ตอนที่ 10 มาอยู่ในร่างของหลินซานซาน

1473 Words
ตอนที่ 10 มาอยู่ในร่างของหลินซานซาน ฉันลอยละลิ่ว ตกจากสวรรค์ลงมาในวังหลวงแห่งหนึ่ง กรี๊ดดด หลังคา! ฉันจะทะลุหลังคาได้ไหม หรือจะนอนแอ้งแม้งคาหลังคานี้เลย ฉันหลับตาปี๋ เตรียมเผชิญหน้ากับชะตากรรม ที่ไม่เป็นธรรมนี้ เพียงชั่วพริบตาเท่านั้น ฉันก็ได้เข้ามาในร่างของ ‘หลินซานซาน’ “เฮือก!” ฉันสะดุ้งเฮือก เด้งตัวขึ้นมาจากเตียง พร้อมกับอ้าปากเอาอากาศออกซิเจนเข้ามาให้ได้มากที่สุด อาการเหมือนคนจะตายเลย ฮึ่มมม อีตาเทพเซียนหวังเย่ ถีบฉันลงมาได้นะ “ฮึก ๆ ๆ ฮือออออ” เสียงนี้ ! เสียงใคร “ใครมาร้องไห้อยู่แถวนี้อย่างกับมีคนตาย” ฉันพูดออกมาแบบไม่คิด เมื่อได้ยินเสียงคนร้องไห้อยู่ใกล้ ๆ หู “ฮือ คุณหนูตายแล้ว” เอ๊ะ! ฉันหันขวับไปยังต้นตอของเสียงนั้น เธอคือใคร๊! ฉันและผู้หญิงคนนั้นหันมาจ้องตากัน ครู่นึง “เอ๋/เอ๋ !!!!!” ฉันและผู้หญิงคนนั้นร้องประสานเสียง O[]O <<<<< สีหน้าของสาวน้อยคนนั้น -..-? <<<<< สีหน้าฉันที่กำลังงงเป็นไก่ตาแตก ว่านางคือใคร “เจ้าคือใคร” ฉันเอียงคอด้วยความสงสัย “ฮือออออ เหตุใดคุณหนูลืมเชาเย่ คุณหนู ท่านตกน้ำไป ลืมหมดเลยหรือ” นางผู้นี้ ที่ชื่อเชาเย่ ร้องไห้หนักกว่าเดิม เท่าที่ฉันจำได้ เชาเย่ไม่ได้สวยขนาดนี้นี่นา “ขะ ข้าจำได้แล้ว เจ้าคือผู้ติดตามของข้า หรือเรียกว่าคนรับใช้ ใช่หรือไม่” เชาเย่พยักหน้าหงึก ๆ “เหตุใดการพูดจาของคุณหนูเปลี่ยนไปเล่า ท่านตกน้ำ คงส่งผลให้เบาปัญญาไปใช่หรือไม่ ฮือออ คุณหนูที่น่าสงสารของเชาเย่” เชาเย่เอามือสองข้างปิดหน้าแล้วร้องไห้อีกรอบ สาบานว่านี่คือปากของคนใช้? ฟังแล้วรู้สึกเจ็บจี๊ด ๆ “ฮึกๆ” เสียงสะอื้นของเชาเย่ ผ่านไปครู่นึง เชาเย่เลิกคิ้ว เงยหน้าถามฉันขึ้นมาอีกครั้ง “เหตุใดคุณหนู ท่านยังไม่ตายอีก?” นางถามด้วยใบหน้าที่ใสซื่อ อ๊ากก! นี่มันคือคำถามของคนที่ร้องไห้กระซิก ๆ อย่างเอาเป็นเอาตายงั้นรึ -_-“ <<<< สีหน้าของฉัน “คือว่าเชาเย่ไม่ได้แช่งท่าน ที่ข้าหมายถึงเมื่อครู่ข้าจับดูชีพจรของท่าน ไม่มีการตอบสนองใด ๆ เหตุใดท่านถึงมานั่งอยู่ตรงนี้” เชาเย่อธิบายอย่างลนลาน “.......” ฉันเงียบไม่รู้จะตอบว่าอะไร จะบอกว่าโดนเทพเซียนถีบตกจากสวรรค์มาอยู่ในร่างของหลินซานซาน แม่นางน้อยผู้นี้ คงจะตกอกตกใจเป็นแน่ “หากท่านไม่อยากเอ่ย เชาเย่จะไม่กล่าวถึงเช่นนี้อีก” นางพูดแล้วก้มหน้าอย่างรู้สึกผิด อ๊ากกก อย่าเศร้านะ “นี่ๆๆ เชาเย่” ฉันสะกิดเชาเย่เบา ๆ นางกำลังจะเบะปากร้องไห้ “ฮึบไว้ อย่าร้อง ฮึบๆ นั่นแหละดีแล้ว” ฉันพูดกับเชาเย่ นางก็ทำตามแต่โดยดี โอเค ! สิ่งแรกที่ต้องทำคือเรียกพัดออกมา “เชาเย่เจ้าหลับตาครู่นึงได้หรือไม่” ฉันพูดกับเชาเย่ เพราะเรื่องนี้จะให้ใครรู้ไม่ได้ ถึงที่แห่งนี้จะมีวรยุทธ แต่ทว่า อาวุธเทพยังไม่มีปรากฏในโลก เชาเย่ยอมทำตามแต่โดยดี ฉันมองซ้ายที มองขวาที เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครอยู่ ก็เรียกพัดบุปผาออกมาทันที ขอให้สำเร็จด้วยเทอญ เพียงชั่วพริบตา พัดบุปผาได้มาอยู่ในมือของฉัน ฉันอมยิ้มด้วยความดีใจ ความพยายามสำเร็จเป็นครั้งแรก “เอาล่ะ เชาเย่ เจ้าลืมตาได้” เชาเย่นางลืมตาทันที เป็นเด็กดีเหมือนกันนะเนี่ย ฉันฉีกยิ้มออกมา แล้วกางพัดบุปผา มาเคาะที่ใบหน้าสองทีเบา ๆ “คุณหนู” เชาเย่เรียกฉันเหมือนมีอะไรจะพูด “หืม เจ้ามีอะไรจะพูดกับข้างั้นรึ” “คุณหนูได้พัดอัปลักษณ์นี่มาจากที่ใด ผู้ใดเป็นคนวาดให้ท่าน ในวังมีพัดงาม ๆ ช่างวาดภาพงาม ๆ ตั้งเยอะแยะ เหตุใดจึงเลือกพัดอัปลักษณ์เช่นนี้ด้วย ข้าล่ะอยากเห็นใบหน้าผู้วาดพัดอันนี้เสียจริง กล้าวาดออกมาขายให้คุณหนูได้เยี่ยงไร” เชาเย่พูดอย่างคาดโทษ กอดอกน้อย ๆ แล้วกำลังจะต่อว่าคนวาดรูปพัดนี้อีกรอบ ทันใดนั้นเอง ครืน~~เปรี้ยง! เสียงฟ้าผ่าอย่างดัง -[]- ระยะที่ผ่าใกล้เข้ามาที่นี่ ฉันรับรู้ได้ทันทีว่าท่านเทพมีโทสะ อ๊ากกกกก ! ฉันจะโดนฟ้าผ่าตาย พึ่งฟื้นยังไม่ถึง 5 นาทีเลย ฉันรีบกระโดดเข้าไปหาเชาเย่ รีบเอามือตะครุบปิดปากนางไม่ให้พูดมากกว่านี้ “เชาเย่ เจ้ารีบชมพัดว่างามบัดเดี๋ยวนี้” ฉันกระซิบกระซาบเชาเย่ หงึกๆๆ <<<< เชาเย่พยักหน้า ฉันจึงปล่อยมือออกจากปากของนาง “คุณหนู ข้ามองไปมองมา พัดนี้ดูงามอยู่เช่นกัน ข้ารับรู้ได้ถึงความงามอันล้ำค่าของพัดนี้ ข้าอดชื่นชมผู้ที่วาดภาพบนพัดอันนี้มิได้เลย ท่านตาถึงจริงๆที่ซื้อพัดเล่มนี้มา” เชาเย่พูดจีบปากจีบคอ เฮ้อ ถือว่าอยู่เป็น “เสียงฟ้าหยุดร้องละ เฮ้อ” ฉันถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เกือบตายคู่ซะละ “เชาเย่ เจ้าช่วยเล่าเรื่องตอนที่ข้าสลบไปทีสิ ว่าเกิดอะไรขึ้น” ฉันถามเชาเย่ เพราะไม่รู้ว่าเหตุการณ์ต่อจากนิยายเป็นอย่างไรบ้าง นิยายที่ฉันเขียนจบคือ ซานซานกระโดดลงไปในน้ำ นี่ไม่รู้ว่าผ่านมากี่วันแล้ว เชาเย่ครุ่นคิดยกนิ้มมือมานับไม่พอ ยกนิ้วเท้ามานับด้วย สรุปฉันสลบไปกี่วัน เชาเย่นางขมวดคิ้ว สงสัยจะนับนิ้วมือนิ้วเท้าไม่พอ ฉันจึงยื่นมือของฉันออกไปให้เชาเย่นับด้วย “คุณหนูท่านยื่นมือมาทำไม” เชาเย่ถาม “ยื่นออกมาให้เจ้านับไง เผื่อเจ้านับนิ้วมือไม่พอ” ฉันบอก เชาเย่พยักหน้าหงึก ๆ แล้วยกนิ้วชี้ขึ้นมาจิ้มที่นิ้วมือของฉันทีละนิ้ว นี่ ซานซานนอนไปนานขนาดนี้เลยหรือ “ว่าอย่างไร ข้าสลบไปกี่วัน” ฉันถามออกไปด้วยความอยากรู้ เชาเย่จิ้มนิ้วของฉันไปมาแล้ว คลายสีหน้าผ่อนคลายลง “หก” เชาเย่พูดนิ่ง ๆ “ห้ะ หกสิบวันรึ” มิน่าหกสิบวัน เชาเย่ถึงนับนิ้วนานขนาดนั้น แต่ทว่า เชาเย่ส่ายหัวไปมา บอกว่าไม่ใช่ “งะ งั้น หกร้อยวันงั้นรึ” ฉันพูดตะกุกตะกัก หกร้อยวันนี่ สองปีเลยนะ เชาเย่ส่ายหัวอีกรอบ “เช่นนั้นเจ้าพูดมาสิ กี่วัน” “หกวัน ท่านนอนไปเพียง 6 วัน” -[]- <<<< สีหน้าฉัน เชาเย่แล้วแกจะนับนิ้วมือนิ้วเท้าเพื่อ!!!! ฉันปรับสีหน้าให้เป็นปกติ แล้วถามเชาเย่ต่อ “เจ้าเล่าต่อสิ เอาเหตุการณ์สำคัญเท่านั้น!!!” ฉันพูดเน้นเสียง กลัวว่าเชาเย่ สาวใช้ที่น่ารักจะพูดน้ำไหลไฟดับ เชาเย่พยักหน้าหงึก ๆ แล้วเริ่มเล่าเรื่องราวให้ฉันฟัง ฉันจับใจความได้ประมาณว่า หลังจากที่หลินซานซานแต่งเข้ามาในตำหนักของจื่อรุ่ย(องค์ชายสาม) เข้าหอวันแรก จื่อรุ่ยไม่ได้เข้ามาหาซานซานแม้แต่น้อย แม้แต่ใบหน้ายังไม่เคยเห็นว่ามีหน้าตาเป็นอย่างไร หลินซานซานปักใจรักจื้อหง(องค์รัชทายาท) แต่ต้องโดนใส่ร้ายป้ายสี ว่ามีความสัมพันธ์ลับ ๆ กับเต๋อหยี(องค์ชายรอง) แต่ทว่าฮ่องเต้มีพระประสงค์ให้หลินซานซานแต่งกับจื่อรุ่ย วันเดียวกับจื้อหงแต่งกับหลินเย่ถง พี่สาวต่างมารดาของหลินซานซาน สาเหตุที่จื่อรุ่ยต้องแต่งกับหลินซานซาน เนื่องจากจะให้จื่อรุ่ยมาจับตาดูหลินซานซาน เพราะมีข่าวลือสงสัยว่าเต๋อยีจะก่อกบฏ หลังจากที่หลินซานซานแต่งเข้ามาเป็นชายาของจื่อรุ่ย เอาแต่ร้องไห้โศกเศร้า ตรอมใจ จื่อรุ่ยไม่ได้ร่วมเตียงกับนาง ส่วนวันต่อมาจื่อรุ่ยกลับแต่งงานรับนางสนมมีนามว่าซู่จินเข้ามาอยู่อีกตำหนักหนึ่ง ซึ่งการกระทำนี้เป็นการหยามเกียรติสตรีอย่างหลินซานซาน ด้วยเหตุนี้หลินซานซานจึงตัดสินใจจบชีวิตลง นางไม่ได้ครองรักกับคนที่พึงใจ มิหนำซ้ำกลับต้องช้ำใจ บุรุษที่นางแต่งงานด้วยกลับมาหยามเกียรติแต่งกับสตรีอื่น โดยไม่เห็นแก่นางแม้แต่น้อย เฮ้อ! หลินซานซาน ฉันขอโทษนะที่กำหนดชีวิตของเธอเศร้าขนาดนี้ นับจากวันนี้ไปฉันจะช่วยให้วิญญาณของเธอกลับมาเอง ฉันพูดในใจอย่างเงียบ ๆ เธอจบชีวิตเพราะฉันจริง ๆ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD