การฝึกทหารดำเนินมาร่วมหลายเดือนแล้ว จนกระทั่งวันหนึ่งก็มีครูฝึกทหารแจ้งว่า จะให้พวกนางเข้าร่วมการแข่งขันกับทหารหนุ่ม นั่นคือการต่อสู้ในป่า ครั้งนี้จะมีองค์หญิงเซียวหลงเข้าร่วมด้วย ยิ่งสร้างความตื่นเต้นให้กับทุกคนเป็นอย่างมาก
กฎเกณฑ์ในการแข่งขันครั้งนี้คือ จะให้ทุกคนแบ่งออกเป็นกลุ่มละสิบคน กลุ่มใดสามารถผ่านทุกด่านจนสามารถขึ้นไปช่วยตัวประกันที่อยู่บนยอดเขาได้สำเร็จจะได้รับรางวัล หากใครไม่ไหวให้ยกธงสีขาวโบกแสดงว่าเป็นการยอมแพ้ ซึ่งตอนนี้จากการฝึกร่วมหนึ่งเดือนทหารที่ถูกคัดออกไปหลายร้อยคนแล้ว เวลานี้ในค่ายทหารจึงเหลือทหารหญิงไม่ถึงหนึ่งร้อยคนที่ยังมีความอดทนต่อการฝึกในค่ายทหาร ต่างจากทหารชายที่ยังคงอดทนฝึกร่างกายได้อย่างราบรื่น
ในการแข่งขันครั้งนี้ ก่อนหน้านี้เซียวจิ้งมิไ่ด้คาดหวังว่าทหารหญิงที่ฝึกใหม่จะเป็นฝ่ายชนะทหารหนุ่มได้ มิใช่ว่าเขาดูแคลนสตรี เพียงแต่คิดว่าครั้งนี้อยากให้พวกนางออกมาหาประสบการณ์มากหน่อยก็เท่านั้นเอง ไม่ว่าจะแพ้ชนะ จะทำได้หรือไม่ได้ล้วนเป็นประสบการณ์ที่ต้องเรียนรู้
กฎระเบียบที่สำคัญในการฝึกครั้งนี้ คือห้ามทำร้ายฝ่ายตรงข้ามจนบาดเจ็บเป็นอันขาด ทหารหญิงและทหารชายสองกลุ่มแรกที่ถูกจัดเอาไว้กลุ่มละสิบคนขึ้นเขาไปก่อนแล้ว การแบ่งกลุ่มนั้นเซียวจิ้งเป็นคนกำหนดขึ้น แต่องค์หญิงเซียวหลิงกลับแจ้งว่านางต้องการอยู่ร่วมกับกับกลุ่มหญิงสาวทีี่มีฝีมือ ท้ายที่สุดจึงมาอยู่ร่วมกับจางเหมี่ยวลี่ นางมองจางเหมี่ยวลี่ครู่หนึ่งมิได้เอ่ยสิ่งใด นางเองก็พอจะรู้เรื่องราวของหญิงสาวผู้นี้มาบ้างแล้ว องค์หญิงเซียวหลิงจึงค่อนข้างดูแคลนจางเหมี่ยวลี่อยู่ในใจไม่มากก็น้อย
ผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม ทหารสองกลุ่มแรกก็ลงมาจากเขา กลุ่มของบุรุษเป็นผู้ชนะ กลุ่มผู้ชนะจะถูกจัดให้ไปพักผ่อน เพื่อรอที่จะแข่งขันในรอบต่อไป
การแข่งขันผ่านไปหลายชั่วยาม กลุ่มหญิงสาวที่ขึ้นไปต่างมิอาจแย่งชิงตัวประกันได้ เหล่าทหารชายที่ได้ชัยชนะบางคน แอบดูถูกพวกนางอยู่ในใจ เซียวจิ้งไม่พูดอะไร เพียงมองสถานการณ์อย่างเงียบๆเท่านั้น เขาคิดว่าสุดท้ายแล้ว ในค่ายทหารชายคงจะต้องแข่งขันกันเองเพื่อชิงความเป็นหนึ่งในรอบสุดท้ายเป็นแน่
