ตอนที่ 11 มาอยู่ในร่างของหลินซานซาน ( 2 )
หลังจากที่ฉันได้ฟังเรื่องราวของหลินซานซานจากปากของเชาเย่ น้ำตาของฉันกลับไหลออกมาโดยอัตโนมัติ ฉันไม่ได้เศร้าขนาดนั้น ทำไมน้ำตามันไหลมาเองได้ล่ะ แล้วภารกิจของฉันคือทำให้จื่อรุ่ยรักหลิน
ซานซาน เท่าที่ฟังมา จื่อรุ่ยไม่ชายตามองนางเลยด้วยซ้ำ แถมวันที่ตกน้ำไม่มาดูซักตาเลย โอ้ยยย
ฉันกุมขมับแล้วถือพัดบุปผามาโบกพัดใบหน้า เพื่อผ่อนคลาย พร้อมกับถอนหายใจออกมาแรง ๆ
“คุณหนูท่านจะให้เชาเย่ไปแจ้งสามีของท่าน เอ่อ องค์ชายจื่อรุ่ยหรือไม่ ว่าท่านฟื้นแล้ว” เชาเย่เอียงคอถาม
“ยัง ยังไม่ต้อง” ฉันตอบเชาเย่ แล้วกอดอกทำหน้าครุ่นคิด
ภารกิจที่จะให้จื่อรุ่ยรักซานซานคงต้องพักเอาไว้ก่อน ตอนนี้ต้องไปตามหากลีบบุปผาให้ครบทั้งห้ากลีบ เท่าที่ฉันจำได้ เมืองนี้คือเมืองกวางโจว เพราะฉะนั้นกลีบบุปผาหนึ่งกลีบต้องอยู่ที่เมืองนี้แน่นอน
“นี่ๆ เชาเย่ข้าอยากจะออกไปข้างนอก”
“ไม่ได้สิเจ้าคะ วังหลวงมีทหารมากมาย จะเข้าออกตามใจมิได้”
“เช่นนั้น ข้าปลอมตัวเป็นบุรุษออกไปได้ได้ใช่หรือไม่”
เชาเย่พยักหน้าหงึก ๆ ทางสะดวกละคราวนี้ จะได้ออกไปตะลุยโลกในนิยายของตัวเองเขียน
“เชาเย่เจ้ามีของสิ่งใดที่สามารถปลอมตัวเป็นบุรุษอย่างแนบเนียนไหม เช่น เสื้อผ้า หรือว่าหนวดปลอม” ฉันยื่นใบหน้าไปใกล้ๆ เชาเย่ แล้วกระซิบที่ข้างหูของนาง
“หนวด ท่านหมายถึงเครา ที่ยาวเฟื้อยของบุรุษหรือท่านนักพรตใช่หรือไม่” เชาเย่พูดพร้อมทำสีหน้าครุ่นคิด
“ใช่ เช่นนั้นแหละ”
“ไม่มีนะเจ้าคะ แต่ข้ามีสิ่งที่ปลอมแปลงกายได้เนียนกว่านั้น” เชาเย่นางยิ้มอย่างมีเลศนัย
“หืม อย่างไรรึ” ฉันเบิกตาโพลง มันมีของที่ปลอมตัวได้โดยไม่มีใครจับได้อีกหรอ
“นี่เจ้าค่ะ ปิ่นปักผมเถาวัลย์องุ่น ท่านม้วนผมแล้วปักปิ่นนี้ที่มวยผม ไม่ว่าผู้ใดจะมองมาที่ท่าน ก็จะเห็นว่าท่านเป็นบุรุษ” เชาเย่อธิบายสรรพคุณของปิ่นปักผลเถาองุ่นหน้าตาพิลึกนี้ ฉันอ้าปากเหวอ นี่มันไอเท็มแรร์ชัด ๆ แต่เดี๋ยวนะ เหมือนเคยอ่านเจอในหนังสือปรัมปรา นี่มันของวิเศษจากสวรรค์ไม่ใช่หรือ เชาเย่นางเป็นเพียงสาวใช้ที่หลินซานซานเก็บมาจากข้างถนน จะมีปิ่นเถาวัลย์องุ่นของสวรรค์ได้อย่างไร แถมยังรู้วิธีใช้งาน
“เชาเย่ นี่เจ้าคงไม่ใช่เทพเซียนปลอมตัวมากระมั่ง ฮ่า ๆ” ฉันพลั้งปากออกมา
เชาเย่ชะงักเล็กน้อย หัวเราะแห้ง ๆ “หากข้าเป็นเทพเซียนปลอมตัวมา คงไม่มาเป็นสาวใช้ของท่าน มิสู้ข้าไปเป็นองค์หญิงคงดีกว่า” เชาเย่พูดอย่างลนลาน
“อืม ๆ ที่เจ้าพูดมา มันก็จริงอย่างที่เจ้าว่า” ฉันตอบเชาเย่ แต่เชาเย่ไม่มีที่มา นางอาจจะเป็นคนร้ายที่ฉันสร้างขึ้นก็ได้ ฉันคิดเป็นตุเป็นตะ แต่สงสัยไว้หน่อยก็ไม่ผิดอะไรนี่
“ฮ่าๆ เช่นนั้นเถาวัลย์องุ่นนี่ ข้ายกให้ท่าน” เชาเย่พูดแล้วส่งเถาวัลย์ให้กับฉัน
“ขอบใจเจ้ามาก เจ้านี่ช่างน่าเอ็นดูเสียจริงเชาเย่” ฉันฉีกยิ้ม พร้อมกับเอื้อมมือไปหยิกแก้มของนางเบา ๆ
เชาเย่ตาเบิกโพลง “คุณหนูท่านตกน้ำสติเลอะเลือน เบาปัญญาไปแล้วจริงๆ” เชาเย่พูดด้วยใบหน้าที่เศร้าสร้อย
O[]O อ๊ากกกก! เชาเย่ เหตุใดจึงเป็นสาวใช้ที่ปากหนักเช่นนี้
“เชาเย่ ข้ามีวรยุทธหรือไม่ อย่างเช่นวิชาตัวเบา” ฉันถามเชาเย่ออกไป เพราะฉันจำได้ว่าฉันเขียนให้โลกแห่งนี้มีวรยุทธ
“มีเจ้าค่ะ คุณหนูท่านเก่งวรยุทธมาตั้งแต่วัยเยาว์ ไม่ว่าวิชาอะไรท่านก็ทำสำเร็จ เหตุใดจึงมาถามเชาเย่เช่นนี้ หรือว่าในแม่น้ำมีพิษ ทำให้คุณหนูเลอะเลือนไปจริง ๆ เจ้าคะ”
-_- นั่น ยังไม่ออกมาจากคำว่า เลอะเลือน โง่เขลา เบาปัญญา
“เช่นนั้น ข้าก็สามารถบินได้!!” ฉันพูดออกมาอย่างตื่นเต้น ไม่รอฟังคำพูดของเชาเย่ วิ่งออกมายังหน้าตำหนักทันที
วู้วฮู้ววว! ความฝัน ฉันจะบินได้ เป็นความจริงค่ะ ^O^
ฉันวิ่งออกมายังนอกตำหนัก เห็นต้นเหมยต้นใหญ่ออกดอกสีแดงสดอยู่หน้าตำหนัก ฉันสูดดมเอากลิ่นอันหอมหวานของดอกเหมยเข้าไปเต็มปอด สองขาของฉันก็ปีนป่ายขึ้นไปความสูงพอประมาณ แล้วใช้มือปัดชุดฮั่นฟูสีอ่อนออกเล็กน้อย เพราะว่ามันเกะกะ -..- จากนั้นฉันก็กระโดดลงจากต้นดอกเหมยต้นใหญ่ พร้อมกับทำท่าอย่างกับซูเปอร์แมน พัดบุปผาฉันยังเรียกออกมาได้ เรื่องบิน เหาะเหินกลางอากาศแค่นี้จิ๊บ ๆ
ทันใดนั้นเอง ร่างน้อยๆ ของสตรีนางนึงที่มีนามว่าหลินหลิน ได้ร่วงหล่นลงสู่พื้นดินตามแรงโน้มถ่วงของโลกดัง
ตุบ!
แอ่กกกก !ฉันเกือบกระอักเลือด นึกว่าฉันจะได้ขึ้นไปบนสวรรค์หาท่านเทพซะละ ตกลงมาตับไตไส้พุงแทบไหลรวมกัน ฉันนอนคว่ำหน้าอยู่ ลำตัวแนบกับพื้น ขาอ้าออกจากกันอย่างน่าอนาถ ลุกขึ้นไม่รู้เพราะตอนนี้กำลังจุกไปหมด
“เชาเย่ !!! เชาเย่ช่วยข้าด้วยยยยยยยยยย” ฉันเงยหน้าตะโกนร้องเรียกเชาเย่
“คุณหนู!!!! เหตุใดท่านจึงนอนไม่เลือกที่เช่นนี้เจ้าคะ หากท่านต้องการเปลี่ยนที่นอน เหตุใดท่านจึงไม่บอกข้า” เชาเย่ตกอกตกใจ แต่เข้าใจว่าฉันง่วงงั้นหรือ
“ชะ เชาเย่ ข้าตกต้นเหมย” ฉันพูดพร้อมกับชี้ไปที่ต้นเหมยให้นางดู
“อะไรนะเจ้าคะ!!! คุณหนูท่านเป็นอย่างไร ปลอดภัยหรือไม่ ท่านให้ข้าไปตามหมอหลวงหรือไม่เจ้าคะ” เชาเย่ลนลานถาม ยิงคำถามส่งมาให้ฉัน
“ข้าไม่ตาย แต่พยุงข้าลุกที หมอหลวงไม่ต้องตาม ข้าไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่”
เชาเย่พยักหน้า แล้วประคองให้ฉันลุกขึ้น พาฉันมานั่งที่ศาลาริมน้ำใกล้ๆ ตำหนัก
“เหตุใดท่านจึงปีนป่ายต้นเหมยเช่นนั้น ท่านรู้หรือไม่ว่ามันไม่งาม”
“ข้าคิดว่าข้าจะเหาะได้ เจ้าบอกข้าเองว่าข้ามีวรยุทธ”
“ข้าลืมบอกท่านไป หมอหลวงบอกว่าท่านไม่อาจใช้วรยุทธได้อีก ท่านเสียวรยุทธไปจนหมดสิ้นหลังจากตกน้ำ”
“อะไรนะ!!” ฉันพูดเสียงดัง เรื่องสำคัญแบบนี้พึ่งมาบอก ดีที่ไม่บอกตอนตกต้นไม้ตายไปเสียก่อน
“คุณหนู เชาเย่ขออภัยที่ไม่ได้บอกท่านก่อน ข้ากลัวว่าท่านจะเสียใจหนักกว่าเดิม เชาเย่คิดไม่ถึงว่าคุณหนูจะกระโดดลงจากต้นเหมยเช่นนี้” เชาเย่อธิบาย
“ไม่เป็นไร” ฉันพูดตัดบท เดี๋ยวนางร้องห่มร้องไห้อีก แต่ยังไงวันนี้ฉันต้องออกไปข้างนอกให้ได้
ฉันค่อย ๆ ลุกขึ้นพร้อมกับเสียงลั่นของกระดูกดังกร๊อบแกร๊บ ฉันบิดเอวไปซ้ายที ขวาที แล้วกระโดดขึ้นลงเพื่อผ่อนคลายจากอาการเจ็บ ซึ่งมันได้ผล ร่างกายของหลินซานซาน ผ่านการฝึกวรยุทธมาหนักอย่างแน่นอน หายไวปานนี้
เชาเย่มองฉันด้วยสีหน้าที่ไม่เข้าใจ สายตาของนางบ่งบอกไม่พ้นคำว่าคำว่า เบาปัญญา โง่เขลา เลอะเลือน เฮ้อ เดี๋ยวก็ชินนะเชาเย่
“เชาเย่ งั้นข้าไปก่อนนะ” ฉันบอกเชาเย่พร้อมกับปักปิ่นเถาองุ่น แล้วปีกำแพพงออกไป
“ท่านรีบกลับมานะเจ้าคะ พรุ่งนี้ท่านต้องกลับบ้านท่านพ่อท่านแม่นะเจ้าคะ!!!” เชาเย่ตะโกนไล่หลังของฉันมา ฉันโบกมือหยอยๆ กลับบ้าน
อะไรกันปกติกลับตั้งแต่วันที่สามแล้วไม่ใช่รึ หรือว่าจะเปลี่ยนกำหนดการเป็น วันที่ 7 กลับบ้าน
ฉันไม่สนใจวันกลับบ้านอะไรนั่นหรอก จะวันอะไรก็ช่าง วันนี้ฉันจะตามหาที่ซ่อนของกลีบบุปผาให้พบ
ฉันเอื้อมมือขึ้นไปปีนกำแพงอย่างทุลักทุเล กำแพงในวังก็สูงซะเหลือเกิน ฉันแอบบ่นอยู่ในใจ พร้อมกับกระโดดลงมายังพื้นข้างล่างจนเสียงดังตุบ อ๊ากกกก ! เจ็บเท้า
ฉันกระโดดโหย่งเพื่อคลายความเจ็บและส่งเสียงร้องออกมาเบา ๆ กลัวว่าทหารจะได้ยินแล้วเอาตัวของฉันไปขังคุกเสียก่อน นับว่าเป็นโชคของฉันที่ฉันรู้เส้นทางของเมืองนี้ เพราะนิยายที่ฉันแต่งฉันได้วาดแผนผังของเมืองเอาไว้ และทำเส้นทางลับ ซึ่งมีฉันคนเดียวที่รู้ ฮี่ๆ หลินหลินเธอมันฉลาดจริง ๆ
เอาล่ะ ฉันพร้อมที่จะตะลุยโลกนิยายของฉันแล้ว!!!