เมื่อถึงคาบพักเที่ยง นักเรียนส่วนใหญ่ต่างไปกระจุกรวมที่โรงอาหาร ทว่าบางส่วนยังคงอยู่ในห้องเรียน
ตัวฉันจัดอยู่ในประเภทหลัง
จริงว่านาทีก่อนพระพายจะโน้มน้าวเป็นการใหญ่ว่าอาหารของที่นี่อร่อยมาก ควรลองดูสักครั้ง แต่ด้วยนิสัยไม่ชอบความวุ่นวาย กอปรกับไม่อยากตกเป็นเป้าสายตาของนักเรียนคนอื่น ๆ ด้วย ฉันจึงปฏิเสธเธอเช่นทุกที
และอันที่จริงแล้ว นอกเหนือจากเหตุผลเหล่านั้น รูทีนการกินของฉันมักเว้นช่วงกลางวันเป็นปกติอยู่แล้ว วันหนึ่งกินเพียงมื้อเช้าและมื้อเย็นเท่านั้น ในส่วนของมื้อเที่ยงจะดื่มนมหรือน้ำผลไม้เอามากกว่า
ตึง!
จังหวะล้วงเอามังงะออกจากเป้นักเรียน หมายใช้เวลาช่วงเที่ยงไปกับสิ่งที่ตัวเองชอบ เสียงตึงตังคล้ายมีใครบางคนใช้มือทุบลงกับโต๊ะพลันดังสนั่นหวั่นไหว เรียกให้หันกลับไปยังทิศทางของเสียงทันที
และใช่ เสียงนั่นมาจากหลังห้องเรียน
“ไปซื้อข้าวมาให้พวกกูหน่อยสิ”
ไม่เกินความคาดหมายนักว่าต้นตอของเสียงครึกโครมนั่นมาจากพวกเกเรที่มักเป็นฝ่ายหาเรื่องการ์วินก่อนในทุก ๆ ครั้ง
อีกแล้วเหรอ
เห็นได้ชัดว่าการ์วินเพิ่งเก็บหนังสือเรียนและสมุดใส่กระเป๋า เขาไม่ทันได้ลุกขึ้นยืนหรือทำอะไร คนพวกนั้นก็ปรี่มาล้อมโต๊ะเขา แสดงท่าทีอวดเบ่งคุกคามไม่ต่างไปจากทุกที
ทั้งที่ตั้งใจว่าจะให้เวลาการ์วินสักหน่อย เพราะการเข้าหาของฉันค่อนข้างกะทันหัน เขาอาจตั้งตัวไม่ทันและเคยชินกับการอยู่คนเดียวมากกว่า
แต่...
“...” การ์วินนั่งกอดเป้อย่างเงียบสงัดไร้ปากเสียง ไม่โต้ตอบเป็นคำปฏิเสธหรือคำตกลง แน่นอนว่าปฏิกิริยานั้นยิ่งส่งเสริมให้ตัวหัวหน้ามีน้ำโห ง้างมือขึ้นหมายทำร้ายร่างกายเขาตามความเคยชิน
ทว่าจากนี้ไป ฉันจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาเอารัดเอาเปรียบหรือรังแกการ์วินได้อีกแล้ว
“ทำอะไรน่ะ” ไวเท่าความคิด ฉันวางมังงะลงบนโต๊ะ ลุกขึ้นยืนและตรงเข้าไปหาอย่างไม่เกรงกลัว
บางที ที่ฉันปีกกล้าขาแข็งขนาดนี้คงเพราะมีบารมีของพ่อคอยคุ้มกะลาหัวอยู่ละมั้ง
“เมย์...” หัวหน้ากลุ่มลดมือลงทันควัน ถอยห่างจากการ์วินหนึ่งก้าวทั้งที่ฉันไม่ทันได้ออกปากไล่ด้วยซ้ำ แน่นอนว่าคนอื่น ๆ เองก็มีปฏิกิริยาเช่นเดียวกัน
“เมย์ถามว่าทำอะไร?” ฉันเน้นย้ำคำถามผ่านน้ำเสียงที่ชัดถ้อยชัดคำกว่าเดิม ส่งผลให้คนถูกถามแสดงสีหน้าสับสนมึนงง คล้ายไม่เข้าใจว่าอะไรทำให้ฉันฉุนเฉียว ทั้งที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีส่วนได้ส่วนเสียกับเหตุการณ์พวกนี้เลย
ก็จริง...
นับตั้งแต่วันแรกที่ย้ายเข้ามาจวบจนช่วงเช้าเมื่อวาน ยอมรับว่าฉันเพิกเฉยเสมือนความรุนแรงที่การ์วินได้รับคือเรื่องปกติ แต่เชื่อเถอะลึก ๆ ข้างใน ฉันไม่เคยมองมันเป็นเรื่องปกติแม้แต่นิดเดียว
ลำพังปัญหาครอบครัวที่ต้องเจอในแต่ละวันก็ทำเอาเครียดจนสมองแทบระเบิด เวลานั้นฉันคิดเพียงว่าแล้วทำไม...จะต้องเข้าไปพัวพันในปัญหาของคนอื่นให้ตัวเองพลอยเดือดร้อนตามไปด้วย จึงทำได้แค่ภาวนาให้ใครสักคนฉุดรั้งเขาขึ้นจากขุมนรกนั่นในเร็ววัน
แต่ก็ไม่มี ไม่มีเลยสักนิด!