จนกระทั่งมาถึงกลุ่มของจางเหมี่ยวลี่เป็นกลุ่มสุดท้ายที่ต้องขึ้นเขา ในกลุ่มนั้นมีโจวลี่และอากัวรวมอยู่ด้วย พวกนางหันมามองจางเหมี่ยวลี่ก่อนจะส่งยิ้มให้กำลังใจกัน
ขณะนี้ตัวประกันถูกเปลี่ยนตัวแล้ว และระหว่างทางก็มีททหารฝีมือเยี่ยมดักซุ่มคอยขัดขวางไม่ให้พวกนางขึ้นไปได้ เมื่อผ่านด่านทหารเหล่านี้ไปได้ คนที่เหลือของทั้งสองกลุ่ม ต้องต่อสู้กันเองเพื่อแย่งชิงตัวประกันมา
ก่อนหน้านี้เหล่าทหารชายที่ผ่านด่านมาได้ค่อนข้างสะบักสะบอมไม่น้อยเลย
องค์หญิงเซียวหลิงหันมามองจางเหมี่ยวลี่ ก่อนจะปรามาส
"นี่เจ้าน่ะ อย่าเป็นตัวถ่วงเล่า ข้าได้ยินว่าเจ้ามีฝีมือแต่ข้าไม่เชื่อหรอก ข้าฝึกวรยุทธมาหลายปีย่อมมองออกว่า เจ้าน่าจะเป็นภาระเสียมากกว่า"
เจี่ยงหร่านไม่ตอบเพียงยิ้มรับอย่างนอบน้อม อย่างไรเสียเซียวหลิงก็เป็นองค์หญิง นางไม่ควรไปต่อปากต่อคำด้วยให้เสียเวลา
เมื่อเดินขึ้นเขามาเรื่อยๆ ด่านแรกก็เจอกับทหารฝีมือดีที่เซียวจิ้งเตรียมเอาไว้ กระโดดออกมาจากที่ซ่อน ทหารทั้งสองกลุ่มต่างช่วยกันรับมือ ยามนี้ในมือทุกคนมีแส้คนละเส้น นอกจากอาวุธชนิดนี้แล้วก็ห้ามใช้อาวุธอื่นที่เป็นอันตราย เพราะยังไม่จำเป็นต้องฝึกถึงขั้นนั้น อย่างไรเสียย่อมต้องค่อยเป็นค่อยไป
ทหารที่โผล่มากลุ่มนี้ แม้ในมือจะไม่มีอาวุธ แต่กลับหลบหลีกแส้ของทหารฝึกหัดทุกคนได้อย่างรวดเร็วและซัดฝ่ามือเข้ามาอย่างรุนแรง ไม่นานทหารฝึกหัดหลายคนก็ล้มลง หรือไม่ก็สลบไปเสียดื้อๆ เซียวหลิงขมวดคิ้วไม่คิดว่าเซียวจิ้งจะส่งทหารที่รับมือยากเช่นนี้ มาเป็นคู่ต่อสู้ของนาง
เจี่ยงหร่านหรี่ตามองการเคลื่อนไหวของทหารเหล่านั้นก่อนจะยกยิ้มมุมปาก เซียวจิ้งนี้ไม่เลวเลย ถึงขนาดใช้กองทหารหนานเยว่ของตนเลยหรือนี่
ในกาลก่อนตอนที่รบกับเขา นางเคยได้ประมือกับกองทัพทหารในมือของเซียวจิ้งมาแล้ว เมื่อรับรู้ดังนี้ นางก็จับตามองทุกการเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้าม ก่อนจะกระโดดลอยตัวขึ้นไปด้านบนและตวัดแส้ไปมาอย่างอย่างรวดเร็ว แส้ในมือของนางพลิ้วไหวราวกับอสรพิษ ก่อนจะฟาดเข้าใส่แผ่นหลัง ลำคอ และใบหน้าของทหารเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว การเคลื่อนไหวราวสายลมของนาง มันทำให้เซียวหลิง โจวลี่และ อากัวถึงกับแตกตื่น แม้แต่ทหารชายยังมองนางด้วยความตื่นตระหนกเช่นกัน
แววตาของเจี่ยงหร่านเฉยเมย นางยกยิ้มมุมปากอย่างพึงพอใจ ใช้เวลาไม่นานทหารกลุ่มแรกก็ถูกจัดการไปจนหมด
เพียงด่านแรกเพื่อนทหารก็หมดสติไปหลายคนแล้ว ก่อนหน้านี้ทหารหลายกลุ่มที่ลงจากเขาก็สภาพค่อนข้างย่ำแย่ หนึ่งกลุ่มมีเพียงสองสามคนที่ประคองตัวไว้ได้
ด่านสองด่านสาม ฝีมือของทหารที่แอบดักซุ่มขัดขวางการช่วยตัวประกัน ก็ยิ่งหนักหน่วงรุนแรงยิ่งขึ้น แส้ในมือเริ่มจะใช้การไม่่ค่อยได้แล้ว เจี่ยงหร่านจึงเปลี่ยนวิธีการต่อสู้ เป็นการใช้ทั้งมือและเท้าเข้าต่อสู้แบบประชิด ได้รับบาดเจ็บอยู่ไม่น้อยแต่นางไม่สนใจ ยังคงมุ่งมั่นตั้งใจต่อไป
จะต้องทำให้ได้ เพื่อเป้าหมายที่ต้องการ!
ในเวลานี้หลายๆ คนต่างหมดสติ เหลือเพียงองค์หญิงเซียวหลิง โจวลี่ อากัว เจี่ยงหร่านและทหารที่เป็นชายอีกสองสามคน เมื่อมาถึงจุดสูงสุด เจี่ยงหร่านไม่รอช้า นางใช้แส้ตวัดฟาดใส่ทหารหนุ่ม จนพวกเขาสลบทันที เซียวหลิงถึงกับอึ้งงัน เพราะไม่ทันเอ่ยวาจาใด จางเหมี่ยวลี่ก็ซัดคู่ต่อสู้จนหมดสติไปเสียแล้ว ใช้เวลาไม่นานนัก นางก็ช่วยตัวประกันออกมาได้ ก่อนจะเดินลงเขาไป
เซียวจิ้งเมื่อเห็นว่า กลุ่มสุดท้ายกลับกลายเป็นกลุ่มของจางเหมี่ยวลี่ที่ได้รับชัยชนะ เขาถึงกับนั่งไม่ติด แม้แต่แม่ทัพใหญ่จางเองก็ยังตื่นตะลึงเช่นเดียวกัน จางเหมี่ยวลี่ยิ้มตาหยี ท่าทางมิได้เหนื่อยล้าเหมือนสหายที่เดินตามกันมาเลย
องค์หญิงเซียวหลิงถึงกับพูดไม่ออก ด้วยเพราะนางชอบคนที่มีความสามารถ คิดว่าในแคว้นฟงหลิงคงมีเพียงนางเท่านั้นที่เป็นสตรีมีวรยุทธ์สูงส่ง แต่เมื่อได้เห็นจางเหมี่ยวลี่ต่อสู้นางถึงกับจนปัญญา
กลุ่มของนางนับเป็นสตรีเพียงกลุ่มเดียวที่ผ่านด่่านไปได้!
