ยินบ้าง
“เรียบหรูเสียจนน่องโป่งกันเลยทีเดียว” ปรายฝนยิ้มๆ ให้ไตรที่ยิ้มแล้วส่ายหน้ากับสาวสวยที่รีบเดินตามแม่นายใจเดียวไป
แม่นายใจเดียวหลังจากออกจากสวนส้มก็ขึ้นซ้อนท้ายจักรยานโดยมีปรายฝนนักปั่นที่น่องท่าจะโป่ง เพราะถูกบังคับให้ไปดูส่วนต่างๆ ของไร่อันกว้างใหญ่ไพศาลเสียเหลือเกินในความรู้สึกของคนที่ถึงกับหอบ เมื่อได้ยินแม่นายใจเดียวบอกให้จอดที่เรือนพักของเจ้าหน้าที่ผู้หญิง แต่ได้พักแค่เพียงครู่เดียวก็ต้องปั่นกลับไปยังอาคารสำนักงาน แม่นายใจเดียวนั่งยิ้มอยู่ด้านหลัง เพราะปรายฝนเริ่มปั่นจักรยานช้าลง
“พรุ่งนี้ไปอีกขอขี่มอเตอร์ไซค์เถอะนะ แม่นายใจดี” ปรายฝนออกอาการหอบให้เห็นเมื่อปั่นจักรยานกลับมาถึงสำนักงาน จึงหยอดคำหวานด้วยการเปลี่ยนชื่อแม่นายเป็นแม่นายใจดี
“เดือนเดียวก็ชิน ขาแข้งจะแข็งแรง เดินเข้ามาไม่เมื่อยหรือเหนื่อยเหมือนเมื่อวานตอนเข้ามาที่ไร่ คนที่นี่ส่วนใหญ่จะเดิน ถ้าไม่ได้รีบร้อนนักและเขาจะเผื่อเวลาเอาไว้ ไม่นอนตื่นสายเหมือน” แม่นายใจเดียวหยุดพูดเพียงแค่นั้น
“ไม่ชอบขี้หน้ากันเป็นส่วนตัวหรือเปล่าเนี่ย” ปรายฝนบ่นพึมพำขณะเดินตามเข้าไปยังสำนักงาน จึงได้ยินเสียงทักทายของกลอยกับปลาซึ่งมอง ดูไปที่เสื้อผ้าของปรายฝน
“แต่งตัวเข้ากับไร่มากเลย ปราย” กลอยหัวเราะเล็กๆ
“แม่นายไม่บ่นหรอกหรือ แต่งตัวเหมือนสาวออฟฟิศในกรุงเทพเลย” ปลาหัวเราะเช่นกัน ปรายฝนจึงเริ่มสำรวจเสื้อผ้าของตัวเองแล้วมองไปยังเสื้อผ้าของสองสาว ซึ่งถึงแม้ทำงานในส่วนสำนักงาน แต่แต่งตัวไม่ต่างจากคนที่เก็บส้มอยู่ในสวนสักเท่าไรนัก
“ขี้เกียจจะว่า คนอยากสวยจะไปห้ามทำไม๊ กางเกงคงซักออกหรอกนะนั่นน่ะ ขี้โคลนกระเด็นติดข้างหลังเต็มไปหมด” แม่นายใจเดียวพูดขึ้น
“โอ๊ย ตายแล้ว” ปรายฝนก้มไปมองที่ขากางเกงของตัวเอง
“มาๆ จะพาไปเลือกชุดชาวไร่” กลอยหัวเราะขณะดึงตัวปรายฝนให้ตามเข้าไปดูเสื้อผ้าที่แม่นายให้จัดเตรียมเอาไว้เผื่อพนักงานและคนงาน
“หักเงินเดือนชุดล่ะเท่าไร” ปรายฝนถาม กลอยยิ้มๆ ก่อนจะหัวเราะออกมา เพราะไม่คิดว่าจะได้ยินใครถามแบบนี้
“ไม่หักเงิน แม่นายใจดีออกจะตายไป อยากได้กี่ชุดก็เลือกเอาเลย” เสื้อผ้าไม่ได้แตกต่างจากที่ทุกคนสวมใส่ รวมถึงแม่นายใจ
เดียวด้วย
“ขอบใจนะ กลอย แค่สามชุดก็พอ ขยันซักเอาหน่อย”
“ไม่ต้องขอบใจกลอยหรอก คนที่ควรขอบใจโน่นคนในห้องโน่น”
“ไว้ค่อยบอกทีเดียว สะสมไว้เยอะๆ ก่อน เป็นชาวไร่หรือผู้นำลัทธิกันแน่ อาหารฟรี เสื้อผ้าฟรี เงินเดือนคงไม่ต้องใช้กันเลยทีนี้” ปรายฝนยิ้มๆ ให้กลอยที่เดินยิ้มออกไปทำงานต่อ ปล่อยให้ปรายฝนเลือกเสื้อผ้าไปตามที่ตัวเองต้องการ