ท้ายที่สุดฉันจึงปลดล็อกความคิดอันขี้ขลาด และเป็นฝ่ายก้าวเท้าเข้าไปในชีวิตเขาเสียเอง
ฉันไม่ได้ต่างไปจากเขานัก ถึงได้รู้ว่าความเจ็บปวดที่ได้รับในละวันมันสาหัสแค่ไหน
“แค่จะใช้มันไปซื้อข้าว” เสียงหนึ่งในกลุ่มอันธพาลดังขึ้น “ก็ปกติปะวะ”
“ปกติยังไง?” ถามพร้อมหันขวับไปทางขวามือ พบว่าเจ้าของคำพูดสะดุ้งเฮือกเมื่อถูกฉันจับจ้องอย่างเปิดเผย “พวกนายก็มีมือมีเท้าไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่ไปซื้อเองล่ะ จะใช้คนอื่นทำไมไม่ทราบ”
“แล้วเมย์จะเดือดร้อนแทนมันเพื่อ?” คราวนี้ตัวหัวหน้ากลุ่มสาดคำถามอย่างทนไม่ไหว รับรู้ได้ถึงกลิ่นอายความไม่พอใจปริมาณมหาศาล
ฉันหันกลับมา พบว่าเขาส่งรังสีเคลือบแคลงมาทางฉันอย่างไม่ปกปิด
“อ้อ ต้องเดือดร้อนอยู่แล้วสิ” ฉันผลิยิ้ม ก่อนชำเลืองมองการ์วินซึ่งกำลังช้อนตาขึ้นจับจ้องกันจากตรงนั้น รับรู้ได้กลาย ๆ ว่าเขากำลังห้ามไม่ให้ฉันยุ่มย่ามโดยไม่จำเป็นมากไปกว่านี้
แน่นอนว่าฉันไม่สนหรอก ถ้าการ์วินยังเป็นอยู่แบบนี้ คนพวกนี้จะยิ่งได้ใจและปฏิบัติกับเขาอย่างไม่ให้เกียรติไปเรื่อย ๆ
มองข้ามสายตาลึกลับของการ์วินแล้วจึงหันกลับมาดังเดิม สำทับเหตุผลที่คนตรงหน้ารอคอย “ก็การ์วินเป็นคนของเมย์นี่นา”
“...?”
“ลองยุ่งดูอีกสิ เมย์ไม่ปล่อยไว้แน่”
เมื่อปฏิกิริยาของพวกเกเรเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ฉันจึงกระหยิ่มยิ้มย่องด้วยความพอใจอยู่ลึก ๆ จากนั้นก็หมุนตัวก้าวฉับไปที่โต๊ะของตัวเอง หยิบมังงะหย่อนใส่เป้ ดึงสายข้างหนึ่งขึ้นมาสะพายแล้วกลับมายังจุดเกิดเหตุอีกครั้ง
หมับ!
ท่ามกลางอาการตกตะลึงของพวกอันธพาล ฉันตัดสินใจคว้าข้อมือของการ์วินแน่น ออกแรงกระตุกให้เขาลุกขึ้นแล้วเดินตามกันออกมา
การกระทำของฉันนอกจากทำให้พวกนิสัยไม่ดีตกใจจนนิ่งค้างแล้ว เมื่อออกมานอกห้องยังพบเข้ากับสายตาหลายสิบคู่ของนักเรียนคนอื่น ๆ ตามโถงทางเดินอย่างยากจะหลีกเลี่ยง
นอกจากการจับจ้องที่เต็มไปด้วยความเคลือบแคลง ฉันเห็นว่าหลายคนกำลังทำปากมุบมิบกับเพื่อนฝูงยามจับจ้องมาที่เรา
เดาได้ไม่ยากว่าเราสองคนตกเป็นหัวข้อสนทนาเสียแล้ว
“เมย์” ขณะก้าวฉับไปข้างหน้าอย่างไม่ทุกข์ร้อน เสียงทุ้มลึกจากด้านหลังพลันดังขึ้น พร้อมแรงทัดทานเล็ก ๆ จากเจ้าของข้อมือ
“เงียบ ๆ เถอะน่า” ส่งเสียงปรามพลางเอี้ยวหน้ากลับไปมอง ทว่าในช่วงเวลาสั้น ๆ นั้นฉันทันเห็นความประหม่าในใบหน้าที่ปราศจากรอยยิ้มของเขาเข้าพอดี
ทั้งที่อยากให้เวลาเพื่อนร่วมห้องคนนี้สักหน่อย แต่สถานการณ์ดันบีบบังคับให้ต้องออกตัวแรง
ก็...ช่วยไม่ได้นะ
จะให้ต่อปากต่อคำหรือใช้กำลังกับพวกอันธพาล ฉันรู้ว่าตัวเองทำไม่ได้แน่ หนทางที่จะช่วยให้เขาหลุดพ้นจากการตกเป็นเบี้ยล่างคนนิสัยเสีย นอกเหนือจากการยืมบารมีของพ่อมาใช้ ก็ไม่มีวิธีอื่นแล้ว