การแข่งขันยังดำเนินต่อไป ท้องฟ้ามืดสลัวยิ่งลุ้นระทึก คบไฟถูกจุดขึ้นสว่างไสวไปทั่วผืนป่าทั้งภูเขา การแข่งขันครั้งนี้ผิดจากที่คาดหมายไว้ เพราะมีกลุ่มทหารหญิงชนะด้วย ผู้ชนะของแต่ละค่ายทหารจะต้องสู้กันเองเพื่อแย่งชิงตัวประกันอีกครั้ง ระหว่างค่ายทหารของบุรุษและค่ายทหารของสตรี ค่ายใดจะชนะ
แม่ทัพใหญ่จางรู้ดีว่าการต่อสู้กับชายหนุ่มมิใช่เรื่องง่าย นอกจากเรื่องพละกำลังแล้วยังมีปัจจัยอื่นอีกด้วย จึงรีบเดินเข้ามาหาบุตรสาวทันที
"เหมี่ยวเอ๋อร์ เจ้าสามารถถอนตัวได้ ให้ทหารหนุ่มๆ แข่งกันเองดีหรือไม่"
เจี่ยงหร่านที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มนัยน์ตาโค้งเป็นรูปจันทร์เสี้ยว ก่อนจะปฏิเสธไป
"ไม่เจ้าค่ะ ข้าจะแข่งเอง ข้าสู้ได้"
"เหมี่ยวเอ๋อร์"
"ท่านพ่อคิดมากเกินไปแล้ว ท่านรอดูได้เลย"
เจี่ยงหร่านในร่างจางเหมี่ยวลี่ยิ้มราวกับว่าสิ่งที่นางทำเหมือนไปวิ่งเล่นสนามหญ้ายามวัยเยาว์ ไม่มีความกังวลเลยแม้แต่น้อย
นางไม่กลัว การแข่งเช่นนี้ไม่นับเป็นอันใด แต่การอยู่ในสนามรบต่างหากที่่น่ากลัว นางเดินผ่านกองซากศพและกลิ่นคาวเลือดมาจนชินชาเสียแล้ว
เหล่าชายหนุ่มต่างมองดูหญิงสาวสี่คนที่เหลืออย่างดูแคลน คิดปรามาสดูถูกว่าฝีมือจะสักเท่าไหร่เชียว พวกเขาเพียงผลักเล็กน้อยก็ล้มจนเจ็บไปทั้งตัวแล้วกระมัง?
เซียวจิ้งกวาดตามองทุกคน ในใจของเขาเต้นรัวอย่างบ้าระห่ำ พร้อมกับจับจ้องจางเหมี่ยวลี่อย่างไม่ลดละ ก่อนจะพยายามตั้งสติและแจ้งกับบรรดาทหารทุกนาย
"จำไว้ นี่คือด่านสุดท้าย อย่าทำร้ายถึงตายและเลือดตกยางออก หากผิดกฎข้าจะโบยคนทำผิดสามสิบไม้และไล่ออกไปจากค่ายทหาร เริ่มได้!"
สิ้นเสียงเหล่าทหารที่เหลือก็แบ่งออกเป็นสองฝั่งคือฝั่งบุรุษและสตรี องค์หญิงเซียวหลิงที่กวาดตามองบุรุษเหล่านั้นก็หันมาเอ่ยกับจางเหมี่ยวลี่
"เจ้าแน่ใจแล้วหรือ พวกเขาเหลือกันเกือบร้อยคน แต่เรามีแค่สี่คน"
เจี่ยงหร่านที่ได้ยินดังนั้นจึงหันมายิ้มน้อยๆ ด้วยความมั่นใจ
"ไม่ต้องกังวล ข้าจะพาท่านไปเอง"
"เหอะ ข้าจะคอยดู"
เจี่ยงหร่านเพียงยิ้มไม่แยแส เมื่อครูฝึกทหารส่งสัญญาณ ทหารทั้งสองฝั่งก็พุ่งเข้าไปในป่าทันทีเป้าหมายคือชิงตัวประกัน กติกายังคงเป็นเช่นเดิม มีทหารฝีมือคอยดักซุ่มโจมตี ใครที่สามารถขึ้นไปจนถึงจุดที่ตัวประกันถูกขังเอาไว้ ก็จะต้องต่อสู้กันเองเพื่อให้ตนเองเป็นที่หนึ่งเพียงผู้เดียว
การแข่งขันนับว่าโหดไม่เบา เมื่อมาถึงจุดสูงสุดจะวัดฝีมือกันทันที เพราะจะไม่มีคำว่าพี่น้องสหาย มีแค่ข้าและเจ้า ใครคือที่หนึ่ง!
