เปียลงลิฟต์มาถึงชั้นล่าง เธอรีบเดินเข้าไปถามพี่ๆพยาบาลว่าแคนทีน (โรงอาหาร) ต้องเดินไปทางไหน เมื่อได้คำตอบแล้วสองเท้าเล็กก็กึ่งวิ่งกึ่งเดินเพื่อไปให้ถึงแคนทีนโดยเร็ว เธอจะได้รีบซื้อแล้วรีบขึ้นเอาข้าวไปให้คุณหมอ
เปียอยากเจอคุณหมออีกจัง
นี่คือสิ่งที่เธอคิดในหัวตั้งแต่ออกจากห้องของเขา เปียเดินไล่ร้านอาหารไปทีละร้าน คุณหมอบอกว่าอะไรก็ได้แต่ไม่เผ็ด ว่าแต่เธอจะเอาอะไรให้คุณหมอทานดี
"ผัดผักดีไหม คุณหมอน่าจะดูแลสุขภาพนะ" เธอคิดแบบง่ายๆ คนเป็นหมอก็ต้องมีสุขภาพที่ดี เลือกอาหารที่มีประโยชน์ กินผัก กินปลา
"อืม ว่าแต่มีปลาอะไรบ้าง" เธอหยุดยืนร้านข้าวอยู่ร้านหนึ่ง มีหลากหลายเมนู
"ป้าคะ มีใส่กล่องไหมคะ หนูซื้อไปให้คุณหมอค่ะ" เธอฉีกยิ้มกว้างถามป้าร้านข้าว วันนี้เธอรู้สึกว่าเป็นการซื้อข้าวที่มีความสุขมากที่สุด
"มีหนู จะเอาอะไรล่ะ"
"อืม...ผัดผักค่ะ กับปลา...อันนี้คือปลาอะไรคะ" เธอชี้ถาม
"ปลาดอลลี่"
"ค่ะ ค่ะ ปลาดอลลี่ เท่าไหร่เหรอคะ"
"หกสิบบาทจ้า"
"นี่ค่ะป้า" เธอยื่นแบงก์ร้อยให้กับป้าร้านข้าวแล้วหยิบถุงที่มีข้าวกล่องมาถือไว้แล้วรอเงินทอน
"ต้องซื้อน้ำด้วยไหมนะ" เปียเดินไปร้านน้ำแล้วสั่งน้ำเปล่ามาหนึ่งขวด
หลังจากนั้นเธอก็เดินตรงไปยังลิฟต์วีไอพีตามที่คุณหมอบอก
"เอ่อ คุณหมอ...ณภัทรบอกให้หนูมาขึ้นลิฟต์ตัวนี้ค่ะ คุณหมอสั่งให้หนูซื้อข้าวให้" เธอบอกกับพี่รปภ.ที่ดูแลและสำรวจความเรียบร้อยในบริเวณนั้น
"ครับ"
ลิฟต์เดินทางมาถึงชั้นสิบเก้า เมื่อประตูลิฟต์เปิดออก เปียรีบเดินตรงไปยังห้องคุณหมอทันทีด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม แล้วมองถุงกล่องข้าวที่ถืออยู่ในมืออย่างอารมณ์ดี
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
"เข้ามา" เสียงจากคนด้านในห้องอนุญาต มือบางจับด้ามประตูบิดลงเพื่อเปิดเข้าไปในห้อง
"เปียเอาข้าวมาส่งค่ะคุณหมอ มีผัดผักกับปลาดอลลี่นะคะ แล้วก็น้ำด้วย" เธอบอกน้ำเสียงสดใส แล้ววางถุงข้าวกล่องลงบนโต๊ะคุณหมอ
"อืม ขอบใจ"
"แล้วนี่ตังค์ทอนค่ะ" เปียวางเงินทอนไว้บนโต๊ะคุณหมอ ก่อนจะก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว แล้วยืนมองเขาอย่างชื่นชมอยู่ในใจจนลืมไปว่าเธอยังมีงานอื่นที่ต้องทำ
เธอกำลังตกอยู่ในภวังค์ห้วงแห่งความฝันที่จะได้อยู่กับคุณหมอ แต่มันก็เป็นเพียงฝันลมๆแล้งๆ
คุณหมอหนุ่มหล่อที่พ่วงด้วยตำแหน่งรองประธานเงยหน้าขึ้นมามองเด็กสาวที่ไม่ยอมออกจากห้องไปไหน
นิ้วเรียวหนาจับด้ามปากกาแล้วเคาะลงไปบนโต๊ะ มองหน้าเด็กสาว "ทำไมไม่ออกไปอีก"
"เอ่อ...อ้อ ค่ะ ค่ะ เปียจะออกไปเดี๋ยวนี้" เธอก้มหัวหมุนตัวกลับเดินออกไปจากห้องในทันที
"บ้าจริงๆเลยยืนจ้องคุณหมออยู่ได้" เธอต่อว่าตัวเองอยู่ที่หน้าห้องคุณหมอก่อนจะเดินคอตกกลับไปยังลิฟต์ปกติที่เธอขึ้นมาในตอนแรก
ไม่รู้ว่าเธอจะได้มีโอกาสมาที่นี่อีกหรือเปล่า
"ทำยังไงถึงจะได้เจอคุณหมออีกคะ" เธอยืนบ่นคนเดียวอยู่ในลิฟต์ นึกถึงหน้าคุณหมอ เธออยากเจอเขาอีกแต่ก็คงไม่ได้มีวาสนาจะได้ขึ้นมาที่นี่อีกเป็นครั้งที่สอง
"ป้าพรจ๊ะ หนูกลับมาแล้ว" เธอเดินนวยนาดกลับเข้ามาในร้านอาหารตามสั่งหลังจากส่งข้าวให้คุณหมอเสร็จแล้วถอนหายใจลงนั่งที่เก้าอี้ยกแขนขึ้นเท้าคาง
"ทำไมทำหน้าแบบนั้น"
"แบบไหนเหรอป้า"
"แค่ให้ไปส่งข้าวคุณหมอมันน่าเบื่อขนาดนั้นเลย"
"เปล่าจ่ะ ฉันไม่ได้เบื่อ ออกจะดีใจด้วยซ้ำไป"
"ว่ายังไงนะ"
"อ้อ เปล่าจ่ะไม่มีอะไร" ระหว่างทางที่กลับมาร้านอาหารเธอเดินคิดมาตลอดทาง อยากจะมีวาสนาอีกสักครั้งเพื่อจะได้เจอหน้าคุณหมอ
ดวงตาสวยก้มมองดูสภาพตัวเอง เสื้อผ้าเธอมันเก่ามากแถมคอก็ย้วย แค่เงินจะซื้อเสื้อยืดธรรมดาใส่ยังยาก เพราะช่วงเย็นๆพ่อกับแม่เธอก็จะมาดักรอแถวๆหน้าร้านเพื่อแบมือขอเงินลูก
ขนาดเงินแค่สามร้อยห้าสิบบาทก็ยังจะเอา ตอนที่เธอยื่นเงินให้พ่อกับแม่ พวกเขาส่งเงินให้เธอเพียงแค่ยี่สิบบาทไว้ติดตัวเท่านั้น เข้าเช้า กลางวัน เธอก็จะมาทานที่ร้านป้า ส่วนตอนเย็นป้าก็จะแบ่งกับข้าวที่ยังเหลือให้กับเธอไว้ทาน เปียเลยไม่ต้องเสียเงินซื้อข้าวสักบาท
ในทุกๆวันเปียจะเดินทางกลับบ้านเป็นประจำทั้งขาไปและขากลับ ด้วยระยะทางจากบ้านมายังร้านที่เธอทำงานประจำใช้เวลาเดินทางมาก็แค่ประมาณสิบห้านาทีเท่านั้น เธอจึงไม่ต้องเดินทางด้วยรถโดยสาร
ตกเย็น
"เอ้านี้เงิน" ป้าร้านอาหารยื่นเงินค่าแรงให้กับเธอ
"ขอบคุณจ่ะ" เธอรับเงินก่อนจะยกมือไหว้ "เปียไปก่อนนะจ๊ะป้า" เธอบอกลาแล้วมองเงินจำนวนสามร้อยห้าสิบบาทที่ถืออยู่ในมือ เงินจำนวนนี้เธอคงถือไว้ได้ไม่นานนักเดี๋ยวพ่อกับแม่เธอก็มาเอาเงินเธอไปแล้ว
เปียเดินไปตามทางระหว่างที่กำลังเดินกลับบ้าน แต่ก็แปลกใจที่วันนี้พ่อกับแม่เธอไม่มาดักรออย่างเช่นทุกวัน หรือวันนี้พวกเขาอาจจะได้เงินเยอะจากการเล่นพนันเลยไม่คิดมาเอาเงินไปจากเธอ
เดินไปได้เพียงห้านาทีเริ่มมีแสงสว่างจากทางด้านซ้าย เมื่อเดินผ่านก็พบว่ามีตลาดนัดของขายเต็มไปหมด เธอจึงแวะเดินเข้าไปดูว่ามีของอะไรขายบ้าง
จริงๆเธอเดินผ่านตรงนี้ทุกวัน แต่ไม่ยักรู้ว่ามีตลาดนัดด้วย หรือเพิ่งจะมาเปิดตรงนี้
เปียเห็นมีร้านเสื้อผ้าขายอยู่ทางด้านหน้าก็รรบเดินเข้าไปดู เธอหยิบเสื้อขึ้นมาหนึ่งตัวเป็นเพียงแค่เสื้อยืดธรรมดามีลายสกรีนด้านหน้า และป้ายบอกราคาติดอยู่
"หนึ่งร้อยเหรอ" เธอมองเสื้อผ้าตัวอื่นๆที่แขวนบนราว แต่เสื้อผ้าพวกนั้นคงจะแพงกว่าตัวที่เธอถืออยู่
ชุดกระโปรงสวยๆเธอคงไม่ได้ใส่ แค่เสื้อยืดเปลี่ยนธรรมดาก็คงจะหรูมากแล้วสำหรับเธอ
เด็กสาวยืนชั่งใจอยู่ว่าจะซื้อดีไหม เธออยากมีเสื้อใหม่ๆสักตัว
"หนู เห็นถือนานแล้วจะซื้อไหม" คนขายตะโกนถาม
"เอ่อ...มีกระจกไหมจ๊ะ หนูอยากเอาลองทาบบนตัวจ่ะ" เธอบอกอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว
"นู่น" คนขายชี้บอก เธอจึงเดินไปส่องกระจก ใบหน้าเธอทำไมมันถึงได้มอมแมมแบบนี้นะ ผมเผ้าที่เธอถักเปียมาก็ยุ่งหยิงไปหมด สารรูปเธอมันดูแย่มากๆเลย
"ตกลงจะซื้อไหม"
"ยะ ยังดีกว่าค่ะ" เธอตัดใจไม่ซื้อเสื้อใหม่ เพราะรู้สึกเสียดายเงิน วันนี้พ่อกับแม่เธอไม่มาเอาเงินเธอไป งั้นเธอควรเก็บเงินจำนวนนี้ไว้เพื่อต่อยอดในอนาคตถึงมันจะเป็นจำนวนเงินไม่มากก็ตาม
มือบางแขวนเสื้อไว้ที่ราวผ้าที่เดิมแล้วเดินออกจากร้าน เพื่อกลับบ้าน
ทางด้านคุณหมอหนุ่มหล่อในวัยสามสิบนั่งดูเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะจนเวลาล่วงเลยถึงหนึ่งทุ่ม
เขาปิดเอกสารลงแล้วเอนตัวพิงกับพนักเก้าอี้แล้วนวดขมับเพื่อผ่อนคลาย
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
"เชิญ"
"คุณหมอคะ พรุ่งนี้มีเคสผ่าตัดคนไข้ห้องวีไอพีค่ะ ชื่อคุณบารมี" พยาบาลผู้ช่วยของเขาเข้ามาบอก
"อืม"
"อ้อ แล้วข้าวเมื่อกลางวันคุณหมอทานได้ไหมคะ"
"ได้"
"วันนี้โซลไม่ว่างเอาข้าวมาให้ด้วยตัวเองเลยวานให้ป้าร้านข้าวมาส่งให้ค่ะ"
"ป้า?" เขาถาม ก็คนที่มาส่งข้าวใหเเป็นเด็กสาวเนื้อตัวมอมแมม
"ใช่ค่ะ ทำไมเหรอคะ"
"ไม่มีอะไร คุณออกไปได้ ผมจะกลับบ้านแล้ว"
คุณหมอหนุ่มขับรถออกจากโรงพยาบาลในเวลาค่ำ ช่วงเวลานี้เป็นช่วงหฤหรรษ์ในการต้องฝ่ารถติด
ในระหว่างที่รถติดอยู่นั้น สายตาคมกวาดมองไปรอบๆตัวมองสิ่งต่างๆที่อยู่รอบข้าง
เขาไปสะดุดโฟกัสกับใครคนหนึ่งที่เดินอยู่บนฟุตบาท ละม้ายคล้ายเด็กที่วันนี้เธอซื้อข้าวให้เขา
รถราบนท้องถนนค่อยๆไหลไปตามทางทีละนิด ดวงตาคมมองเด็กสาวที่เดินบนฟุตบาทสลับกับมองทางที่อยู่เบื้องหน้าสลับไปมา
"ไม่เรียนหนังสือหรือยังไง" เขาคิดพิจารณามองเด็กสาวเนื้อตัวมอมแมมแต่มีใบหน้าที่...
สวย
นี่คือสิ่งที่เขาคิดในหัวจำใบหน้าเธอได้เมื่อช่วงกลางวันที่เธอมาส่งข้าวให้
คุณหมอหนุ่มถอนหายใจยาวๆ เลิกมองเด็กสาวแล้วหันมาโฟกัสกับรถราที่ค่อยๆไหลไปตามทางทีละนิด เขาไม่ควรคิดเรื่องอะไรที่ไร้สาระก็แค่เด็ก...มาส่งข้าวให้ จะคิดอะไรให้เยอะแยะ ทุกวันนี้แค่งานในโรงพยาบาลก็ล้นมือมากพอแล้ว
°°°°°°°°°°