ทหารฝีมือดีครั้งนี้ย่อมไม่ออมมือออมแรง เพียงไม่นานทหารฝึกหัดก็ล้มลงที่พื้น หลายคนไม่อาจต่อสู้ได้อีก โจวลี่กับอากัวก็บาดเจ็บจนไปต่อไม่ไหว องค์หญิงเซียวหลิงเองก็อ่อนแรงมากเช่นกัน นางล้มลงไปก่อนจะยกธงสีขาวขึ้นยอมแพ้
เวลาผ่านไปไม่นาน ทหารทางฝั่งชายหนุ่มก็ทยอยยกธงขาวยอมแพ้เพราะสู้ต่อไม่ไหว
เซียวจิ้งขึ้นมาบนภูเขา ก่อนจะแอบมองอยู่ไม่ไกล เมื่อเห็นว่าจางเหมี่ยวลี่ต่อสู้กับทหารของเขาอย่างไม่เกรงกลัว อีกทั้งท่าทางการต่อสู้ก็รวดเร็วและเด็ดขาด เขาก็ชะงักงันไปชั่วขณะ
ทำไมละม้ายคล้ายเจี่ยงหร่าน ยามอยู่ในสนามรบอย่างใดอย่างนั้นเลยเล่า?
การต่อสู้ที่แสนดุเดือดเลือดพล่านผ่านไป ท้ายที่สุด คนที่ขึ้นไปอยู่จุดสุงสุด คือจางเหมี่ยวลี่ และบุรุษใบหน้าเหี้ยมผู้หนี่ง ได้ยินว่าเขาคืออันดับหนึ่งในค่ายทหารหนุ่มตอนนี้ มีนามว่า สือหย่ง ชายหนุ่มมองจางเหมี่ยวลี่ก่อนจะปรามาส
"แม่นางคนงาม เจ้ายอมแพ้เถอะ ข้าเป็นบุรุษไม่คิดจะทำร้ายสตรี เดิมทีสตรีบอบบางเช่นพวกเจ้าก็ไม่สมควรเข้ามาในค่ายทหารอยู่แล้ว"
จางเหมี่ยวลี่ยิ้มตาหยี ตอบโต้ทันที
"อย่าเพิ่งพูดไปพี่ชาย ท่านอาจจะเป็นคนที่สลบแทบเท้าข้าก็เป็นได้"
"ปากดีนัก เข้ามา!"
ทั้งเจี่ยงหร่านและสือหย่งผู้นี้เป็นสองคนสุดท้ายที่ผ่านด่านทหารกองทัพหนานเย่วมาได้ นางยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะตวัดแส้ในมือใส่บุรุษผู้นั้น เขาเบี่ยงกายหลบได้ทันท่วงที ก่อนจะตอบโต้ตวัดแส้ฟาดกลับมา เจี่ยงหร่านเบี่ยงกายหลบเลี่ยงได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน ผ่านไปสองสามกระบวนท่า นางเหินกายมาหยุดอยู่ด้านหลังบุรุษผู้นั้น ก่อนจะยกเท้าถีบแผ่นหลังเขาเต็มแรงจนเซถลา ก่อนจะหันมามองเจี่ยงหร่านด้วยแววตาที่ดุดัน นางยักคิ้วยียวน สือหย่งโมโหพุ่งเข้ามาหวังจะฟาดฝ่ามือใส่นาง ทว่าเจี่ยงหร่านกลับเบี่ยงกายหลบหลีก อีกทั้งยังหยอกเย้าไม่ยอมสู้กับเขาเสียทีเพื่อออมแรงไว้ สือหย่งโมโหจนควบคุมสติไม่อยู่ เจี่ยงหร่านจึงอาศัยจังหวะที่เขาไม่ทันตั้งตัว ใช้แส้ฟาดใส่เขาไม่ยั้ง และถีบเข้าที่กลางอกอย่างเต็มแรง ก่อนที่เขาจะล้มลงไปกองกับพื้นร้องโอดครวญออกมา
"จำไว้ อย่าเสียสมาธิ ไม่เช่นนั้นจะเปิดทางให้คู่ต่อสู้ได้ ตัวประกันผู้นี้ ข้าขอก็แล้วกันนะพี่ชาย"
กล่าวจบนางก็เดินไปช่วยตัวประกันทันที สือหย่งเจ็บจนลุกไม่ขึ้น ทำได้เพียงคำรามด้วยความโมโห นี่เขาแพ้ให้สตรีเช่นนั้นหรือ?
เซียวจิ้งที่แอบมองอยู่ หันไปสบตากับสวีเฉินที่ติดตามมาด้วยปราดหนึ่ง สวีเฉินถึงกับอุทานออกมา
"ซื่อจื่อ เหตุใดข้าจึงรู้สึกเหมือนได้เห็นรองแม่ทัพเจี่ยงอีกครั้งกันนะ"
สวีเฉินคิดเช่นนั้นจริงๆ เพราะเขาเองก็เคยประมือกับเจี่ยงหร่านมาแล้ว หญิงสาวนางนั้นฝีมือมิได้ด้อยเลย เรียกได้ว่าเก่งกาจไม่แพ้บิดาของตนด้วยซ้ำเสมือนสีน้ำเงินครามที่เข้มกว่าต้นคราม
ด้านเจี่ยงหร่านนั้นเมื่อสู้จนได้รับชัยชนะ นางก็แบกตัวประกันที่เป็นสตรีเดินลงมาจากบนเขา ยามนี้ทหารที่ได้รับบาดเจ็บก่อนหน้าได้ถูกพาลงเขาไปแล้ว สือหย่งอีกเดี๋ยวก็คงจะมีคนมาพาเขาไป นางจึงรีบลงจากภูเขาอย่างรวดเร็ว
"ข้าชนะ เหลือข้าเป็นคนสุดท้าย ข้าคือที่หนึ่ง!"
เจี่ยงหร่านในร่างจางเหมี่ยวลี่ตะโกนด้วยน้ำเสียงสดใส นางวางแม่นางน้อยที่เป็นตัวประกันลง ก่อนจะบิดร่างกายไปมา ใบหน้าสวยหวานยามนี้มีทั้งคราบดินเปรอะเปื้อน ผมเผ้ายุ่งเหยิงแต่กลับดูมีเสน่ห์น่าเกรงขามอย่างน่าประหลาด
ทุกคนถึงกับแตกตื่นตกใจยกใหญ่ แม่ทัพใหญ่จางกำหมัดแน่น ในใจรู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย
บุตรสาวของเขา! บุตรสาวของเขาเอาชนะบุรุษได้ด้วยรึนี่!
องค์หญิงเซียวหลิงที่ถูกพาลงมาจากเขาแล้ว ก็รีบวิ่งเข้ามาหาจางเหมี่ยวลี่ ก่อนจะยกสองมือประสานโค้งคำนับให้นางก่อนจะกล่าวอย่างสุภาพ
"ท่านอาจารย์ ได้โปรดรับข้าเป็นศิษย์ด้วยเถิด!"
เจี่ยงหร่าน"......"